วันอังคารที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2555

สถานทูตไทยในเซเนกัลแจ้งเตือนคนไทยพร้อมอพยพ








ตามที่เกิดสถานการณ์ไม่สงบทางการเมืองขึ้นในประเทศเซเนกัล เนื่องมาจากการที่ประชาชนบางส่วนไม่พอใจคำประกาศของศาลรัฐธรรมนูญเซเนกัลที่รับรองประธานาธิบดีคนปัจจุบัน ให้ลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในสมัยต่อไปได้ ทำให้กลุ่มต่อต้านประธานาธิบดีไม่พอใจและจัดการชุมนุมประท้วงขึ้น มีการประท้วง ก่อความวุ่นวาย วางเพลิงอาคาร ทำลายทรัพย์สิน ซึ่งที่ผ่านมาแม้ว่าการประท้วงจะไม่เป็นระบบ ขาดการทิศทางที่ชัดเจน และรัฐบาลสามารถควบคุมสถานการณ์ไม่ให้ลุกลามรุนแรงได้ แต่โดยภาพรวมก็ยังไม่น่าไว้วางใจเพราะมีแนวโน้มว่ากลุ่มผู้ชุมนุมอาจได้รับการสนับสนุนจากมวลชนในส่วนอื่นๆ และการชุมนุมอาจมีการขยายตัวขึ้นได้ในอนาคต
จากสถานการณ์ที่ไม่น่าไว้วางใจดังกล่าว สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงดาการ์ ประเทศเซเนกัล จึงได้ประกาศแจ้งเตือนคนไทยที่พำนักอยู่ในประเทศเซเนกัลที่มีอยู่ 32 คน ให้กักตุนอาหาร เครื่องดื่ม และเชื้อเพลิง ที่จำเป็น และหลีกเลี่ยงการออกนอกบ้านหรือผ่านเขตที่จะมีการประท้วง และให้ติดต่อกับสถานทูต พร้อมทั้งติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดด้วย โดยหากสถานการณ์เลวร้ายลงกว่านี้ก็จะดำเนินการตามแผนปฏิบัติการฉุกเฉิน คืออพยพคนไทยออกจากพื้นที่เสี่ยงภัยต่อไป 


ที่มา : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงดาการ์

วันจันทร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2555

คนไทยในเจนไนจัดงานบุญ


สกญ.ณ เมืองเจนไนร่วมกับชุมชนชาวไทยในเมืองเจนไน และ เมืองใกล้เคียง ได้รับกันจัดงานทำบุญเพื่อเป็นการสืบสานบวรพระพุทธศาสนา อีกทั้งเพื่อเป็นสิริมงคล โดยได้นิมนต์พระภิกษุซึ่งกำลังศึกษาที่มหาวิทยาลัยในเมืองเจนไน จำนวน 4 รูป นำโดยพระครูสุธีโพธิรักษ์ ไปประกอบพิธีสงฆ์และฉันภัตตาหารเพล ที่สกญ.ณ เมืองเจนไน แห่งใหม่

          งานทำบุญครั้งนี้ มีผู้ไปร่วมทำบุญทั้งหมด กว่า 30 คน ประกอบด้วย ข้าราชการสกญฯและครอบครัว ตลอดจนคนไทยที่ไปพำนักและประกอบอาชีพในเมืองเจนไน  ได้แก่ บ.พฤกษาพร็อพเพอร์ตี บ.ซีพี บ.ร็อคเวิร์ธ บ.ปูนซีเมนต์ไทย บ.การบินไทย พ่อครัว พนักงาน สปา แม่บ้าน ตลอดจนนักศึกษา ชุมชนชาวไทยทั้งหมดต่างได้ร่วมกันนำอาหารและขนมไทย และผลไม้มาถวายเป็นภัตตาหารเพล นอกจากนั้น ยังได้ร่วมกันถวายปัจจัยให้แก่พระภิกษุทั้ง 4 รูปที่ไปประกอบพิธีสงฆ์ในครั้งนี้ด้วย

          งานทำบุญครั้งนี้ประสบผลสำเร็จด้วยดี ทำให้ชุมชาวไทยได้ร่วมกันทำบุญทำกุศล และสนับสนุนปัจจัยให้แก่พระภิกษุสงฆ์ที่ไปศึกษาต่อที่เมืองเจนไน นอกจากนั้น ยังเป็นการสร้างความสมัครสมานสามัคคีระหว่างชุมชนชาวไทยในเมืองเจนไนและเมืองใกล้เคียง และที่สำคัญอีกประการหนึ่ง เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้ชุมชนชาวไทยมีความไว้วางใจและสามารถเข้าถึงข้าราชการของสกญฯ ได้อย่างสนิทใจ ถือเป็นส่วนหนึ่งของงาน“การทูตเพื่อประชาชน”







ที่มา  : www.mfa.go.th

สถานทูตไทยในสิงคโปร์เยี่ยมแรงงานไทย


นายนิพนธ์ เพ็ชรพรประภาส อัครราชทูตที่ปรึกษา นางกาญจนา วงศ์สุวรรณ์ อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) นายศักดินาถ สนธิศักดิ์โยธิน ที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) นางสาววัลยา จริยธรรม เลขานุการเอก และนางสาวพรพัชร์ ทิศทองคำ เลขานุการโท พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่จากสำนักแรงงานในสิงคโปร์ และเจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้เดินทางไปเยี่ยมแรงงานไทยในสิงคโปร์ที่หอพัก Murai Lodge II ซึ่งมีแรงงานไทยเข้าร่วมกิจกรรมประมาณ 80 คน

            เมื่อวันอาทิตย์ที่  15 มกราคม 2555 เวลา 10.30 น.- 12.00น. นายนิพนธ์ เพ็ชรพรประภาส อัครราชทูตที่ปรึกษา นางกาญจนา วงศ์สุวรรณ์ อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) นายศักดินาถ สนธิศักดิ์โยธิน ที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) นางสาววัลยา จริยธรรม เลขานุการเอก  และนางสาวพรพัชร์ ทิศทองคำ เลขานุการโท พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่จากสำนักแรงงานในสิงคโปร์ และเจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้เดินทางไปเยี่ยมแรงงานไทยในสิงคโปร์ที่หอพัก Murai Lodge II ซึ่งมีแรงงานไทยเข้าร่วมกิจกรรมประมาณ 80 คน

            ในโอกาสนี้ สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้มอบอุปกรณ์กีฬาซึ่งรวมถึง ตะกร้อ ฟุตบอล บาสเก็ตบอล วอลเล่ย์บอล และเชือกกระโดด ให้แก่แรงงานไทย นอกจากนี้ ได้นำหนังสือคู่มือคนไทยในสิงคโปร์ แบบฟอร์มรายงานตัวคนไทย ข้อแนะนำคนไทยในเหตุการณ์ฉุกเฉิน ข้อแนะนำการป้องกันโรคใหลตาย และยาตำราหลวง แจกจ่ายแก่แรงงานไทย และสำนักแรงงานในสิงคโปร์ได้นำเอกสารประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับกฎหมายเงินทดแทนกรณีประสบอุบัติเหตุจากการทำงาน คู่มือสัญญาว่าจ้าง คู่มือการขอคืนเงินค่าภาษี พร้อมทั้งแจ้งสถานที่ติดต่อนอกเวลาราชการที่ตั้งของที่ทำการสมาคมเพื่อนแรงงานไทย ณ อาคาร Golden Miles Complex ชั้น 3 กรณีแรงงานคนใดประสบปัญหาด้านแรงงาน หรือประสงค์เรียนเพิ่มเติมด้านภาษาอังกฤษและจีน รวมทั้งการศึกษา กศน. และมสธ.





            ทั้งนี้ อัครราชทูตที่ปรึกษาได้แสดงความเป็นห่วงที่แรงงานไทยส่วนหนึ่งใช้เวลาว่างกับการดื่มสุรา เนื่องจากการดื่มสุรามากเกินไปอาจเป็นสาเหตุของการใหลตายได้ จึงขอสนับสนุนให้แรงงานไทยทุกคนรักษาสุขภาพ โดยใช้เวลาว่างในการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โดยหวังว่า แรงงานไทยจะใช้ประโยชน์จากอุปกรณ์กีฬาที่นำมาแจกจ่ายในครั้งนี้ให้สูงสุด

ที่มา : www.mfa.go.th

วันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2555

อีกแล้ว... คนไทยถูกจับที่มาเลเซีย


หลังจากที่ได้รายงานข่าวเกี่ยวกับคนไทยที่ถูกตำรวจมาเลเซียจับกุมเมื่อช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา ยังไม่ทันไร โดนอีกแล้ว คราวนี้ที่เมืองมะละกา ประเทศมาเลเซีย ตำรวจกองปราบของมาเลเซียได้กวาดจับสถานนวดแผนโบราณในเมืองมะละกาและจับกุมคนต่างชาติได้จำนวนมาก โดยมีคนไทยรวมอยู่ด้วยถึง 14 คน เป็นหญิง 12 คน ชาย 2 คน

หมอนวดไทยทั้ง 14 คน ถูกตั้งข้อหาทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยนายหน้าและนายจ้างที่พาเข้ามาอ้างว่าจะยื่นขอใบอนุญาตทำงานให้ ระหว่างนี้นายจ้างจะหักค่าแรงล่วงหน้าเดือนละ 600-1000 ริงกิต (ประมาณ 6,000-10,000 บาท) โดยแบ่งเปอร์เซ็นต์ 40/60 หรือบางราย 30/70

ขณะนี้ทั้ง 14 คน ถูกควบคุมตัวอยู่ที่สถานกักกันเมืองมะละกาและจะนำตัวขึ้นศาลเพื่อตัดสินโทษต่อไป โดยโทษกรณีนี้มีทั้งจำและปรับ โทษจำคุก 2-12 เดือน ปรับไม่เกิน 1,000 ริงกิต

สถานทูตรายงานด้วยว่า หลังจากที่ประกาศนิรโทษกรรมคนต่างชาติที่ทำงานอย่างผิดกฎหมายในมาเลเซียให้รายงานตัวเพื่อเดินทางออกนอกประเทศโดยไม่มีความผิดสิ้นสุดลงเมื่อ 10 ม.ค. 55 ตำรวจมาเลเซียก็เข้มงวดกวดขันในการจับกุมคนต่างชาติ นอกจากหมอนวดไทย 14 คนดังกล่าวแล้ว ยังมีคนไทยกลุ่มที่เข้ามาทำงานเป็นนักดนตรี นักเต้นโคโยตี้ ถูกจับกุมจากแหล่งบันเทิงต่างๆ อีกเกือบ 100 คน

จากตัวเลขข้อมูลคนไทยที่ถูกจับกุมดังกล่าว เห็นได้ว่ามีคนไทยจำนวนมากทำงานอย่างผิดกฎหมายในประเทศมาเลเซีย ซึ่งอาจจะเป็นเพราะมาเลเซียเป็นประเทศที่มีพรมแดนติดกับไทยและสามารถเดินทางเข้าโดยไม่ต้องใช้วีซ่า ทำให้นายหน้าและนายจ้างชาวมาเลเซียมักอ้างว่าให้เดินทางเข้าไปก่อนแล้วจะขอใบอนุญาตให้ภายหลังซึ่งที่ผ่านมาส่วนใหญ่นายจ้างก็ไม่ดำเนินการให้เนื่องจากนโยบายของมาเลเซียไม่สนับสนุนธุรกิจด้านบันเทิงหรือนวดสปาที่เปิดแบบรายย่อยจึงไม่ออกใบอนุญาตทำงานให้แก่ผู้ที่จะไปทำงานในสถานบริการลักษณะดังกล่าว

ซ้อมแผนอพยพคนไทยที่ไนจีเรีย





สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอาบูจา ประเทศไนจีเรีย รายงานสถานการณ์ทั่วไปในประเทศไนจีเรีย ว่า ถึงแม้ว่าประชาชนจะสามารถประท้วงกดดันรัฐบาลให้ยุติการเลิกสนับสนุนราคาน้ำมัน และการประท้วงจะยุติแล้วก็ตาม แต่สถานการณ์ทั่วไปก็ยังถือว่าไม่น่าไว้วางใจ เนื่องจากยังมีคนยากจนจำนวนมากที่ยังต้องได้รับความเดือดร้อนในการดำรงชีวิตเป็นอย่างมาก อีกทั้งความขัดแย้งทั้งทางการเมืองและความเชื่อเรื่องศาสนายังคงความรุนแรงเข้มข้น 

ความวุ่นวาย ความขัดแย้ง ความรุนแรงต่างๆ ในประเทศไนจีเรียมีมาอย่างยาวนาน สาเหตุหลักๆ น่าจะเกิดจากการที่ไนจีเรียเป็นประเทศที่มีทรัพยากรปริมาณมหาศาลโดยเฉพาะน้ำมัน จึงทำให้เกิดการแบ่งผลประโยชน์ไม่ลงตัว ยิ่งประเทศนี้เป็นประเทศที่มีกลุ่มชนเผ่าต่างหลากหลายกลุ่ม หลากหลายความเชื่อ ศาสนา ทำให้เป็นการยากที่ฝ่ายปกครองจะได้รับการสนับสนุนจากประชาชนที่ไม่เคยได้รับประโยชน์อะไรจากรัฐบาลเลย การแย่งชิงอำนาจและทรัพยากรจึงเกิดขึ้นตลอดเวลาในประเทศไนจีเรียซึ่งมักจะมีความรุนแรง ต้องมีผู้คนบาดเจ็บล้มตายทุกครั้ง อีกทั้งความถี่ของเหตุการณ์ความรุนแรงก็มีมากขึ้นอีกด้วย

ล่าสุด เมื่อวันที่ 20 ม.ค. 55 กลุ่มหัวรุนแรงได้เข้าโจมตีสถานีตำรวจ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และสถานที่ราชการอื่นๆ ในเมือง Kano ซึ่งเป็นเมืองศูนย์กลางการค้าสำคัญแห่งหนึ่งของไนจีเรีย ส่งผลให้สถานที่ราชการหลายแห่งถูกทำลายยับเยิน มีผู้เสียชีวิตจากการสำรวจในเบื้องต้นประมาณ 200 คน นับเป็นการปฏิบัติการที่อุกอาจรุนแรง เหตุการณ์นี้นอกจากจะกระทบกระเทือนจิตใจของคนไนจีเรียเองแล้ว ยังส่งผลถึงความรู้สึกต่อประชาคมโลกด้วย

จากสภาพปัญหาต่างๆ มีการประเมินว่าการว่างงานจะรุนแรง ความยากจนจะเพิ่มขึ้น ในที่สุดก็จะนำไปสู่การประท้วงรอบใหม่ หรืออาจถึงขั้นจลาจล สถานทูตจึงไม่ประมาท ได้เตรียมการซักซ้อมแผนอพยพคนไทยที่อยู่ที่ประเทศไนจีเรียเกือบ 400 คน เพื่อหากเกิดเหตุการณ์ที่รุนแรงจะได้ปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

สำหรับคนไทยที่กำลังจะเดินทางไปยังประเทศไนจีเรีย รวมทั้งประเทศในแถบแอฟริกา ขอให้ตรวจสอบสถานการณ์ต่างๆ ให้ดี ประเทศต่างๆ ในแถบนี้มักเกิดเหตุการณ์รุนแรงไม่คาดฝ้นขึ้นได้เสมอ ต้องให้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ

ที่มา : สถานเอกอัครราชทุต ณ กรุงอาบูจา

วันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2555

ตม. เกาหลีใต้จัดหนัก ขจัดนายหน้าค้ามนุษย์หางานเถื่อน




สถานเอกอัครราชทุต ณ กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ รายงานว่าได้มีคนไทยถูก เจ้าหน้าที่ ตม. ที่ท่าอากาศยานนานาชาติอินชอน ควบคุมตัวไว้ทันทีที่เดินทางถึงเนื่องจากเชื่อว่าเป็นนายหน้าพาคนไทย 2 คน เดินทางเข้าเกาหลีใต้เพื่อลักลอบทำงาน

จากการตรวจสอบรายละเอียด ทราบว่า หญิงไทยที่ถูกควบคุมตัวอ้างว่าตัวเองเป็นเจ้าของกิจการและรับงานเป็นไกด์แบบพาร์ทไทม์ด้วย และในครั้งนี้ตนได้รับการติดต่อให้ดูแลการเดินทางเข้าเกาหลีใต้ของลูกทัวร์คนไทย 2 คน ที่จะเดินทางเข้าไปท่องเที่ยว โดยตนได้รับบัตรโดยสารเครื่องบิน ค่าที่พัก และเงินสดเป็นค่าแรงอีกส่วนหนึ่งด้วย หญิงไทยรายนี้อ้างว่าไม่ทราบมาก่อนว่าลูกทัวร์ทั้งสองคนต้องการจะลักลอบเข้าไปทำงานโดยผิดกฎหมาย แต่ลูกทัวร์ของเธอทั้งสองคนรับสารภาพแล้วว่าต้องการจะเข้าไปหางานทำในเกาหลีใต้จริงและได้จ่ายค่าดำเนินการให้นายหน้าที่ประเทศไทยคนละ 200,000 บาท และนายหน้าบอกว่าจะมีคนไทยเป็นผู้ดูแลพาเดินทางเข้าเกาหลีใต้

เจ้าหน้าที่ ตม. ของเกาหลีใต้แจ้งแก่สถานทูตว่า หญิงไทยรายดังกล่าวเป็นนายหน้าพาคนงานลักลอบเข้าเกาหลีใต้ โดยนอกจากคำให้การของผู้ร่วมเดินทางทั้งสองคนแล้ว หญิงไทยรายนี้ยังมีประวัติเดินทางเข้า-ออก ประเทศเกาหลีใต้บ่อยครั้ง และทุกครั้งจะพำนักเป็นเวลาสั้นๆ ซึ่งไม่น่าจะเป็นลักษณะการเข้ามาท่องเที่ยวตามปกติ อีกทั้งตั๋วเครื่องบินก็ออกพร้อมกันกับของผู้ร่วมเดินทาง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือเป็นหลักฐานชัดเจนที่จะเอาผิดกับนายหน้าหญิงไทย ตม. เกาหลีใต้จึงตั้งข้อหาละเมิดกฎหมายเข้าเมืองและต้องโทษปรับ 5,000,000 วอน (หรือประมาณ 150,000 บาท) รวมทั้งจะถูกขึ้นบัญชีดำห้ามเดินทางเข้าประเทศเกาหลีใต้เป็นเวลา 2 ปี อีกด้วย

สถานเอกอัครราชทูตฯ ก็ได้ฝากเตือนคนไทยที่จะเดินทางไปเกาหลีใต้ให้ระมัดระวังหากได้รับการติดต่อหรือมีผู้เสนอที่จะออกค่าใช้จ่ายในการเดินทางให้เพื่อแลกกับการนำบุคคลที่ไม่รู้จักเดินทางเข้าเกาหลีใต้ เพราะทาง ตม. เกาหลีใต้มีมาตรการเข้มงวดในการตรวจคนเข้าเมืองเพื่อป้องกันปัญหาการค้ามนุษย์และการลักลอบเข้าไปทำงานในเกาหลีใต้ ที่ผ่านมามีคนไทยถูกควบคุมตัวเนื่องจากต้องสงสัยว่าเป็นนายหน้าค้่ามนุษย์เป็นจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ คนไทยที่ถูกปฏิเสธการเข้าเมืองและถูกส่งตัวกลับก็มีทุกวัน เฉลี่ยวันละ 8-10 ราย นอกจากจะต้องถูกจับและปรับเป็นจำนวนเงินสูงสุดประมาณ 10,000 เหรียญสหรัฐแล้ว ยังต้องถูกขึ้นบัญชีดำห้ามเดินทางเข้าเกาหลีใต้เป็นเวลา 2 ปี ด้วย

ที่มา :  สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล








แรงงานไทยต้องพัฒนา!!


ารเดินทางไปทำงานในต่างประเทศเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่พี่น้องแรงงานไทยให้ความนิยม ปัจจุบันมีแรงงานไทยจำนวนกว่า 300,000 คน กำลังทำงานอยู่ในประเทศต่างๆ ทั่วโลก และส่งเงินกลับมาให้ครอบครัวในประเทศไทยอย่างเป็นกอบเป็นกำ แรงงานไทยนั้นมีชื่อเสียงในเรื่องความขยัน อดทน ไม่เกี่ยงงาน ว่านอนสอนง่าย นายจ้างต่างชาติจึงชื่นชอบเป็นพิเศษ
แต่ปัญหาของแรงงานไทย ก็ใช่ว่าจะน้อย....
สถานเอกอัครราชทูต/สถานกงสุลใหญ่ ไทยในต่างประเทศ ได้รับข้อร้องเรียนและต้องรับหน้าที่ไกล่เกลี่ยปัญหาระหว่างนายจ้างกับแรงงานไทยอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะปัญหาการดื่มเหล้า และเมาสุราวิวาทกันเอง ยังคงเป็นปัญหาอันดับหนึ่งเสมอ บางครั้งทั้งคนงานและนายจ้างต้องไปขึ้นโรงขึ้นศาลกันอยู่บ่อยๆเสียเวลาทำงาน เสียเวลาของนายจ้าง และถ้าหนักหนาก็อาจถึงขั้นต้องส่งตัวแรงงานที่ทำผิดซ้ำซากกลับประเทศเลยก็มี
ปัญหาใหญ่อีกอย่างหนึ่ง คือ การที่แรงงานไทยหลบหนีนายจ้าง ทิ้งงานที่ทำอยู่กับบริษัทเดิมไปดื้อๆ โดยกรณีเช่นนี้มักเกิดขึ้นที่ประเทศเกาหลีใต้ คือมีกระบวนการนายหน้าเถื่อน ล่อลวงคนงานไทยให้ไปทำงานด้วย อ้างว่าจะได้รายได้ดีกว่าที่เก่ามาก บางคนเชื่อ ก็หลบหนีนายจ้างเก่าไปทำงานที่ใหม่ ซึ่งต้องระวังอย่างยิ่ง เพราะพฤติกรรมเช่นนี้ถือว่าผิดกฎหมายของเกาหลีใต้ จะกลาย เป็นผู้หลบหนีเข้าเมืองทันที มิหนำซ้ำ นายจ้างอาจแจ้งความดำเนินคดีกับคนงานที่หลบหนีอีกด้วย คนงานที่มีประวัติเสียหายเหล่านี้จะไม่สามารถเดินทางกลับไปทำงานในเกาหลีใต้ได้อีกเลย
สรุปแล้ว การเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลไปขายแรงงานในต่างประเทศ ด้วยหวังว่าจะเก็บเงินกลับประเทศได้เป็นกอบเป็นกำ แต่ถ้าคนงานมีความประพฤติไม่เหมาะสม และไม่ยอมปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้น ก็อาจกลายเป็นว่าต้องเสียทั้งเงิน เสียทั้งเวลา และส่งผลเสียต่อชื่อเสียงแรงงานไทยดีๆ ไปอีกด้วย

ที่มา :  กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ
19 มกราคม 2555


วันจันทร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2555

นิตยสาร Hola ของสเปน ตีพิมพ์เมนูเด็ดอาหารไทย

 นายกุลกุมุท สิงหรา ณ อยุธยา เอกอัครราชทูต ณ กรุงมาดริด ให้สัมภาษณ์ นิตยสาร Hola! ถึงประวัติศาสตร์ความเป็นมา ศิลปวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของคนไทย
       นิตยสาร Hola! ซึ่งเป็นนิตยสารที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักแพร่หลายทั่วโลกและเป็นเครือเดียวกันกับนิตยสาร Hello! ซึ่งเป็นนิตยสารที่มีชื่อเสียงระดับโลก ได้ตีพิมพ์บทความ Garden of Flavors” (Jardin de Sabores) ซึ่งเป็นบทสัมภาษณ์นายกุลกุมุท สิงหรา ณ อยุธยา เอกอัครราชทูต ณ กรุงมาดริด  มีเนื้อหาโดยสรุปกล่าวถึงประวัติศาสตร์ความเป็นมา ศิลปวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของคนไทยมาแต่โบราณ รวมทั้ง กล่าวถึงบทบาทของพระราชวังของไทยในการส่งเสริมพัฒนาการอาหารไทยในทุกยุคสมัย เพื่อตีพิมพ์ในนิตยสารฉบับพิเศษของ Hola! Cocina ประจำเดือนธันวาคม 2554 ในหน้า 56-62 โดยทีมงานของนิตยสาร Hola! Cocina ได้มาถ่ายทำภาพเอกอัครราชทูตฯ ทำเนียบเอกอัครราชทูตฯ และอาหารไทย  4 ชนิด ได้แก่ ต้มยำกุ้ง น้ำพริกอ่อง หรุ่ม และถั่วแปบไส้ถั่ว ตลอดจนการแกะสลักผักและผลไม้ รวมทั้งการจัดโต๊ะอาหารและตั่งสำหรับนั่งรับประทานน้ำชาและของว่างแบบไทยๆ โดยพ่อครัวของสถานเอกอัครราชทูตฯ    
       ภายหลังการวางแผงจำหน่าย นิตยสาร Hola! Cocina ฉบับพิเศษนี้ ปรากฏว่านิตยสารดังกล่าวได้รับความนิยมสูงมาก ซึ่งคงเป็นเพราะนิตยสาร Hola!  เป็นนิตยสารที่เป็นที่รู้จักแพร่หลายทั่วโลกและเป็นที่รวบรวมสูตรอาหารที่ทันสมัย ซึ่งกลุ่มธุรกิจด้านโรงแรมและด้านอาหาร รวมทั้งแม่บ้านชาวสเปนต่างให้ความสนใจหาซื้อ
       การที่นิตยสาร Hola! ให้ความสนใจตีพิมพ์บทความที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมไทยและอาหารไทย ถือเป็นโอกาสอันดีในการส่งเสริมให้อาหารไทยเป็นที่รู้จักแพร่หลายยิ่งขึ้นทั้งในสเปน ลาตินอเมริกาและประเทศต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งจะมีส่วนช่วยส่งเสริมธุรกิจอาหารไทย ผลิตภัณฑ์อาหารไทย และร้านอาหารไทยในต่างประเทศให้เป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมยิ่งขึ้น นับเป็นการสนองตอบนโยบายส่งเสริมครัวไทยสู่โลกเป็นอย่างดีและสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การส่งเสริมอาหารไทยที่สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมาดริด มุ่งเน้น และได้ดำเนินการมาโดยตลอด


























ที่มา : www.mfa.go.th

วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2555

ภารกิจบุญข้ามพรมแดน

ชาวพุทธทุกคนคงทราบดีถึงสถานที่อันเป็นสังเวชนียสถาน 4 แห่งที่ชาวพุทธหากมีโอกาสก็หวังจะได้ไปเยือนเพื่อสักการะเป็นสิริมงคลของชีวิต 

สังเวชนียสถานทั้ง 4 แห่ง อันประกอบด้วย 
1. สถานที่ประสูติ ตั้งอยู่ที่ลุมพินี เขตประเทศเนปาล (ห่างจากพรมแดนอินเดีย-เนปาล 32 กม.) 


2. สถานที่ตรัสรู้ ที่ตำบลพุทธคยา รัฐพิหาร ประเทศอินเดีย

3. สถานที่แสดงปฐมเทศนา ตั้งอยู่ที่เมืองพาราณสี ประเทศอินเดีย

4. สถานที่ดับขันธปรินิพพาน ตั้งอยู่ที่เมืองกุสินารา ประเทศอินเดีย

ในแต่ละปี ชาวพุทธจากทุกมุมโลกจะเดินทางไปแสวงบุญยังสังเวชนียสถานดังกล่าวเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะคนไทยพุทธ แต่เนื่องจากบริเวณที่ตั้งของสังเวชนียสถานแต่ละแห่งยังคงไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกเพียงพอ และผู้แสวงบุญต้องเดินทางจาริกไปสักการะให้ครบทั้ง 4 แห่ง ซึ่งตั้งอยู่ห่างกันมาก โดยเฉพาะในส่วนของสถานที่ประสูติ หรือลุมพินีที่ตั้งอยู่ในเขตประเทศเนปาล ผู้แสวงบุญต้องเดินทางข้ามพรมแดนทางบกจากประเทศอินเดียเข้าไปประเทศเนปาลซึ่งมักจะไม่ได้รับความสะดวกด้านการเข้าเมืองอีกด้วย อีกทั้งยังมีปัญหาด้านสาธารณสุข และสภาพอากาศที่ทำให้ผู้แสวงบุญเจ็บป่วยได้ง่าย

ท่านทูตมาริษ เสงี่ยมพงษ์ เอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศเนปาล ตระหนักถึงปัญหาต่างๆ ของผู้แสวงบุญชาวไทยเป็นอย่างดีจึงได้เสนอให้กระทรวงการต่างประเทศส่งผู้ช่วย ตำแหน่งกงสุลพิเศษประจำเมืองลุมพินี ปฏิบัติภารกิจบุญอำนวยความสะดวกแก่ผู้แสวงบุญชาวไทย โดยมีหน้าที่ประสานกับหน่วยงานของอินเดียและเนปาลในการที่จะให้การเดินทางข้ามพรมแดนของผู้แสวงบุญเป็นไปด้วยความรวดเร็วและเรียบร้อย และประสานงานต่างๆ ตำแหน่งกงสุลเมืองลุมพินีนี้เป็นตำแหน่งที่ขอแรงจากนักการทูตของกระทรวงฯ อาสาสมัครสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันคราวละ 3 เดือนไปปฏิบัติงานในหน้าที่ดังกล่าว

และเมื่อวันที่ 9 ม.ค. 55 ได้มีผู้แสวงบุญชาวไทยรายหนึ่งเป็นลมหมดสติถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลในเมือง Bhairahwa ประเทศเนปาล ซึ่งต่อมากงสุลและสถานทูตรวมทั้งแพทย์ผู้รักษาเห็นว่าโรงพยาบาลดังกล่าวเป็นโรงพยาบาลขนาดเล็ก ขาดเครื่องมือทางการแพทย์ที่จำเป็นต่อการรักษาอาการของชายไทยผู้แสวงบุญรายดังกล่าวซึ่งคาดว่าหมดสติเนื่องจากเส้นเลือดในสมองแตก จึงได้ส่งตัวผู้ป่วยไปรักษาตัวยังประเทศอินเดียซึ่งอยู่ใกล้กว่า และได้ติดต่อญาติผู้ป่วยที่เมืองไทยให้เดินทางไปเยี่ยมอาการป่วยของผู้แสวงบุญรายนี้ที่ประเทศอินเดียด้วยแล้ว

นอกจากคนไทยแล้ว น้ำใจจากสถานทูตไทยและวัดไทยลุมพินียังเผื่อแผ่ไปยังชาวต่างชาติอีกด้วย โดยเมื่อวันที่  3 ม.ค. 55 ได้เกิดเหตุการณ์ที่น่าสลดขึ้นเมื่อชายชาวจีนคนหนึ่งได้กระทำอัตวิบาตกรรม (ฆ่าตัวตาย) ที่เมืองโพคารา ประเทศเนปาล หลังจากติดตามภรรยาชาวไทยร่วมแสวงบุญที่ลุมพินีกับคณะทัวร์ชาวไทย พระราชรัตนรังษี ปฏิบัติหน้าที่เจ้าอาวาสวัดไทยลุมพินี ก็ได้เดินทางมาประกอบพิธีกรรมทางศาสนาให้กับผู้เสียชีวิต และสร้างขวัญกำลังใจแก่ภรรยาชาวไทยรวมทั้งคณะทัวร์ชาวไทยที่ร่วมเดินทางมาด้วยกันกับผู้เสียชีวิตด้วย ส่วนสถานทูตก็ได้ช่วยประสานกับสถานทูตจีนในเนปาล รวมถึงทางการท้องถิ่นของเนปาลเพื่อนำศพของผู้เสียชีวิตกลับประเทศจีน แต่ทางการจีนแจ้งว่าไม่สามารถนำศพกลับประเทศจีนได้ ในที่สุด ภรรยาชาวไทยและญาติผู้เสียชีวิตก็ต้องตัดสินใจฌาปณกิจศพที่ประเทศเนปาล จากกรณีดังกล่าวแม้ว่าผู้เสียชีวิตจะเป็นคนต่างชาติแต่ก็มีภรรยาเป็นคนไทยและเดินทางมาจาริกแสวงบุญและท่องเที่ยวที่ประเทศเนปาลกับคณะคนไทย เมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นได้ส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของญาติผู้เสียชีวิตและคณะชาวไทยเป็นอย่างมาก เจ้าหน้าที่สถานทูต กงสุลเมืองลุมพินีได้ประสานใกล้ชิดกับวัดไทยลุมพินี หน่วยงานเนปาล และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในการช่วยเหลืออำนวยความสะดวกต่างๆ อย่างเต็มที่ รวมทั้งสร้างขวัญกำลังใจแก่ญาติและคณะชาวไทยอื่นๆ

นอกเหนือจากการอำนวยความสะดวกแก่ผู้แสวงบุญดังกล่าวแล้ว กงสุลเมืองลุมพินี ยังมีบทบาทสำคัญในการประสานความร่วมมือกับวัดไทยลุมพินีในการดำเนินโครงการต่างๆเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ชาวเนปาลผู้ยากไร้ อาทิ โครงการผ่าตัดตาต้อกระจก การร่วมบริจาคเงินเพื่อสร้างอาคารเรียนให้แก่โรงเรียน Metta ซึ่งเป็นโรงเรียนที่ตั้งอยู่ชายขอบประเทศเนปาล และบ้านเด็กกำพร้าดาวเน่ รวมทั้งการบริจาคผ้าห่ม ข้าวสารแก่ผู้ยากไร้ชาวเนปาล การนำคณะแพทย์ไทยไปให้การรักษาชาวเนปาลในคลินิกของวัดเนปาล  เขตเมืองลุมพินี กิจกรรมต่างๆ ข้างต้นนับเป็นการเสริมสร้างความเข้าใจอันดีในระดับประชาชนชาวไทยและเนปาลที่บังเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมและมีความชัดเจน รวมทั้งเป็นการเผยแผ่งานพุทธศาสนาด้านศาสนสงเคราะห์อีกด้วย




ที่มา : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกาฐมาณฑุ







วันพุธที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2555

เส้นทางสู่อเวจีสำหรับคนไทยที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยานรก




เรื่องราวของยาเสพติดยังคงปรากฏเป็นข่าวผ่านการรับรู้ของผู้คนในสังคมมาตลอดไม่เคยว่างเว้น ยังมีมนุษย์ชั่วๆ ที่แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนโดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของคนอื่น และเหยื่อของยาเสพติดไม่ใช่มีแต่ผู้เสพเท่านั้น ผู้ที่หลวมตัวเข้าไปอยู่หรือไปมีส่วนร่วมในวงจรอุบาทว์นี้ก็เสมือนกับตกนรกทั้งเป็นด้วย

เมื่อช่วงเดือนกันยายน ปีที่ผ่านมาก็มีคนไทยถูกจับที่ประเทศจีน ข้อหาลักลอบนำยาเสพติด (เฮโรอีน) เข้าประเทศ จากการสอบสวนปากคำ ชายไทยรายนี้ก็ให้ข้อมูลว่า ตนเคยทำงานที่บาร์หลายแห่งบริเวณซอยอ่อนนุชและซอยนานา ในกรุงเทพฯ และได้รู้จักกับชายผิวดำจึงได้แลกเบอร์โทรศัพท์กันไว้ ต่อมาเมื่อปี 2553 ชายผิวดำคนดังกล่าวได้ชักชวนให้ไปขนเฮโรอีนที่ประเทศมาเลเซียเพื่อไปส่งที่เมืองเซินเจิ้น ประเทศจีน โดยจะมีผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้ จึงได้ตกลงทำและเดินทางออกไปประเทศมาเลเซียทางด่านสะเดา จังหวัดสงขลา เมื่อถึงประเทศมาเลเซียจะเข้าพักที่โรงแรมซึ่งจะมีชายผิวดำอีกคนหนึ่งนำเฮโรอีนมาให้กลืนลงท้อง จากนั้นออกเดินทางไปยังเมืองเซินเจิ้นแล้วจะมีคนมารับเข้าพักที่โรงแรมพร้อมให้เบอร์โทรศัพท์ติดต่อไว้ เมื่อถ่ายของ (เฮโรอีน) ออกหมดแล้วให้ติดต่อไปจะมีคนมารับของพร้อมจ่ายเงินให้ครั้งละ 70,000 - 80,000 บาท แล้วเดินทางกลับมาเลเซียและเข้าไทยทางด่านสะเดา ซึ่งตนทำเช่นนี้มาหลายครั้งแล้ว จนกระทั่งครั้งสุดท้ายเมื่อเดือนกันยายน 2554 ระหว่างจะผ่านด่านศุลกากรที่เมืองเซินเจิ้น ประเทศจีน ก็ถูกเจ้าหน้าที่นำตัวไปเอกซเรย์และตรวจพบเฮโรอีนจำนวน 772.8 กรัม จึงถูกจับกุมตัว

นี่ไม่ใช่คนไทยรายแรกที่ถูกจับกุม กระบวนการนรกนี้ หลอกลวงคนไทยมานับไม่ถ้วนแล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นหญิงไทยที่หัวอ่อน เชื่อคนง่าย บางรายมีลูกกับมนุษย์ชั่วพวกนี้ด้วย  ก็เรียกว่าเสียทั้งตัว เสียทั้งอนาคต เพราะโทษที่ได้รับ เกือบทุกราย "ประหารชีวิต"   สถานทูตไทยหลายแห่งก็ช่วยอะไรไม่ได้มากเพราะหลักฐานมัดตัวเแน่นหนา กฎหมายต่างประเทศก็รุนแรงเข้มงวด ปัจจุบันมีคนไทยที่ถูกจับกุมในต่างประเทศในข้อหายาเสพติดจำนวนมาก และรอการประหารชีวิตอยู่อีกหลายราย

ภาพที่น่าเวทนาและสลดใจ นอกจากจะเป็นภาพที่เราต้องเห็นคนไทยถูกประหารชีวิตหรือถูกจับกุมคุมขังในต่างประเทศแล้ว บางรายก็ต้องจบชีวิตก่อนจะถูกจับกุมเพราะถุงบรรจุเฮโรอีนที่กลืนลงท้องไปเกิดแตกขึ้นมา ร่างกายรับปริมาณยาเสพติดขนาดนั้นไม่ได้ก็ช็อคตายไป บางรายถูกจับกุมขณะตั้งครรภ์อ่อนๆ ก็ต้องรอจนคลอดลูกในเรือนจำ สถานทูตก็ต้องส่งตัวลูกกลับประเทศไทย เป็นภาระให้ญาติพี่น้องที่เมืองไทยต้องเลี้ยงดู ซึ่งก็ไม่ทราบว่าเด็กที่เติบโตมาโดยที่ไม่รู้ว่าพ่อเป็นใคร แม่อยู่ไหน จะมีความรู้สึกอย่างไร และยิ่งถ้ารู้ความจริงว่าพ่อเป็นนักค้ายา แม่ก็ถูกประหารชีวิตไปแล้ว เด็กคนนั้นจะกลายเป็นปัญหากับสังคมต่อไปหรือไม่ ที่แย่ที่สุดคือ มนุษย์ชั่วที่มาหลอกลวงคนไทยยังคงลอยนวล ยังคงหลอกคนไทยต่อไป ยังคงจะมีคนไทยอีกหลายคนต้องตกเป็นเหยื่อวงจรนรกนี้ต่อไปอีก

จึงอยากฝากเป็นอุทธาหรณ์ว่าอย่าหลงเชื่อคนง่าย อย่าเห็นแก่ประโยชน์ค่าจ้างเล็กน้อยแล้วต้องเอาชีวิต เอาอนาคตของตัวเองไปเสี่ยง  และที่สำคัญที่สุด อย่าหลอกตัวเอง


วันอังคารที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2555

สัญญาณอันตราย ไนจีเรียประท้วงหยุดงานทั่วประเทศ





สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอาบูจา ประเทศไนจีเรีย แจ้งเหตุการนัดหยุดงานทั่วประเทศเพื่อต่อต้านนโยบายเลิกสนับสนุนราคาน้ำมันของรัฐบาลไนจีเรียซึ่งยังคงดำเนินเรื่อยมาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 และยังไม่ีมีแนวโน้มว่าจะจบลงเมื่อใด สถานที่ราชการยังคงปิดทำการ ธุรกิจร้านค้าและการคมนาคมหยุดชะงัก ประชาชนต้องเก็บตัวอยู่ในที่พักอาศัยเพราะเกรงจะได้รับอันตรายจากกลุ่มผู้ใช้แรงงานที่คอยขัดขวางเพื่อให้มีการหยุดงานทั่วประเทศเป็นการกดดันรัฐบาล

เจ้าหน้าที่สถานทูตเองก็ต้องทำงานและติดตามสถานการณ์อยู่ในบ้านพัก และติดต่อกับคนไทยเป็นระยะ โดยที่เมืองลากอส ที่มีคนไทยอาศัยอยู่มากที่สุด และเป็นจุดที่มีการประท้วงรุนแรง ปรากฏว่ายังไม่มีคนไทยได้รับอันตรายใด และยังคงเก็บตัวอยู่ตามที่พักเช่นกัน ส่วนคนไทย 70 คน ที่ทำงานสร้างโรงไฟฟ้าที่เมือง Calabar ตอนใต้ของไนจีเรีย นายจ้างดูแลเรื่องความปลอดภัยเป็นอย่างดีและยังไม่ประสบปัญหาแต่อย่างใด ในเมืองหลวงอาบูจา ผู้คนไม่กล้าออกนอกบ้าน ถนนหนทางจึงแทบไม่มีผู้คนสัญจรไปมา

สิ่งที่สถานทูตหวั่นเกรงมากที่สุดตอนนี้คือหากการประท้วงยืดเยื้อเชื่อว่าประชาชนจะต้องขาดแคลนอาหารเนื่องจากร้านค้าร้านอาหารต่างๆ ปิดประตูอย่างแน่นหนาเพราะกลัวถูกปล้น ซึ่งแนวโน้มว่าประชาชนจะออกมาปล้นสะดมทำลายร้านค้าเพื่อหาเสบียงอาหารมีความเป็นไปได้สูง

ในช่วงนี้ สถานทูตจึงขอให้คนไทยหลีกเลี่ยงการเดินทางไปไนจีเรียเพราะอาจมีปัญหาทางด้านการสื่อสารคมนาคมทางอากาศ การเดินทางทางบกก็อาจจะถูกขัดขวางโดยกลุ่มผู้ประท้วง นอกจากนี้ยังมีโจรสวมรอยปล้นประชาชนที่เดินทางด้วย

ที่มา : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอาบูจา