วันอาทิตย์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2555

แขกถล่มยิว ไทยโดนลูกหลง เจ็บหนัก

ท่านอัฐกาญจน์ วงศ์ชนะมาศ อัครราชทูตที่ปรึกษา สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ รายงานด่วนเข้ามาว่า เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุการณ์ยิงจรวดและปืนครกโดยกลุ่ม Hamas จากฉนวนกาซาเขามาตกในคิบบุตซ์ คิซุฟิม ติดฉนวนกาซ่า เขตชายแดนอิสราเอล แรงงานไทยเคราะห์ร้ายเข้าไปทำงานในบริเวณนั้นพอดี โดนไปเต็มๆ บาดเจ็บสาหัส 2 ราย และบาดเจ็บเล็กน้อยอีก 1 ราย ทหารอิสราเอลช่วยนำตัวผู้บาดเจ็บทั้งหมดส่งโรงพยาบาลแล้ว 


ท่านทูต จักร บุญ-หลง ทราบข่าวก็รีบสั่งการให้ท่าน อทป. อัฐกาญจน์ พร้อมเจ้าหน้าที่กงสุลเดินทางไปดูแลพี่น้องแรงงานไทยที่ได้รับบาดเจ็บในทันที 

มีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส 2 ราย และ อีก 1 ราย บาดเจ็บเล็กน้อย (กลับไปพักที่ที่พักได่้) ผู้ที่บาดเจ็บสาหัส มีรายหนึ่ง ถูกระเบิดที่ศรีษะ ปอดและไหล่ซ้าย แพทย์กำลังรักษาและเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิดที่โรงพยาบาล Soroka เมือง Bee'r Sheva ทางภาคใต้ของอิสราเอลครับ 

อีกรายหนึ่ง แพทย์แจ้งว่า ได้รับบาดเจ็บที่แขนและขา และตอนนี้พ้นขีดอันตรายแล้ว รอพักฟื้นที่แผนกออร์โธปิดิกส์ต่อไป

หลังจากนั้น กงสุลและเจ้าหน้าที่ ได้เดินทางไปเยี่ยมเยียนพี่น้องคนงานไทยที่โมชาฟเอนฮาบซอ เพื่อปลอบขวัญและให้กำลังใจ และ เตือนให้ระมัดระวังกรณี เกิด เหตุระเบิด .... ให้มากที่สุดครับ

ต่อมาเมื่อวันที่ 28 ต.ค. ท่านทูต จักร- บุญ-หลง พร้อมทั้ง ท่าน อทป. อัฐกาญจน์ฯ และ เจ้าหน้าที่สถานทูตเดินทางไปเยี่ยมแรงงานไทยที่ได้รับบาดเจ็บเพื่อให้กำลังใจและขอให้คนไทยทุกคนเพิ่มความระมัดระวังและปฎิบัติตามคำแนะนำเรื่องความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด

นายจักร บุญ-หลง เอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ และเจ้าหน้าที่กงสุลไทย เยี่ยมเยียนแรงงานไทยที่ได้รับบาดเจ็บ จากกระสุนจรวดและปืนครก ยิงมาจากฉนวนกาซาตกที่คิบบุตซ์ คิซุฟิม ผู้บาดเจ็บ 2 ราย ตอนนี้รักษาตัวที่โรงพยาบาล Soroka ที่เมืองเบียเชวา ทางภาค
ใต้ของอิสราเอล ... ส่วนอีกรายกลับไปพักรักษาตัวที่บ้านได้แล้ว .... ผุ้บาดเจ็บสาหัสรายหนึ่งแพทย์กำลังเฝ้าดูอาการเพราะโดนระเบิดที่ศรีษะ ไหล่ซ้าย และ ปอด อีกรายเบากว่าโดนที่แขน ขา สามารถรู้สึกตัวดีแล้ว ...

โอกาสนี้ เอกอัครราชทูต ได้ไปให้กำลังใจแรงงานไทยที่อยู่ใกล้เคียงและขอให้ระมัดระวังตัว และหากมีเหตุ ก็ขอให้หลบภัย ตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่อิสราเอล อย่างเคร่งครัด
เอกอัครราชทูตไทย กับ พี่น้องแรงงานไทย ที่ คิบบุตซ์ คิซุฟิม สถานที่ที่กระสุนจรวดตก







ที่มา : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ

สาวไทยโดนเอเยนต์เบี้ยวไม่ออกตั๋วขากลับ

สถานกงสุลใหญ่ ณ นครซิดนี่ย์ ประเทศออสเตรเลีย รายงานมาว่าได้ให้ความช่วยเหลือหญิงไทยรายหนึ่งที่ได้รับความเดือดร้อนไม่มีตั๋วเครื่องบินที่จะใช้เดินทางกลับประเทศไทย
หญิงไทยรายนี้ซื้อตั๋วเครื่องบินแบบมีอายุ 1 ปี ( หรือที่ในวงการการบินเรียกกันว่า ตั๋วปี ) ซึ่งตั๋วชนิดนี้เป็นตั๋วโดยสารเครื่องบินที่จะระบุแต่วันเดินทางขาไปแต่ไม่ระบุวันที่เดินทางกลับ ตั๋วโดยสารประเภทนี้ เป็นตั๋วโดยสารที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องเดินทางไปอยู่ในต่างประเทศเป็นระยะเวลานาน เช่นไปเรียนหนังสือหรือทำงาน และไม่มีกำหนดวันเดินทางกลับที่แน่นอน ผู้โดยสารจะต้องติดต่อกับทางสายการบินหรือเอเยนต์อีกครั้งหนึ่งเพื่อให้ออกตั๋วขากลับให้
สาวไทยรายนี้ก็ได้ซื้อตั๋วชนิด 1 ปี นี้ โดยได้จ่ายเงินไปแล้วครบถ้วน พออยู่ที่ออสเตรเลียได้ไม่ทันไรก็เกิดปัญหาทางเทคนิคเล็กน้อยต้องเดินทางกลับประเทศไทยก่อนกำหนด จึงได้โทรศัพท์มายังเอเย่นต์ขายตั๋วเครื่องบินที่เมืองไทยเพื่อให้ออกตั๋วขากลับให้ โทรแล้วโทรอีก ถึง 9 ครั้ง เอเยนต์ที่เมืองไทยก็ยังไม่ยอมออกตั๋วให้ เงินทองก็ร่อยหรอ วีซ่าก็กำลังจะหมดอายุ จำต้องหันหน้ามาขอความช่วยเหลือจากสถานกงสุลฯ ซึ่งทางสถานกงสุลก็ได้เจรจาจัดการให้ทุกอย่างจนกระทั่งเอเยนต์ที่เมืองไทยยอมออกตั๋วให้และหญิงไทยรายนี้ก็ได้เดินทางกลับบ้านอย่างฉิวเฉียดก่อนที่วีซ่าออสเตรเลียจะหมดอายุและจะต้องถูกปรับถูกดำเนินคดีซึ่งจะยิ่งยุ่งยากขึ้นไปอีก
สถานกงสุลฯ บอกด้วยว่า เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอยู่เสมอๆ เนื่องจากพวกเอเยนต์ทัวร์มักจะมีลักษณะเป็นเอเยนต์รายย่อย Sub-agent พอรับเงินจากลูกค้ามาก็ต้องนำไปออกตั๋วโดยสารกับเอเยนต์ใหญ่อีกที และส่วนมากก็จะซื้อแบบเที่ยวเดียว ( one way ) เงินที่เหลือที่ลูกค้าจ่ายมาแล้วก็จะนำไปหมุนก่อน พอมีลูกค้าแจ้งมาว่าให้ออกตั๋วขากลับจึงจะไปดำเนินการออกตั๋วให้อีกครั้งหนึ่ง กรณีของหญิงๆ ไทยรายนี้ คาดว่า เอเยนต์คงจะหมุนเงินไม่ทันจึงบ่ายเบี่ยงอยู่นาน
คนไทยที่ซิดนี่ย์เองก็ถูกโกงในลักษณะคล้ายๆ กันนี้เช่นกัน โดยเมื่อมีลูกค้าจองตั๋วโดยสารและจ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว เอเยนต์จะออกใบยืนยันการจอง ( Booking Confirmation ) ให้กับลูกค้าซึ่งโดยปกติสามารถนำไปแสดงแก่สายการบินเพื่อโดยสารเครื่องบินได้เลย ไม่จำเป็นต้องเป็นตั๋วโดยสาร แต่พอลูกค้าจะเดินทางกลับขึ้นเครื่องไม่ได้เนื่องจากทางเอเยนต์ยังไม่ได้โอนเงินให้แก่สายการบิน พฤติกรรมโกงลูกค้าแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยๆ ในซิดนี่ย์ เอเยนต์ก็จะเปลี่ยนชื่อบริษัทไปเรื่อยๆ แต่เจ้าของยังเป็นคนเดิม ทางสถานกงสุลฯ ก็ได้พยายามประชาสัมพันธ์ในหมู่คนไทยเพื่อมิให้ถูกหลอก ถูกโกงอีก

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การหลอกลวงคดโกงกันยังมีอยู่ จะซื้อตั๋วขี่เรือบินไปไหนก็ระมัดระวังพวกเอเยนต์ขี้โกงพวกนี้ด้วย

ด้วยความปรารถนาดีจาก : สถานกงสุลใหญ่ ณ นครซิดนี่ย์
                                        : กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ


วันพฤหัสบดีที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เรียนซัมเมอร์ที่นิวซีแลนด์... เรื่องยังไม่จบ


เมื่อไม่นานมานี้  กรมการกงสุลเคยเตือนภัยกรณีนักเรียนไทยรายหนึ่งถูกกลุ่มมิจฉาชีพ
ซึ่งอ้างตนเป็นเจ้าหน้าที่ของสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในประเทศนิวซีแลนด์หลอกลวงให้โอนเงินค่าใช้จ่ายต่างๆ ไปให้แล้วก็เชิดเงินหลบหนีไป  ทิ้งให้เด็กนักเรียนและผู้ปกครองที่เมืองไทยประสบปัญหาโดยลำพัง  ไม่รู้ว่าจะไปพึ่งพาขอความช่วยเหลือจากใคร
หลังจากเกิดเรื่องได้ไม่นาน  กรมการกงสุลก็ได้รับการติดต่อจากสถานทูตนิวซีแลนด์
ที่กรุงเทพฯ ทันที  เนื่องจากเป็นเรื่องสำคัญที่กระทบต่อชื่อเสียงของสถาบันการศึกษาในต่างประเทศ  และยังกระทบต่อความรู้สึกของคนไทยด้วย  เจ้าหน้าที่ของสถานทูตยืนยันว่า 
กรณีนี้ได้มีการประสานงานกับทางการตำรวจและหน่วยงานที่กำกับดูแลด้านการศึกษาของประเทศนิวซีแลนด์ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว  รวมทั้งหาตัวผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับเรื่องนี้
มาลงโทษตามกฏหมาย
กรมการกงสุลขอแสดงความขอบคุณและชื่นชมต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่สถานทูต และหน่วยงานด้านการศึกษาของนิวซีแลนด์  ที่ได้ให้ความสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาและดำเนินมาตรการเพื่อป้องกันการถูกหลอกลวงในลักษณะนี้อย่างจริงจัง
กรณีปัญหาที่เกิดขึ้นกับนักเรียนไทยรายนี้  กรมการกงสุลจะติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิด   เมื่อทราบข้อเท็จจริงแน่ชัดแล้วจะได้นำข้อมูลที่เป็นประโยชน์มาประชาสัมพันธ์เผยแพร่
ให้สาธารณชนทราบต่อไป

ที่มา : กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
         กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ

วันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2555

มาเลเซียเข้ม จับแหลกต่างด้าวทำงานผิดกฎหมาย

ฝากข่าวกันมาอีกแล้ว สำหรับท่านสมพงษ์ กางทอง อัครราชทูตที่ปรึกษา สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย แจ้งมาว่าท่านเพิ่งจะไปช่วยเหลือคนไทยที่ถูกกักตัวที่สนามบินกรุงกัวลาลัมเปอร์เนื่องจากใช้ตราประทับเข้าเมืองปลอม
จากการสอบถามทราบเพิ่มเติมทราบว่า คนไทยทั้ง 8 คนที่ถูกจับกุมในคราวนี้เดินทางเข้ามาเลเซียโดยมีนายหน้าติดต่อให้ไปเล่นดนตรีในสถานบันเทิง ทั้งหมดเข้าเมืองโดยไม่มีวีซ่าหรือใบอนุญาติทำงาน พอทำงานได้ประมาณ 28 วัน นายหน้าได้นำหนังสือเดินทางไป บอกว่าจะไปต่อวีซ่าให้ทำงานได้อีก 1 เดือน นักดนตรีไทยก็ไม่ทราบเลยว่าวีซ่าที่พวกตนได้รับเป็นของปลอม พอจะเดินทางออกจากประเทศมาเลเซียจึงถูก ตม. ที่สนามบินกักตัวไว้เพื่อส่งดำเนินคดีข้อหาใช้ตราประทับเข้าเมืองปลอม
ตม. มาเลเซียบอกว่า แม้ว่าคนไทยทั้งหมดจะไม่ได้เป็นผู้ปลอมวีซ่า แต่ก็จะโดนตั้งข้อหา "ใช้วีซ่าปลอม" ซึ่งมีโทษสูงสุดคือจำคุก 5 ปี ปรับไม่เกิน 50,000 ริงกิต (ประมาณ 500,000 บาท) หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งถือได้ว่าเป็นบทลงโทษที่ค่อนข้างรุนแรง

ท่านสมพงษ์ฯ เล่าให้ฟังด้วยว่า ตั้งแต่เดือนมกราคม 2555 เป็นต้นมา มีคนไทยมากกว่า 20 คน ที่เข้าไปรับจ้างเล่นดนตรีในมาเลเซียโดยมีนายหน้าชักชวน อ้างว่าสามารถทำใบอนุญาตทำงานระยะสั้นให้ได้ และหากมีปัญาก็สามารถจะ "เคลียร์" กับตำรวจได้ บางรายถูกจำคุกคนละ 1-3 เดือน บางรายพ้นโทษเดินทางกลับประเทศไทยแล้ว ยังกลับเข้ามาเลเซียและก็ถูกจับอีก ต้องเสียเงินทั้งบนโต๊ะใต้โต๊ะจำนวนมาก กว่าจะ "เคลียร์" กันได้ ซึ่งตามกฎหมายมาเเลเซีย แรงงานต่างด้าวที่เคยทำผิดกฎหมายและถูกส่งตัวกลับประเทศไปแล้ว หากยังกลับเข้ามาเลเซียและทำงานโดยผิดกฎหมายอีกจะถูกจับกุมดำเนินคดีและลงโทษสถานหนัก แม้กระนั้นก็ตาม ยังมีคนไทยดาหน้าเข้ามาเลเซียอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย บ้างก็ถูกนายหน้าหลอกว่าจะไม่มีปัญหา ทางการมาเลเซียจะมีโครงการอภัยโทษอยู่เรื่อยๆ หรือหลอกว่าจะขอใบอนุญาตทำงานให้ ซึ่งสถานะ ณ สิ้นเดือน กันยายน 2555 สถานทูตได้รับแจ้งว่ามีคนไทยถูกจับกุมทั้งคดรทำงานผิดกฎหมาย คดีเข้าเมืองผิดกฎหมาย และคดียาเสพติดรวมแล้วกว่า 700 คน

ดังนั้น จึงขอให้คนไทยอย่าได้หลงเชื่อนายหน้าที่มาชักชวนให้เข้าไปทำงานในมาเลเซีย เพราะทางการมาเลเซียเข้มงวดเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้มาก ท่านจะต้องถูกจับกุมดำเนินคดีอย่างแน่นอน และเมื่อถูกจับกุมแล้ว นายหน้าหรือนายจ้างก็ไม่สามารถจะช่วยอะไรได้และจะหายหน้าเข้ากลีบเมฆเพราะตัวเองก็มีความผิดฐานจ้างแรงงานผิดกฎหมายด้วยซึ่งจะต้องถูกลงโทษหนักเป็น 3 เท่าของแรงงานที่ตนจ้าง ที่สำคัญก็คือ สถานทูตไม่สามารถช่วยอะไรท่านได้เพราะเป็นการกระทำผิดกฎหมายโดยชัดแจ้ง สรุปว่า เข้าไปทำงานในมาเลเซีย มีโอกาสสูงมากๆ ที่ท่านจะถูกจับกุมดำเนินดคี ยากที่จะรอดหูรอดตาตำรวจไปได้
ารไปทำงานอย่างถูกต้องนั้น สามารถกระทำได้โดยนายจ้างจะต้องยื่นเรื่องขอรับหนังสือยืนยันการจ้างงานจากกรมการจัดหางานของมาเลเซีย ที่เรียกกันว่า Calling Visa หรือ Visa with Reference ประกอบการยื่นขอวีซ่าจากสถานทูต/สถานกงสุลมาเลเซียในประเทศไทยก่อนการเดินทางไปทำงานในมาเลเซีย 

ที่มา : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์

วันอังคารที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2555

กงสุลไทยตรวจเยี่ยมหมอนวดไทยในอิหร่าน

       อิหร่านเป็นอีกประเทศหนึ่งที่หมอนวดไทยนิยมเดินทางไปทำงานกันมาก และก็เป็นประเทศที่มีปัญหามากไม่แพ้ประเทศอื่นเช่นกัน
ท่านกงสุลชาครีย์นรทิพย์ เสวิกุล เลขานุการเอก ปฏิบัติหน้าที่กงสุลไทยประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเตหะราน ประเทศอิหร่าน ก็ได้เดินทางไปเยี่ยมเยือนคนไทยโดยเฉพาะหมอนวดไทยที่ทำงานอยู่ตามเมืองต่างๆ ในประเทศอิหร่านอยู่เสมอ ล่าสุดได้ไปดูแลทักทายถามไถ่สารทุกข์สุกดิบหมอนวดไทยในกรุงเตหะราน รวมทั้งเจรจาพูดคุยกับนายจ้าง ซึ่งทำให้ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์อยากจะบอกกล่าวไปยังพี่น้องชาวไทยที่อยากจะเดินทางไปทำงานที่อิหร่าน
        ปัจจุบันมีหมอนวดแผนไทยที่ทำงานอยู่ในกรุงเตหะรานทั้งหมด 12 คน เป็นชายล้วน เนื่องจากอิหร่านยังไม่อนุญาตให้ผู้หญิงทำงานเป็นพนักงานนวด ยกเว้นที่เกาะคิชซึ่งเป็นเขต Free Zone ที่ขณะนี้มีคนไทยทำงานนวดอยู่ 30 คน มีทั้งชายและหญิง ทางนายจ้างบอกว่ากำลังเจรจากับทางการอิหร่านเพื่อขอให้อนุญาตให้ผู้หญิงมาทำงานนวดในอิหร่านได้

ฝ่ายหมอนวดไทยก็บอกว่า สภาพความเป็นอยู่โดยทั่วไปก็พอรับได้ ที่พักที่นายจ้างจัดให้สะดวกสบายพอสมควร แต่ปัญหาที่ประสบอยู่คือค่าครองชีพในอิหร่านที่ถีบตัวสูงขึ้นอย่างมากทำให้เงินเดือนไม่ค่อยจะพอใช้ นอกจากนี้ ยังมีปัญหาที่เกิดจากความแตกต่างทางวัฒนธรรม เช่น ชาวอิหร่านไม่นิยมให้ทิป การสื่อสารระหว่างพนักงานกับลูกค้า รวมทั้งการที่เจ้าหน้าที่ต้อนรับที่เป็นชาวอิหร่านไม่มีความเข้าใจการนวดแผนไทยที่ดีพอทำให้แนะนำบริการลูกค้าแบบผิดๆ เรื่องเหล่านี้ทางท่านกงสุลจึงได้แจ้งแก่นายจ้่างให้ทราบไว้ด้วย เพื่อจะได้หาทางปรับปรุงให้ดีขึ้นต่อไป

ท่านกงสุลจึงถือโอกาสอธิบายถึงสถานการณ์ประเทศอิหร่านที่ยังมีความไม่มั่นคงปลอดภัยทั้งทางการเมืองและภัยพิบัติทางธรรมชาติ สถานการณ์เลวร้ายอาจเกิดขึ้นได้ทุกเวลาจึงขอให้คนไทยทุกคนอย่าขาดการติดต่อกับสถานทูตหรือกลุ่มคนไทยด้วยกันเอง และคอยติดตามข่าวสารและเตรียมตัวให้พร้อมเสมอหากเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องอพยพออกจากอิหร่าน

ที่มา : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเตหะราน

วันพุธที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ไทยบริจาคเงินสนับสนุน "บ้านสวัสดิการ" ของบรูไน

เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2555 ท่านทูตอภิชาติ เพ็ชรรัตน์ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูต ณ บันดาร์เสรีเบกาวัน ประเทศบรูไน ได้บริจาคเงินจำนวน 1,500 ดอลลาร์บรูไน (ประมาณ 37,500 บาท) ให้กับ "บ้านสวัสดิการ" (เพื่อเยาวชนและสตรี) สังกัดกรมพัฒนาชุมชุน กระทรวงวัฒนธรรม เยาวชนและกีฬาของบรูไน
การมอบเงินครั้งนี้เป็นครั้งที่สองหลังจากที่เคยบริจาคให้กับองค์กรแห่งนี้มาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งเป็นการขอบคุณที่ "บ้านสวัสดิการ" ได้เคยให้ที่พักพิงแก่หญิงไทยที่ตกทุกข์ได้ยากที่ถูกกันตัวไว้เป็นพยานในคดีเกี่ยวกับการค้ามนุษย์จนได้รับการปล่อยตัวกลับประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2553-2555 รวมทั้งสิ้น 14 ราย ดังนั้น การบริจาคครั้งนี้เป็นการแสดงความขอบคุณและตอบแทนกระทรวงวัฒนธรรมฯ ของบรูไน ที่ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลไทยในการช่วยดูแลหญิงไทยที่ตกทุกข์ได้ยากเป็นอย่างดี
ท่านทูตได้กล่าวว่าการบริจาคครั้งนี้ แม้จะเป็นเงินเพียงเล็กน้อยแต่ก็จะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงานของ "บ้านสว้สดิการ" ต่อไป ในการที่จะเป็นที่พึ่งของผู้ที่ถูกกระทำทารุณกรรม หรือตกเป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์ซึ่งต้องการที่พึ่งพิง การเยียวยาทางจิตใจ รวมั้งการฝึกทักษะอาชีพเพื่อกลับไปใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติ
ท่านทูตอภิชาติ เพ็ชรรัตน์ มอบเงินบริจาคแก่ ผู้อำนวยการ
"บ้านสวัสดิการ"
ท่านทูตอภิชาติฯ ยังได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนของบรูไนด้วยว่า ภาพรวมของการล่อลวงหญิงไทยมีแนวโน้มมากขึ้น และรัฐบาลไทยดำเนินความพยายามทุกวิถีทางเพื่อแก้ปัญหานี้ โดยในส่วนของความร่วมมือกับบรูไนนั้น ได้มีการจัดทำบันทึกความเข้าใจ (MoU) ด้านการต่อต้านการค้ามนุษย์ระหว่างไทยกับบรูไนแล้วซึ่งจะนำไปสู่ความร่วมมือในระดับทวิภาคีที่เป็นรูปธรรมต่อไป

ที่มา : สถานเอกอัครราชทูต ณ บันดาร์เสรีเบกาวัน

วันจันทร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2555

คิดให้ดีก่อนไปแต่่งงานกับชาวเกาหลีใต้

ความนิยมหรือเทรนด์เกาหลีที่กำลังมาแรงไม่ว่าจะเรื่องอาหารการกิน แฟชั่น ดนตรี ภาพยนต์ เรื่อยไปจนถึงสินค้าจากเกาหลี กำลังขายดิบขายดีโดยเฉพาะในหมู่คนไทยที่รับอะไรง่ายๆ อยู่แล้ว หารู้ไม่ว่า การสร้างค่านิยมเกาหลีเป็นนโยบายของรัฐบาลเกาหลีใต้ในการที่จะทำให้ชาวโลกนิยมชมชอบทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเกาหลีโดยมองข้ามเรื่องของคุณภาพหรือข้อเท็จจริงบางอย่างไปด้วย  เช่นเดียวกับเรื่องการแต่งงานกับชายชาวเกาหลีใต้ของหญิงไทย

สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล รายงานว่า เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2555 ได้จัดกิจกรรมกงสุลสัญจร คราวนี้ไปจัดไกลถึงเมืองจอนลานัมโดซึ่งตั้งอยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของเกาหลีใต้ การเดินทางไปให้บริการด้านกงสุลแก่ชาวไทยในครั้งนี้ สถานทูตได้พบกับคนไทยซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานและหญิงไทยที่สมรสกับชายชาวเกาหลีใต้ และได้ทราบข้อมูลว่า หญิงไทยส่วนใหญ่มาจากภาคเหนือของไทย เช่น ลำปาง พะเยา ได้รับการติดต่อผ่านโบสถ์แคทอลิกในประเทศไทยให้เดินทางไปแต่งงานอยู่กินกับชายชาวเกาหลีใต้ เมื่อเดินทางถึงจึงทราบว่าครอบครัวฝ่ายชายมีฐานะยากจน ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรในชนบท มีการศึกษาค่อนข้างต่ำ ทำให้ไม่สามารถสมรสกับสตรีชาติเดียวกัน ( ก็ทั้งจน ทั้งด้อยการศึกษา สาวที่ไหนจะสนใจ ) จึงจำเป็นต้องหาหญิงต่างชาติมาแต่งงานด้วยเพื่อใช้ให้ทำงานแม่บ้านและเป็นแรงงานในไร่นา ต้องทำงานหนักและมีสภาพความเป็นอยู่ที่ลำบากกว่าในประเทศไทย

สถานทูตไทยมองเห็นเรื่องนี้ว่ากำลังจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ต่อไปในอนาคต เนื่องจากมีหญิงต่างชาติถูกชักชวนมาแต่งงานในลักษณะนี้มากขึ้นทุกที ทางรัฐบาลเกาหลีใต้เองก็พยายามรณรงค์เรื่องความแตกต่างทางเชื้อชาติและวัฒนธรรมโดยหวังจะให้เกิดความสมานฉันท์และกลมกลืน แต่วิธีการก็ยังสะท้อนให้เห็นถึงการไม่เปิดใจยอมรับคนต่างชาติและความต้องการครอบคนต่างชาติให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชนชาติเกาหลี คนต่างชาติเองก็ไม่ได้รับการยอมรับ ยังคงถูกดูหมิ่นดูแคลนในสังคมเกาหลีอยู่ถึงทุกวันนี้

ปัจจุบัน ค่านิยมการแต่งงานกับคนต่างชาติมีอยู่มากในหมู่ผู้หญิงไทย ส่วนใหญ่คิดแต่ว่าการแต่งงานกับคนต่างชาติจะทำให้ตัวเองมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น คิดว่าคนต่างชาติร่ำรวยทุกคน การแต่งงานจึงไม่ได้มีพื้นฐานจากความรักความเข้าใจอย่างที่ควรจะเป็น เมื่อหลวมตัวแต่งไปแล้วบางรายก็ทนไม่ได้ต้องหย่าร้างมีปัญหาตามมาอีกมากมาย ที่ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ชาวต่างชาติบางรายก็มาหาแต่งงานกับหญิงไทยด้วยเหตุผลที่ไม่บริสุทธิ์ เช่น แก่แล้วต้องการคนดูแล เรียกว่าเอามาเป็นคนรับใช้นั่นเอง บางรายมาทำตัวสนิทสนมกับหญิงไทย หว่านคำหวานทุกประเภทเพื่อให้ผู้หญิงเชื่อใจจากนั้นก็หลอกเอาเงิน อันนี้มีให้เห็นมากต่อมาก ส่วนใหญ่หลอกลวงกันทางอินเตอร์เน็ตมีหญิงไทยถูกหลอกสูญเงินเป็นจำนวนมาก ที่ร้ายที่สุดก็เห็นจะเป็นการหลอกให้หญิงไทยขนยาเสพติดข้ามประเทศ ต้องติดคุกติดตะรางและถูกศาลต่างประเทศตัดสินประหารชีวิตไปแล้วนับไม่ถ้วน มีบางรายหญิงไทยไม่รู้เท่าทันหลงไปแต่งงานด้วย พอแต่งเสร็จฝ่ายชายต่างด้าวก็หายตัวไปไม่มาให้เห็นอีกเลยไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุอะไร ก็อยากจะบอกไว้ว่าคนต่างชาติประเภทนี้เขาจะเอาทะเบียนสมรสที่จดกับหญิงไทยไปทำธุรกรรมต่างๆ เช่นเปิดบริษัท เปิดบัญชีธนาคาร รวมไปถึงการขอวีซ่าเพื่อขอมีถิ่นที่อยู่เพื่อจะได้อาศัยทำมาหากินอยู่ในเมืองไทยได้สะดวก อันนี้ก็ให้ระวังให้ดี วันดีคืนดีอาจจะมีใบแจ้งหนี้มาถึงบ้านก็เป็นไปได้ หรืออย่างเช่นในเกาหลีใต้ที่หญิงไทยบางคนแต่งงานด้วยโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ ไม่หาข้อมูลของฝ่ายชายให้ดีก่อน จึงต้องมีสามีเป็นชาวนา ต้องตกระกำลำบากทำงานหนักอยู่ในต่างแดน แย่หนักกว่าอยู่บ้านที่เืมืองไทยเสียอีก




เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เพราะมันเป็นเรื่องของชีวิตของคนทั้งคนที่จะต้องไปแต่งงานอยู่กินกับคนต่างชาติและต้องไปผจญชะตากรรมอยู่ในต่างบ้านต่างเมือง ทุกข์ทั้งกาย ทุกข์ทั้งใจ อนาคตมืดมน ก็ขอเตือนกันไว้สำหรับสาวๆ ชาวไทยที่นิยมแต่งงานกับคนต่างชาติ ขอบอกแบบฟันธงเลยว่า โอกาสที่จะประสบความสำเร็จมีชีวิตสมรสที่ราบรื่นอย่างที่หวังมีน้อยมาก อย่าเห็นแต่คนที่ประสบความสำเร็จแล้วก็คิดว่าเราต้องประสบความสำเร็จอย่างนั้นด้วย เพราะในความเป็นจริง คนที่ล้มเหลวก็มีให้เห็นมาก ยังไม่นับพวกที่ยังต้องกล้ำกลืนฝืนทนเพราะแต่งงานไปแล้ว

ของแบบนี้ก็คล้ายๆ กับการเลือกซื้อของ ต้องใจเย็นๆ คิดให้ดีๆ ไม่ต้องรีบ อย่ามองแต่ภาพลักษณ์หรือเชื่อในยี่ห้อว่าเป็นเกาหลีแล้วต้องดี ต้องเด่น ต้องดัง ของแบบนี้มันก็ไม่แน่เสมอไป เพราะถ้าไม่ดูให้ดีอาจจะต้องกลายไปเป็น เมียชาวนาที่ด้อยการศึกษา ที่เกาหลีใต้  ช่วยสามีทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำ โดนญาติสามีดูถูก เหมือนเช่นผู้หญิงไทยหลายสิบคนกำลังเผชิญอยู่

ด้วยความปรารถนาดีจาก : กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
                                กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ
                               : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล