สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ แจ้งเข้ามาว่า มีคนไทย 5 คน ถูกเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของรัฐซาราวัค ประเทศมาเลเซีย ควบคุมตัวไปกักกันไว้ที่ศูนย์ส่งกลับ เพื่อทำการสอบสวนตามกฎหมาย
คนไทยทั้ง 5 คน เป็นแรงงานจากจังหวัดสุรินทร์ ได้รับการชักชวนจากพระสงฆ์ไทยรูปหนึ่งที่จำพรรษาอยู่ที่วัดสาไท เมือง Kuching รัฐซาราวัค ให้ไปทำงานกับบริษัท Huihuan Co (1997) sdn.Bhd. เมือง Kuching โดยจะมีรายได้ประมาณเดือนละ 12,000-15,000 บาท นายจ้างจัดหาที่พักและอาหารให้ด้วย ทั้งหมดจึงไปกู้ยืมเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปทำงานคนละประมาณ 100,000-150,000 บาท
แต่เมื่อเดินทางมาถึงมาเลเซียเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2555 ปรากฏว่าได้รับค่าจ้างเพียง 25 ริงกิตต่อวัน (ประมาณ 250 บาท) มีที่พักให้ในโรงงานที่ทำเกี่ยวกับเชื่อมโลหะ ทำงานวันละ 10 ชั่วโมง ไม่มีค่าล่วงเวลา และนายจ้างไม่ได้ดำเนินการใดๆ เพื่อขออนุญาตทำงานให้เลย จึงต้องอยู่ในมาเลเซียอย่างผิดกฎหมาย และเมื่อคนงานจะขอหนังสือเดินทางคืนเพื่อกลับประเทศไทย นายจ้างก็ไม่ยอมคืนให้และยังเรียกเงินจากคนงานอีกคนละ 50,000 บาท อ้างว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่นายจ้างได้จ่ายไปในการขออนุญาตทำงานและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ได้จ่ายไปแล้ว (แรงงานเหล่านี้ไม่ได้ทำสัญญาจ้างงานอย่างถูกต้อง)
งานนี้ บอกได้เลยว่า แรงงาน 5 คนนี้ ต้องถูก ตม. มาเลเซียเอาผิดตามกฎหมายเข้าเมืองแน่นอน เพราะพำนักอยู่ในมาเลเซียเกินกำหนดและทำงานโดยไม่มีใบอนุญาต ที่ผ่านมาเคยมีคนที่ถูกลงโทษในกรณีคล้ายคลึงกันนี้มาแล้ว ซึ่งก็ถูกปรับกันไปคนละไม่เกิน 1,000 ริงกิต (ประมาณ 10,000 บาท) หรือจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือทั้งจำทั้งปรับ และยังไม่หนำใจ มาเลเซียมีโทษโบยและเคยมีแรงงานไทยถูกลงโทษโดยการโบย 2-4 ที มาแล้ว
ก็ต้องลุ้นกันต่อไปว่า แรงงานจากสุรินทรฺ์ทั้ง 5 คนนี้จะถูกลงโทษมากน้อยเพียงใด และจะถูกโบยด้วยหรือไม่ เรื่องนี้ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่คนไทยต้องมารับเคราะห์กรรมเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เชื่อคนง่าย และขาดความรู้ความเข้าใจในการเดินทางไปทำงานในต่างประเทศ ซึ่งพอเกิดปัญหาขึ้น จะเห็นได้ว่า ไม่มีใครช่วยอะไรได้เลย ยังไงก็ต้องถูกลงโทษตามกฎหมาย สถานทูต ทำได้อย่างมากก็เพียงช่วยประสานงานกับญาติที่เมืองไทย และช่วยอำนวยความสะดวกในการส่งตัวกลับประเทศไทยให้เท่านั้น หนี้สินที่เกิดขึ้น ค่าปรับที่ต้องจ่าย ประวัติที่เสื่อมเสียเพราะกลายเป็นคนถูกเนรเทศ และรอยแผลที่ถูกโบย ต้องตกเป็นภาระและตราบาปของตัวแรงงานเอง รวมถึงญาติพี่น้องหรือครอบครัวที่ต้องร่วมรับผิดชอบด้วย
อันที่จริงวิธีการป้องกันไม่ให้เกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้นก็ไม่มีอะไรยากเลย
1. ร้อยทั้งร้อยของคนไทยที่เดินทางไปทำงานต่างประเทศแล้วต้องประสบปัญหาและเคราะห์กรรมแบบนี้ เป็นเพราะมีผู้อื่นมาชักชวน เพราะฉะนั้น เลิกเชื่อคนง่าย แม้ว่าคนผู้นั้นจะเป็นเพื่อน เป็นญาติ (ยิ่งกรณีนี้ขนาดเป็นพระยังเชื่อไม่ได้) เพราะคนเหล่านี้ แม้อาจไม่มีเจตนาจะมาหลอกลวงเราก็ตาม แต่เขาเองก็อาจไม่ได้รู้ข้อมูลอย่างถ่องแท้ อาจฟังตามๆ กันมาอีกที ไม่รู้รายละเอียดอะไรมาก ขอให้ตรวจสอบข้อมูลต่างๆ ให้ดีก่อน ทั้งตำแหน่งงานว่ามีจริงหรือไม่ นายจ้างน่าเชื่อถือหรือไม่ ประเทศที่จะเดินทางไปทำงานมีหลักเกณฑ์ มีกฎหมายอะไรเกี่ยวกับการทำงานของคนต่างชาติบ้าง เพราะบางประเทศก็ไม่ได้เปิดรับคนต่างชาติเข้าไปทำงานง่ายๆ ฯลฯ
2. การไปทำงานในต่างประเทศ "ต้องมีสัญญาจ้างงาน" ที่ผ่านการรับรองจากกระทรวงแรงงานหรือกระทรวงการต่างประเทศของไทยก่อนทุกกรณี อันนี้กฎหมายกำหนดเอาไว้เพื่อคุ้มครองคนหางานให้ได้รับความเป็นธรรมในการเดินทางไปทำงานในต่างประเทศ การที่ท่านไปทำงานโดยไม่มีสัญญาจ้างงาน (อย่างเช่นกรณีชาวสุรินทร์ 5 คนนี้ ) ท่านก็จะไม่ได้รับความคุ้มครองอะไรเลย และจะต้องกลายเป็นผู้ที่เดินทางเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย หรือกลายเป็นผู้ลักลอบทำงานอย่างผิดกฎหมาย และขอเน้นตรงนี้ว่า "ท่านไม่มีทางรอดจากเงื้อมือของกฎหมาย" ท่านอาจจะทำงานหาเงินได้สักระยะเวลาหนึ่ง แต่ไม่ช้าก็เร็วท่านต้องถูกจับกุมและถูกลงโทษแน่นอน การมีสัญญาจ้างงานที่ถูกต้อง อย่างน้อยจะเป็นเกราะป้องกันไว้ชั้นหนึ่ง หากเกิดปัญหาขึ้นยังพอจะเรียกร้องตามเงื่อนไขสัญญาจ้างได้บ้าง และยังมีการชดเชยเยียวยาได้ในบางกรณี ซึ่งก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย
ก็ขอให้คนไทยช่วยกันภาวนาเอาใจช่วยคนไทย 5 คน ที่กำลังรอรับการตัดสินโทษอยู่ที่มาเลเซีย อย่าให้ถูกลงโทษหนักและได้กลับบ้านเร็วๆ
ด้วยความปราถนาดีจาก : กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ
: สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น