ในปีที่ผ่านมาจังหวัดสุโขทัยมีพี่น้องแรงงานพากันเดินทางออกไปทำงานต่างประเทศมากกว่า ๓,๐๐๐ คน ข้อมูลนี้ได้รับการยืนยันจากสำนักงานจัดหางานจังหวัด
ซึ่งให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า ปัจจุบันชาวสุโขทัยจำนวนไม่น้อยกว่า ๕,๐๐๐
คน กำลังทำงานอยู่ในประเทศต่างๆ ร่วม ๑๒๐
ประเทศข้อเท็จจริงข้างต้นส่งผลให้จังหวัดเล็กๆ ที่สงบร่มรื่นอย่างสุโขทัย
ติดอันดับ ๙ ของ ๗๖
จังหวัดทั่วประเทศไทยที่มีแรงงานเดินทางไปต่างประเทศมากที่สุดเมื่อไปต่างแดนกันมาก ปัญหาก็มากตามมาด้วย ทั้งถูกนายจ้างเอารัดเอาเปรียบ เจ็บไข้ได้ป่วย เสียชีวิต หรือกระทั่งถูกนายหน้าหลอกลวงให้เสียเงินเสียทอง ไปแล้วไม่มีงานให้ทำตามสัญญาหลายคนต้องสิ้นเนื้อประดาตัวเพราะติดค้างหนี้สินก้อนโตตั้งแต่ยังไม่ได้เดินทางไปก็มี
ปัญหาเหล่านี้ไม่เคยหมดสิ้นไปจากสังคมไทย
โดยเฉพาะกรณี “ไทยหลอกไทยด้วยกันเอง”
การเดินทางไปทำงานในต่างแดนจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ประชาชนในระดับรากหญ้าต้องมีความรู้ต้องเตรียมความพร้อมอย่างดี และต้องรู้เท่าทันคน ดังนั้นกรมการจัดหางานได้ร่วมมือกับศาลากลางจังหวัดสุโขทัย จัดโครงการเครือข่ายชุมชนร่วมรณรงค์ป้องกันการหลอกลวงและลักลอบไปทำงานในต่างประเทศในวันศุกร์ที่ ๑๔
มิถุนายน ๒๕๕๖การอบรมดังกล่าวจัดขึ้นเต็มวันแบบติวเข้มเน้นการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชน รวมถึงการเตือนภัยให้ประชาชนได้ทราบวิธีการหลอกลวงของมิจฉาชีพในรูปแบบต่างๆ
ผู้เข้าร่วมกิจกรรมในวันนั้นเป็นบุคคลจากหลากหลายอาชีพ อาทิ
ผู้นำท้องถิ่น กลุ่มสตรี ครูอาจารย์ สื่อมวลชน และเด็กนักเรียนอาชีวะ
เป้าหมายสำคัญอีกประการหนึ่งคือต้องการให้ประชาชนรวมตัวกันสร้างเครือข่ายที่เข้มแข็งในชุมชนเพื่อช่วยภาครัฐป้องกันปัญหาการถูกหลอกลวง และเพื่อบูรณาการความร่วมมือระหว่างส่วนราชการที่เกี่ยวข้องให้มาร่วมกันช่วยแก้ไขปัญหาจากต้นทาง
กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ
ได้มอบหมายให้นายสุวัฒน์ แก้วสุข ผู้อำนวยการกองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ เดินทางไปเข้าร่วมเป็นคณะวิทยากรเพื่อชี้แจงบทบาทการให้ความช่วยเหลือของสถานทูตและสถานกงสุลใหญ่ทั่วโลกด้วยประเด็นหนึ่งที่กรมการกงสุลได้ย้ำเตือนพี่น้องแรงงานไทยอีกครั้งคือบทเรียนและผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองในประเทศลิเบียเมื่อ
พ.ศ. ๒๕๕๔เพราะในครั้งนั้นก็มีแรงงานหลายร้อยคนจากจังหวัดสุโขทัยต้องประสบชะตากรรมไปด้วย
บางคนเดินทางไปทำงานขุดเจาะน้ำมันกลางทะเลทราย
บ้างก็เป็นช่างก่อสร้างสารพัดโครงการ มีนายจ้างทั้งที่เป็นชาวตะวันตกและชาวลิเบีย คนงานส่วนใหญ่ไปทำงานได้เพียงไม่กี่เดือนก็เกิดสงครามกลางเมืองขึ้น ต้องอพยพหนีภัยออกจากประเทศนี้กันอย่างทุลักทุเล
แม้ว่าเหตุการณ์จะผ่านพ้นไปนานกว่าสองปีแล้ว แต่ปัญหาที่คนงานประสบความเดือดร้อนก็ยังคาราคาซังอยู่เหมือนเดิม
เช่น ไม่ได้รับเงินค่าจ้าง สูญเสียทรัพย์สิน และไม่มีการเยียวยาใดๆ จากนายจ้าง ปัญหาเหล่านี้ต้องบอกว่าเป็นเรื่องน่าเห็นใจเพราะสงครามเป็นสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมาย เรียกว่าเกิดขึ้นที่ใดก็วิบัติกันหมด ยากจะหาผู้รับผิดชอบหรือชดใช้ความเสียหายได้
ซึ่งจนถึงขณะนี้สถานการณ์ในประเทศลิเบียก็ยังไม่สงบเรียบร้อย มีเหตุปะทะโจมตีด้วยอาวุธเป็นระยะ ขนาดสถานทูตไทยและข้าราชการที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่นั่น วันดีคืนดีก็ยังเกิดเหตุร้ายขึ้นกับตัวเองมาแล้ว
เรื่องอย่างนี้คนไทยที่คิดจะเดินทางกลับไปทำงานที่ลิเบียต้องคิดกันให้รอบคอบทีเดียว
เมื่อเดือนพฤษภาคม
ที่ผ่านมา สถานทูตไทย ณ
กรุงตริโปลี ได้เข้าไปช่วยเหลือแรงงานไทยจำนวน ๗๑ คน
ซึ่งถูกนายหน้าคนไทยด้วยกันหลอกลวงให้เดินทางไปประเทศลิเบีย เสียเงินค่านายหน้านับแสนบาท แต่ไปถึงแล้วถูกลอยแพไม่มีงานให้ทำ ที่สำคัญทุกคนถูกหลอกให้เดินทางไปโดยไม่ผ่านขั้นตอนอนุญาตจากกรมการจัดหางานตามกฏหมายจึงฟ้องร้องเอาผิดใครได้ยาก
เดชะบุญที่ทางราชการให้ความช่วยเหลือได้ทันการณ์
...
การหลอกลวงแบบนี้เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ น่าเศร้าที่คนไทยทำบาปกันเองทั้งนั้น...
นายสุวัฒน์ แก้วสุข
ผอ. กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
กรมการกงสุล
กระทรวงการต่างประเทศ
123 ถ.แจ้งวัฒนะ ทุ่งสองห้อง หลักสี่ กทม 10210
โทร. 0 2575 1047-51
โทรสาร 0 2575 1052
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น