วันอังคารที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ขบวนการหลอกลวงหมอนวดหญิงไทยไปจดทะเบียนสมรสอำพรางกับชาวมาเลเซียเพื่อใช้ขอใบอนุญาตทำงาน





สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ รายงานข้อมูลใหม่เกี่ยวกับขบวนการหลอกลวงหมอนวดหญิงไทยไปทำงานในมาเลเซีย ว่า ปัจจุบัน มีหมอนวดหญิงไทยพยายามหาทางเข้าไปทำงานในประเทศมาเลเซียโดยใช้วิธีแต่งงานกับชายชาวมาเลเซียซึ่งจะมีบุคคลที่เรียกกันว่าเป็น Boss เป็นผู้ดำเนินการและจะยื่นขอใบอนุญาตทำงาน (Work Permit) เป็นพนักงานนวดให้โดยหญิงชายจะไม่ได้อยู่ด้วยกันฉันท์สามีภรรยา กลุ่มคนที่มาชักชวนหมอนวดหญิงไทยอ้างว่าการดำเนินการดังกล่าวไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ และเมื่อทำงานมีรายได้แล้วจึงจะหักค่าดำเนินการในภายหลัง ซึ่งการทำงานเป็นหมอนวดจะมีรายได้ดี เดือนละประมาณ 20,000.- บาทขึ้นไป

ทางสถานเอกอัครราชทูตฯ ได้แจ้งข้อมูลเพื่อเตือนภัยหญิงไทยที่คิดจะเดินทางไปทำงานเป็นหมอนวดในมาเลเซียด้วยว่า ปกติกฎหมายมาเลเซียไม่อนุญาตให้หญิงต่างด้าวที่สมรสกับคนมาเลเซียทำงานทุกประเภท แม้ภายหลังจะมีการผ่อนผันให้สามารถทำงานได้โดยใช้วีซ่าคู่สมรส แต่ก็ต้องยื่นคำร้องขออนุญาตกับกรมการจัดหางานและกรมตรวจคนเข้าเมืองของมาเลเซียก่อน ซึ่งทางการจะต้องพิจารณาความเหมาะสมเป็นกรณีๆ ไป และในส่วนของอาชีพพนักงานนวดจะไม่มีการจัดสรรตำแหน่งงานให้อย่างแน่นอนเพราะมาเลเซียมีนโยบายปิดร้านนวดที่ไม่ได้มาตรฐานทั้งหมด จะอนุญาตเฉพาะกิจการสปาในโรงแรมห้าดาวเท่านั้น

จากนโยบายของประเทศมาเลเซียที่จะปิดกิจการร้านนวดดังกล่าว บรรดาร้านนวดขนาดเล็กจึงดิ้นรนทุกวิถีทางที่จะดำรงกิจการของตนไว้จนกว่าจะถูกปิดตัวลง อีกทั้งชื่อเสียงหมอนวดหญิงไทยเป็นที่รู้จักและยอมรับในมาเลเซียมานาน นักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียมักนิยมใช้บริการโดยส่วนใหญ่จะข้ามชายแดนเข้ามาที่อำเภอหาดใหญ่ จ. สงขลา

การหลอกลวงหมอนวดชาวไทยไปจดทะเบียนสมรสอำพรางกับชาวมาเลเซียนี้ นับเป็นมหันตภัยที่น่ากลัวสำหรับหญิงไทยที่รู้เท่าไม่ถึงการและยังดื้อดันไม่รับฟังคำเตือนของสถานเอกอัครราชทูตฯ เนื่องจากภายหลังจดทะเบียนสมรสแล้วจะประสบปัญหาสาหัสมากมาย เช่น จะถูกนายจ้างหักค่าใช้จ่ายเดือนละไม่ต่ำกว่า 700-1,000 ริงกิต (ประมาณ 7,000-10,000 บาท) เป็นหนี้ที่ไม่มีวันชดใช้หมดนายจ้างจะยึดพาสปอร์ตโดยอ้างว่านำไปขอใบอนุญาตทำงาน หากบิดพริ้วหรือแข็งข้อก็จะถูกสามีในนามหรืออ้างเป็นสามีจริงทำร้ายร่างกายหรือกดขี่ทุกวิถีทาง และตามกฎหมายมาเลเซียฝ่ายชายสามารถอ้างยึดหรือแบ่งรายได้ทรัพย์สินที่ภรรยาหาได้ทุกกรณีซึ่งตรงนี้จะเป็นเสมือนห่วงเหล็กผูกคอแน่นหนาพันธนาการชีวิตหญิงไทยที่หลงผิดอย่างน่าเวทนา เนื่องจากเป็นสิ่งที่กระทำโดยมีกฎหมายรองรับ ยากที่จะได้รับความช่วยเหลือ และหากประสงค์จะหย่า ก็ต้องให้ฝ่ายชายยินยอมและต้องว่าจ้างทนายให้ดำเนินการให้ซึ่งต้องใช้เวลานานมาก และหากฝ่ายชายไม่ยินยอมหย่าให้สถานภาพสมรสก็จะค้างคาติดตัวผู้หญิงตลอดไป ต้องตกทุกข์ตลอดชีวิต สถานเอกอัคราชทูตฯ ได้รับการร้องขอความช่วยเหลือจากหญิงไทยจำนวนมากที่สมรสกับชาวมาเลเซียและประสบปัญหาดังกล่าว ซึ่งบางรายมีบุตรกับสามีด้วย ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะช่วยเนื่องจากตามกฎหมายต้องถือว่าเป็นเรื่องปัญหาภายในครอบครัว ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องทำใจยอมรับในชะตากรรมที่เกิดจากการที่ไปหลงเชื่อพวกเดนมนุษย์ และการที่ตัวเองไม่ยอมรับฟังคำเตือนที่หลายฝ่ายพยายามเตือนเพื่อไม่ให้หญิงไทยต้องตกอยู่ในสภาพที่ทนทุกข์เวทนา

และนี่ก็นับเป็นอีกครั้งหนึ่งที่กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ อยากจะขอวิงวอนคนไทยทุกคนที่คิดจะไปทำงานในต่างประเทศให้ระมัดระวังและพิจารณาให้ถี่ถ้วนรอบคอบ อย่าไปฟังข้อมูลแต่เพียงด้านเดียวจากผู้ที่หวังผลประโยชน์จากตัวท่าน บุคคลเหล่านี้ไม่มีเลยที่จะปราถนาดีหรือจริงใจกับท่าน ต่างหวังผลประโยชน์จากท่านทั้งสิ้น ปัจจุบันพี่น้องชาวไทยในต่างประเทศจำนวนมากต้องประสบปัญหาทุกยากแสนสาหัส เผชิญกับความเดือดร้อนทุกรูปแบบ แม้จะมีสถานทูต สถานกงสุล ของไทยที่จะคอยช่วยเหลือดูแล แต่ก็มักมีข้อจำกัดมากมายและการช่วยเหลือในลักษณะที่เข้าไปแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นแล้ว จะเป็นเรื่องยากกว่าการป้องกันปัญหามิให้เกิดขึ้น ดังนั้น จึงขอให้ผู้ที่คิดจะไปทำงานในต่างประเทศตรวจสอบข้อมูล และที่สำคัญ คิดให้ดีก่อนตัดสินใจ

ที่มา : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์
        : กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ    กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ

1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ9 มกราคม 2556 เวลา 05:34

    แล้วถ้าหญิงที่มีวีซ่าทำงานถูกต้องแล้ว จะแต่งงานกับคนมาเลเซียละ

    ตอบลบ