วันศุกร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สปาไทย หมดท่า ในอินเดีย

แม้เวลาจะยังคงเดินหน้าจนจะหมดปีแล้ว แต่คนไทยที่ไปตกทุกข์ได้ยากในต่างประเทศก็ยังไม่หมดไป
คราวนี้สถานทูตไทยในอินตะระเดียรายงานมาว่า ได้ช่วยเหลือหมอนวดสาวใหญ่ 2 ราย ให้เดินทางกลับประเทศไทยเมื่อช่วงกลางเดือนธันวาคม 2555

ทั้ง 2 สาว เล่าว่า แอบไปทำงานนวดสปาที่เมืองชัยปุระ (Jaipur) รัฐราชาสถาน ประเทศอินเดีย ด้วยวีซ่าท่องเที่ยวตั้งแต่เมื่อเดือนตุลาคม ที่ผ่านมา แต่หนีนายจ้างมาขอความช่วยเหลือจากสถานทูตเนื่องจากรับสภาพการทำงานไม่ได้ เช่น ได้เงินเดือนล่าช้าและน้อยกว่าที่ตกลงกันไว้ ลูกค้าชาวอินเดียมีนิสัยลามก สถาพความเป็นอยู่ในประเทศอินเดียก็ลำบากไม่สะดวกสบายเหมือนอยู่บ้านเราจึงขอให้สถานทูตช่วยเหลือส่งตัวกลับปะเทศไทยด้วย

สถานทูตก็ช่วยจัดการให้ทุกอย่าง ทั้งออกเอกสารประจำตัวให้เพราะพาสปอร์ตถูกนายจ้างยึดไว้ ขอ Exit Permit และจองตั๋วเครื่องบิน ทั้งสองสาวจึงได้กลับบ้านเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม ที่ผ่านมา

กรณีนี้เป็นอีก 1 ในหลายๆ ครั้งที่สถานทูตให้ความช่วยเหลือหมอนวดไทยที่ลักลอบเข้ามาทำงานนวดสปาในอินเดีย ซึ่งร้านนวดสปาในอินเดียมักจะเป็นเครือข่ายสาขาทั่วอินเดียและยังเชื่อมโยงกับร้านนวดสปาในประเทศไทยด้วย จึงมีการชักชวนกันไปทำงานนวดในอินเดียกันมาก แต่โดยที่ตามกฎหมายอินดีย ชาวต่างชาติที่จะมาทำงานได้จะต้องได้รับรายได้ไม่ต่ำกว่า 25,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี ทำให้หญิงไทยไม่สามารถทำงานสปาในอินเดียได้อย่างถูกกฎหมาย จึงมีการลักลอบเข้าอินเดียด้วยวีซ่าท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก และเชื่อว่าอาจมีหมอนวดบางคนแอบแฝงค้าประเวณีด้วย ดังที่เคยมีกรณีหญิงไทย 10 รายที่ถูกจับกุมที่รัฐกัวข้อหาค้าประเวณีมาแล้ว

ทางสถานทูตเองก็เป็นกังวลต่อปัญหานี้มาก เพราะถ้าปล่อยไว้แบบนี้ ภาพลักษณ์ของนวดแผนไทยจะต้องเสื่อมเสียลงไปกว่านี้อีก และจะเป็นภาระสำหรับสถานทูตและสถานกงสุลไทยในต่างประเทศที่ต้องดูแลให้ความช่วยเหลือ

เมื่อมานั่งดีดลูกคิด (สมัยนี้ก็ต้องใช้เครื่องคิดเลข) ดูแล้ว งานนี้ใครได้ ใครเสีย ...

...หมอนวดไทยเสียเงินเป็นค่าใช้จ่ายเดินทางไปทำงานต่างประเทศ เงินเดือนก็ได้บ้างถูกโกงบ้าง ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย บางคนต้องยอมเสียตัวเพราะจำยอมให้บริการเสริมพิเศษเพื่อเพิ่มรายได้
...ทางราชการไทยต้องเป็นภาระคอยให้ความช่วยเหลือ ใช้งบประมาณซึ่งเป็นเงินภาษีประชาชนทั้งประเทศไปดูแล
...ประเทศไทยและหญิงไทยต้องเสื่อมเสียภาพลักษณ์ นวดแผนไทยและหมอนวดไทยถูกมองว่าเป็นอย่างว่าไปหมดแล้ว

... นายจ้างนอนนับเงินรายได้จากส่วนแบ่งการบริการลูกค้าของหมอนวดไทย
... พวกนายหน้าหรือหน้าม้าได้ค่านายหน้าจากการเที่ยวไปชักชวนหมอนวดไทยไปทำงานต่างประเทศ
... นายทุนได้ดอกเบี้ยในอัตราสุดโหดจากหมอนวดที่ไปกู้ยืมเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปทำงานต่างประเทศ

รู้แบบนี้ เราควรจะสนับสนุน ส่งเสริมการไปทำงานนวดสปาของหมอนวดไทย หรือจะประกาศห้ามไม่ให้ไปทำงานนวดไทยในประเทศที่มีปัญหามากๆ อย่างเช่น ประเทศอินเดีย

ที่มา : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงนิวเดลี
      : กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
       กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ


วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ครูมวยไทยถูกอิหร่านเบี้ยวเงินเดือน แพ้น๊อคกลับบ้าน

มวยไทย ศิลปการต่อสู้ของไทยที่ดังไกลไปทั่วโลก ต่างประเทศชอบกันมาก มีการตั้งค่ายฝึกซ้อมอย่างเป็นเรื่องเป็นราวและมีการจ้างครูมวยคนไทยไปช่วยในการฝึกสอนเพื่อให้ได้คุณภาพตรงตามมาตรฐาน

อิหร่านก็เป็นอีกประเทศหนึ่งที่ผู้คนสนใจและชื่นชอบกีฬามวยไทยเป็นอย่างมาก ถึงกับมีการจัดตั้งสมาคมมวยไทยแห่งอิหร่านขึ้น และยังมีการประสานความร่วมมือกับสภามวยไทยโลกจัดจ้างครูมวยชาวไทยไปทำการฝึกสอนให้ถึงประเทศอิหร่านโน่นเลยทีเดียว

แต่แล้วก็เกิดเรื่องจนได้เมื่อครูมวยไทยคนหนึ่งที่ไปสอนมวยให้นักมวยไทยชาวอิหร่านมาช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว เดินตาลอยคอตกเหมือนโดนหมัดน๊อกมาหาเจ้าหน้าที่สถานทูตไทยที่กรุงเตหะราน ประเทศอิหร่าน บอกว่าไม่ได้รับเงินเดือนและขอให้ช่วยส่งตัวกลับเมืองไทยด้วย

เจ้าหน้าที่สถานทูตต้องให้ครูมวยเข้ามุม เอ้ย เข้าไปนั่งพักให้สบายใจสักครู่แล้วจึงไต่ถามว่าเรื่องเป็นไงมาไง ครูมวยตอบว่ามาฝึกสอนมวยไทยให้นักมวยชาวอิหร่านโดยไม่มีสัญญาจ้างแต่อย่างใด อาศัยเพียงสมาคมมวยไทยของอิหร่านติดต่อทาบทามกับทางสมาคมมวยในประเทศไทย แต่จนบัดนี้ยังไม่ได้รับเงินค่าจ้าง จึงเกิดความ "ต้อแต้" หมดหวังในชีวิต หดหู่ กินไม่ได้นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย เป็นอย่างมาก อยากจะกลับไปฉลองปีใหม่ที่เมืองไทย ไม่อยากอยู่แล้วอิหร่านขอให้ช่วยเหลือด้วย

พี่เลี้ยง เอ้ย เจ้าหน้าที่สถานทูตได้ยินดังนั้นก็ปลอบใจไปว่า กรณีนี้ไม่ใช่กรณีแรกที่เกิดขึ้น ก่อนหน้านี้เคยมีครูมวยไทยที่เดินทางเข้ามาฝึกสอนนักมวยในประเทศอิหร่านก็ประสบปัญหานี้เช่นกัน ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะประเทศอิหร่านนั้นถูกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ มีความยกลำบากในการโอนเงินตามช่องทางปกติ อีกทั้งการหาเงินสกุลต่างชาติ เช่นเงินดอลลาร์ มาจ่ายเป็นเงินเดือนให้ครูมวยนั้น ทำได้ยากยิ่งนัก ทางอิหร่านก็ไม่ได้ตั้งใจจะเบี้ยวหรอก แค่เบี้ยวโดยไม่ได้ตั้งใจเท่านั้นเอง

ครูมวยฟังแล้วก็ยิ่งห่อเหี่ยวหนักเข้าไปอีก โดนหมัดบัวขาวยังไม่มึนเท่านี้ เจอมวยอิหร่านเบี้ยวค่าแรงถึงกับไปไม่เป็น สิ้นหวัง หมดสภาพ จำบ้านเลขที่ไม่ได้ ต้องซมซานมาขอให้สถานทูตส่งตัวกลับบ้านเป็นการด่วน สถานทูตดูสภาพแล้ว น่าจะชกต่อไปไม่ไหว เห็นควรยุติการชกไว้เพียงเท่านี้ จึงได้เที่ยวหาตั๋วเครื่องบินให้ครูมวยกลับบ้านซึ่งก็หายากแสนยากอีกเหมือนกันเพราะเป็นช่วงเทศกาลเต็มเอี๊ยดทุกเที่ยวบิน แต่ในที่สุด ด้วยความร่วมมือจากสายการบิน Mahan Air ของอิหร่าน ครูมวยก็ได้กลับบ้านสมใจนึกเป็นที่เรียบร้อยเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2555 คืนวันคริสต์มาสพอดี

เรื่องนี้ทางสถานทูตไทยก็จึงถือโอกาสฝากประชาสัมพันธ์ไว้ด้วยว่า ปัจจุบันนายจ้างส่วนใหญ่ในอิหร่านประสบปัญหาค่าเงินเรียลตกต่ำและผันผวน (จากเดิม 1 ดอลลาร์สหรัฐ = 18,000 เป็น 30,000 เรียล) นายจ้างจึงไม่สามารถแลกเงินสกุลแข็ง (ดอลลาร์สหรัฐ หรือยูโร) มาจ่ายค่าจ้างได้ครบตามที่ตกลงไว้ หรือไม่ก็จะมีความล่าช้าในการจ่ายเงินเดือน จึงขอให้แรงงานไทยที่จะไปทำงานในประเทศอิหร่านระมัดระวังในเรื่องนี้ด้วย

ที่มา : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเตหะราน
        : กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
         กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ  




สาวไทยว่าที่คุณแม่ถูกจับส่งท้ายปีเก่าที่ไต้หวัน


เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2555 เสียงโทรศัพท์ของกงสุลไทยประจำสำนักงานการค้าและเศรษฐกิจไทย กรุงไทเป ไต้หวัน ดังขึ้นมาโชว์เบอร์โทรศัพท์ของใครก็ไม่รู้ นึกว่าคงมีใครทำเซอร์ไพรส์โทรมา Merry Christmas and a Happy New Year รีบคว้ามารับสาย ปรากฏว่าได้เซอร์ไพรส์ตามคาด ตำรวจไต้หวันโทรมา แต่ไม่ได้จะอวยพรเทศกาลใดๆ โทรมาแจ้งว่าได้จับกุมสาวไทย 1 ราย ที่สนามบินเถาหยวน ในข้อหามียาเสพติดประเภทเฮโรอีนในครอบครอง โดยตรวจพบเฮโรอีนปริมาณ 1,187 กรัม ในกระเป๋าเดินทาง

งานเข้ารับเทศกาลส่งท้ายปี ท่านกงสุลไม่รอช้ารีบทำเรื่องขอเข้าพบสาวไทยรายดังกล่าวทันที ทางการไต้หวันเห็นว่าใกล้จะปีใหม่แล้วก็เลยให้เข้าพบได้ (โดยปกติคดียาเสพติดในชั้นสอบสวนของอัยการแบบนี้ จะไม่อนุญาตให้พบผู้ต้องหาได้ เรียกว่าห้ามเยี่ยมห้ามประกัน จนกว่าจะอัยการจะสอบสวนเสร็จ)
ท่านกงสุลก็เลยได้พบผู้ต้องหาสาวไทย ได้ถามไถ่ว่าเป็นมายังไงถึงได้มาโดนจับถึงที่ไต้หวันตอนสิ้นปีแบบนี้

สาวไทยว่าที่คุณแม่รายนี้ให้ข้อมูลว่า ตนรู้จักกับชายชาวแอฟริกันผิวดำชื่อนายมิกกี้ ซึ่งเคยเป็นลูกค้าประจำสมัยที่ตนยังทำงานอยู่ที่พัทยา จ้างวานให้ขนกระเป๋าเดินทางไปไต้หวันโดยมีคนไทยไม่ทราบชื่ออีกคนหนึ่งเป็นผู้ดำำเนินการทุกอย่างให้ตั้งแต่จัดหาตั๋วเครื่องบิน เตรียมเอกสารและที่สำคัญเป็นคนจัดกระเป๋าใบดังกล่าวให้ด้วย พอถึงไต้หวันจะมีคนมารับของที่โรงแรม แต่มาถูกจับเสียก่อน ก่อนหน้านี้ เคยทำแบบนี้มาแล้วครั้งหนึ่งได้รับค่าตอบแทน 50,000 บาท จึงตั้งใจจะทำครั้งนี้อีกครั้งเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อหาเงินเป็นค่าใช้จ่ายในเรื่องการดูแลครรภ์ (เธอตั้งครรภ์ได้ 5 เดือนแล้วกับสามีหนุ่มไทย)

ท่านกงสุลจึงขออนุญาตเจ้าหน้าที่ไต้หวันให้สาวไทยโทรศัพท์หาญาติที่เมืองไทยเพื่อแจ้งข่าว และยังได้มอบเงินสดไว้ให้จำนวนหนึ่งเพื่อให้เธอได้ใช้จ่ายส่วนตัวระหว่างถูกควบคุมตัว (เนื่องจากพบว่าเธอมีเงินติดตัวเหลือเพียง 40 บาท )

นี่ก็เป็นอีกกรณีหนึ่งสำหรับคนไทยที่คิดผิด หลงผิด ไปกระทำความผิดที่ถือว่าร้ายแรง โดยเฉพาะสำหรับบางประเทศมีโทษหนักมาก คือประหารชีวิตสถานเดียว สำหรับไต้หวันแม้อาจจะไม่ได้ถูกลงโทษสถานหนัก และแม้ว่าคุกไต้หวันจะไม่ได้มีสภาพโหดร้ายอะไรแถมยังให้การดูแลนักโทษหญิงที่ตั้งครรภ์และมีบุตรเป็นอย่างดี แต่ก็ได้ชื่อว่าได้กระทำความผิด ตราบาปจะติดตัวไปจนตลอดชีวิต อย่างเช่นหญิงไทยรายนี้ที่คงจะต้องติดคุกไต้หวัน และไม่ได้ติดคนเดียว ลูกในท้องก็ต้องพลอยติดคุกตั้งแต่ยังอยู่ในท้องแม่ไปด้วย เธอจะต้องคลอดลูกในคุก ลูกก็จะต้องเติบโตในคุก

เห็นแบบนี้แล้วก็อนาถใจ นี่อีกไม่กี่เดือนเธอก็จะคลอดลูกออกมา แล้วท่านกงสุลก็ต้องออกสูติบัตรหรือใบเกิดให้กับเด็กคนนี้ตามระเบียบ ซึ่งในใบเกิดก็จะต้องระบุด้วยว่าเกิดที่ไหน งานเข้าอีกรอบแล้วหล่ะครับท่านกงสุล แต่ยังพอมีเวลาอีกหลายเดือนให้คิดหาทางออกในเรื่องนี้ ยังไงซะ ท่านกงสุลก็คงไม่ระบุลงไปหรอกว่า เด็กคนนี้ "เกิดในคุก"

ไต้หวันเป็นที่ๆ มีคนไทยอยู่กันเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นแรงงานที่มีอยู่ถึงประมาณ 70,000 คน ซึ่งสิ่งที่อยู่คู่กับแรงงานไทยนอกจาก เหล้า การพนัน แล้ว เดี๋ยวนี้ยาเสพติด โดยเฉพาะยาบ้ากำลังระบาดหนักไปทุกที่ๆ มีแรงงานไทย อยู่ ไต้หวันก็เป็นอีกที่หนึ่งซึ่งมีคนไทยถูกจับเข้าคุกข้อหาเสพยาบ้าหลายสิบรายแล้ว ต้องหมดอนาคตเพราะนายจ้างไม่จ้างงานต่อ ก็ขี้ยา ขี้คุกใครจะอยากจ้าง ออกจากคุกก็ต้องกลับเมืองไทยสถานเดียว หนี้สินที่มีก็ยังใช้ไม่หมดกลายเป็นภาระหนักเข้าไปอีก สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะความหลงผิดของตัวเองแท้ๆ ที่ไปยุ่งเกี่ยวกับยานรก อันที่จริงทางแก้ก็ง่ายนิดเดียว "อย่ายุ่ง อย่าเกี่ยวข้องกับยาเสพติด" เท่านั้นเอง

ที่มา : สำนักงานการค้าและเศรษฐกิจไทย
       : กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
        กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ

   

วันอังคารที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2555

กรณีอุบัติเหตุทางเครื่องบินของสายการ Air Bagan

สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงย่างกุ้ง ประเทศเมียนมาร์ รายงานด่วนเกี่ยวกับอุบัติเหตุของสายการบิน Air Bagan ที่สนามบินเฮโฮ ในรัฐฉานของเมียนมาร์ ว่า เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2555 เครื่องบินของสายการบิน Air Bagan เที่ยวบินที่ W9 011 เดินทางออกจากย่างกุ้งในช่วงเช้าเพื่อรับผู้โดยสารที่สนามบินมัณฑะเลย์ก่อนเดินทางต่อไปยังเมืองเฮโฮ ระหว่างที่กำลังจะถึงสนามบินเฮโฮ เครื่องยนต์เกิดขัดข้องจนนักบินต้องตัดสินใจนำเครื่องบินลงจอดฉุกเฉินบริเวณพื้นที่ห่างจากสนามบินเฮโฮประมาณ 2 ไมล์ จนเกิดไปลุกไหม้ตลอดทั้งลำ


เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย เป็นผู้โดยสาร 1 ราย ซึ่งเสียชีวิตบนเครื่องบินจากไฟไหม้ และอีก 1 รายเป็นผู้เคราะห์ร้ายที่อยู่บริเวณที่เกิดเหตุและถูกไฟฟ้าดูดจากสายไฟที่ถูกปีกด้านหนึ่งของเครื่องบินเกี่ยวล้มลงขณะนำเครื่องลงจอดฉุกเฉิน

จากการตรวจสอบทั้งจากเครือข่ายคนไทยในเมียนมาร์และผู้บริหารสายการบิน Air Bagan ทราบว่า มีผู้โดยสารเป็นคนไทย 1 ราย เดินทางไปกับเที่ยวบินดังกล่าวด้วยแต่โชคดีไม่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ผู้บริหารสายการบินยังบอกด้วยว่าอุบัติเหตุดังกล่าวเกิดจากสภาพอากาศแปรปรวนไม่ใช่เป็นเพราะเครื่องยนต์ขัดข้องแต่อย่างใด

ประเทศพม่า หรือเมียนมาร์ เป็นประเทศที่กำลังเป็นที่นิยมมีคนไทยเดินทางไปท่องเที่ยวกันเป็นจำนวนมาก ก็ขอให้ใครก็ตามที่จะท่องเที่ยวเดินทางให้ระวังเรื่องอุบัติเหตุ อุบัติภัย ที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา เราคงป้องกันอุบัติเหตุไม่ได้ แต่สิ่งที่ทำได้คือการรักษาสิทธิประโยชน์ของเรา เช่น การเลือกบริษัททัวร์ที่ถูกกฎหมายหรือสายการบินที่มีความรับผิดชอบต่อผู้โดยสาร อย่างไรก็ตาม การทำประกันภัยการเดินทางก็น่าจะเป็นสิ่งที่นักท่องเที่ยวรวมทั้งผู้ที่จำเป็นต้องเดินทางไปต่างประเทศควรพิจารณาทำไว้ เมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน อย่างน้อยจะได้รับการชดเชยบ้าง


ที่มา: สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงย่างกุ้ง
      : กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
       กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ

วันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2555

2 สาวไทยโดนรวบ ไปพักบ้านเพื่อนคนจีนไม่แจ้งทางการ

ตามที่ได้มีการเตือนกันมาตลอดถึงเรื่องกฎหมายของต่างประเทศที่มีข้อบังคับแปลกๆ และคนไทยที่เดินทางไปอาจนึกไม่ถึงหรือไม่ทราบมาก่อนแล้วก็ต้องรับเคราะห์หรือไม่ได้รับความสะดวกในการเดินทางไปประเทศนั้นๆ ล่าสุดก็ที่เมืองจีน เหตุเกิดที่เมืองเว่ยหนาน มณฑลส่านซี

สาวไทย 2 คน ( คนหนึ่งพูดภาษาจีนได้ ) เดินทางไปเยี่ยมเพื่อนชาวจีนที่ทำธุรกิจอยู่ที่เมืองเว่ยหนาน และพักอยู่ที่บ้านเพื่อนคนดังกล่าว หลายวันผ่านไป จู่ๆ ตำรวจท้องที่ได้มาที่บ้านพักและขอตรวจค้นหนังสือเดินทางและเอกสารต่างๆ ซึ่ง 2 สาวก็ให้ตรวจค้นแต่โดยดีเพราะเข้าใจว่าตนไม่ได้ทำอะไรผิด ทั้งหนังสือเดินทาง ทั้งวีซ่าก็ถูกต้องครบถ้วนทุกอย่าง ภาษาจีนก็เจรจาสื่อสารได้ แต่มันก็ไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด ตำีรวจจีนจับกุมตัวทั้ง 2 สาว ไปคุมขังไว้ที่สถานีตำรวจ เล่นเอา 2 สาวรวมทั้งเพื่อนชาวจีนงงเป็นไก่ตาแตก ไม่เข้าใจว่าโดนข้อหาอะไรจึงได้โทรศัพท์มายังกองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ กรมการกงสุล ขอให้ช่วยตรวจสอบให้ทีว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ทำไมทั้ง 2 คนถึงได้ถูกตำรวจจับกุมทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิด

ทางกองคุ้มครองฯ จึงได้ประสานไปยังสถานกงสุลใหญ่ ณ นครซีอาน ซึ่งรับผิดชอบดูแลพื้นที่มณฑลส่านซี ขอให้ช่วยเหลือ 2 สาวไทยนี้ด้วย สถานกงสุลใหญ่ฯ ก็ไม่รอช้ารีบโทรศัพท์ไปตรวจสอบข้อเท็จจริง สรุปว่า ทั้ง 2 สาว ถูกตำรวจควบคุมตัวไว้เนื่องจากไม่ได้แจ้่งหรือเรียกว่าไม่ได้รายงานตัวตามกฎหมายเข้าเมืองของจีนซึ่งกำหนดให้ชาวต่างชาติที่ต้องการเข้าพักในบ้านของชาวจีน เจ้าของบ้านหรือผู้พำนักอาศัยต้องนำหนังสือเดินทางและสมุดทะเบียนเจ้าของบ้านไปรายงานตัวที่องค์กรรักษาความปลอดภัยท้องถิ่นภายใน 24 ชั่วโมง (กรณีเขตตัวเมือง) หรือ 72 ชั่วโมง (กรณีเขตชนบท) ซึ่งสำหรับ สาวไทยทั้งคู่ก็ไม่ได้ไปรายงานตัวหรือขึ้นทะเบียนตามที่กำหนด (แหม..ก็ใครจะไปนึกว่าจีนจะมีกฎหมายแบบนี้ด้วย) ทางตำรวจจึงเชิญตัวไปควบคุมตัวเพื่อทำการตรวจสอบเอกสารประจำตัว เอกสารการเข้าเมืองกับหน่วยงานต่างๆ  ซึ่งทั้งสองสาวก็มีครบถ้วนถูกต้อง ทางตำรวจจีนจึงช่วยดำเนินการลงทะเบียน Accommodation Registration ให้จนเรียบร้อยและคืนเอกสารต่างๆ ให้ทั้ง 2 สาวพร้อมกับปล่อยตัวกลับไปพักผ่อนที่บ้านเพื่อนชาวจีนได้ตามอัธยาศัย

เรื่องนี้ สถานกงสุลใหญ่ฯ แจ้งด้วยว่า สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองมณฑลส่านซีฝากบอกด้วยว่า ตามกฎหมายเข้าเมืองของจีนระบุว่า ผู้ที่ไม่ได้ดำเนินการ Accommodation Registration กับหน่วยงานองค์กรรักษาความปลอดภัยท้องถิ่นภายในระยะเวลาที่กำหนด อาจถูกตักเตือนหรือลงโทษด้วยการปรับ ทั้งนี้ อาจมีการจับกุมคุมขังหากต้องสงสัยว่าชาวต่างชาติได้เข้าเมืองมาโดยผิดกฎหมาย
ทั้งนี้ ชาวต่างชาติส่วนใหญ่ที่เข้าพักในโรงแรมสำหรับชาวต่างชาติ ปกติทางโรงแรมจะเป็นผู้ดำเนินการลงทะเบียนดังกล่าวให้อยู่แล้วแต่สำหรับผู้ที่เข้าพำนักในบ้านเพื่อนบ้านคนรู้จักไม่ว่าจะเป็นคนจีนหรือบ้านของชาวต่างชาติในจีนก็ตาม จะต้องดำเนินการด้วยตนเอง

กรณีนี้นับเป็นเรื่องของกฎหมาย ข้อบังคับ หรือธรรมเนียมปฏิบัติของต่างประเทศที่อาจจะดูแปลกๆ สำหรับคนไทย แต่อย่างไรก็ตามจะไปประเทศของเขา เราก็ต้องศึกษาตรวจสอบข้อมูลให้ดีๆ และที่สำคัญ เมื่อมันเป็นกฎหมายแล้ว ยังไงเราก็ต้องปฎิบัติตาม ในต่างประเทศนั้น มักจะบังคับใช้กฎหมายกันอย่างเข้มงวด คนไทยที่เคยชินกับการทำอะไรตามใจฉัน มองแต่ว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยคงไม่มีปัญหาอะไร อันนี้ก็ขอบอกเลยว่า นิสัยหรือความคิดแบบนี้ใช้ไม่ได้ในต่างประเทศอย่างแน่นอน 

ด้วยความปรารถนาดีจาก : สถานกงสุลใหญ่ ณ นครซีอาน
                         : กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
                          กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ 

วันพุธที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2555

มิจฉาชีพยุโรปเหิมหนัก สถิติพุ่งพรวด

กลายเป็นปัญหาระดับทวีปไปซะแล้ว สำหรับมิจฉาชีพในประเทศแถบยุโรปที่ออกอาละวาดอย่างหนัก ประกอบอาชญากรรมอย่างถี่ยิบ จนหลายประเทศแทบจะต้องประกาศเป็นวาระแห่งชาติแล้ว

ตามที่ได้เสนอข่าวคราวของปัญหาอาชญากรรมของเหล่ามิจฉาชีพในประเทศในทวีปยุโรปที่กลายเป็นปัญหาที่หนักข้อขึ้นทุกวัน ทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศเหล่านี้ที่ได้ชื่อว่าเป็นประเทศเจริญแล้ว มีความปลอดภัยสูงในสายตาของคนต่างชาติกำลังมัวหมองอย่างมาก

สวิสเซอร์แลนด์ ก็เป็นอีกประเทศที่เป็นสวรรค์ของเหล่ามิจฉาชีพพวกนี้ สถิติการประกอบอาชญากรรมเพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ โดยในปี ค.ศ. 2012 ทั่วประเทศสวิสเซอร์แลนด์มีอัตราการลักทรัพย์เพิ้มขึ้นเฉลี่ย 16% จากปีที่แล้ว และเฉพาะที่เจนีวาเพิ่มขึ้น 29% และที่น่าเป็นห่วงคือที่รัฐโวด์ เพิ่มขึ้นถึง 103 %
สถานที่ที่เกิดเหตุมักจะเป็นที่ๆ มีคนอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น สถานีรถไฟ สนามบิน แหล่งท่องเที่ยว เป็นต้น เหยื่อมักเป็นคนเอเชีย

ทางการสวิสก็มิได้นิ่งนอนใจ กำลังหามาตรการจัดการกับมิจฉาชีพวกนี้เพื่อมิให้กระทบกับภาพลักษณ์ของประเทศ แต่ดูแล้วไม่น่าที่จะแก้ได้ในเร็วๆ นี้ เพราะปัญหาอาชญากรรมในยุโรปนี้อันที่จริงมีมานานแล้ว และมักเกิดขึ้นตามเมืองใหญ่ๆ และเมืองท่องเที่ยว คนไทยเราเองก็ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพเหล่านี้มาโดยตลอด แม้แต่นักการทูตเองก็เคยถูกลักวิ่งชิงปล้นกันมาแล้วหลายครั้ง และไม่เคยมีข่าวว่าสามารถจับกุมมิจฉาชีพพวกนี้ได้เลยสักครั้งเดียว

ไปเที่ยวยุโรปก็ขอให้ระวังกันไว้ให้ดี ทรัพย์สินเงินทองเก็บให้มิดชิด ไปไหนมาไหนโดยเฉพาะตามสถานที่ที่มีคนเยอะๆ ก็ต้องเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น อย่ามัวแต่เพลิดเพลินกับความสวยงามของบ้านเมืองจนลืมระวังสังเกตความเสื่อมทรามที่แฝงตัวอยู่ มิฉะนั้นท่านอาจจะต้องเสียทรัพย์หมดตัวเหมือนกับใครหลายต่อหลายคนที่เคยตกเป็นเหยื่อมาแล้ว


ด้วยความปรารถนาดีจาก : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเบิร์น
                       :  กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
                          กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ

วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เตือนภัยธุรกิจในจีน : เผยกลลวง “ฤๅษีแปลงสาส์น”.. สูญเงินเป็นล้านเพราะไม่ทันระวังตัว


ในยุคที่โลกไร้พรมแดน ข้อมูลข่าวสารส่งผ่านจากซีกโลกหนึ่งได้ง่ายเพียงปลายนิ้วด้วยอินเทอร์เน็ต ผู้นำเข้าที่ต้องการซื้อสินค้าสามารถเข้าถึงข้อมูลของผู้ขายจำนวนมากได้อย่างง่ายโดยผ่านเว็บไซต์ โดยมีช่องทางการเจรจาการค้าที่สะดวกรวดเร็วอย่างอีเมล์ และการชำระเงินค่าสินค้าด้วยวิธีการโอนเงินผ่านธนาคารที่น่าเชื่อถือ (ไม่ใช่การโอนผ่านอินเทอร์เน็ต) แต่ก็ยังไม่พ้นภัยร้ายจากอินเทอร์เน็ต ซึ่งผู้ไม่หวังดีมักจับจ้องแสวงหาโอกาสหลอกเงินผู้อื่นเข้ากระเป๋าตนเองแล้วหนีจากไปแบบที่ตามจับตัวมาได้ยาก
"ฤๅษีแปลงสาส์น”  สำนวนไทยสมัยก่อนยังไม่ล้าสมัยและสามารถนำมาใช้ได้ในยุคปัจจุบัน การสื่อสารในโลกเทคโนโลยียิ่งมีความซับซ้อนมากขึ้นเท่าไร ช่องทางในการแสวงหาผลประโยชน์ของผู้ไม่หวังดีก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น การเจรจาการค้าด้วยอีเมล์ที่คุ้นเคยกันอย่างดีระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย อาจเป็นช่องทางหนึ่งให้ผู้ไม่หวังดีใช้สวมรอยเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์เข้าตนเองได้ โดยปลอมตัวเข้ามาอยู่ระหว่างกลางของคู่ค้า และทำหน้าที่เป็น“ฤๅษีแปลงสาส์น”  เปลี่ยนแปลงข้อมูลใหม่แล้วส่งต่อไปยังผู้ซื้อและผู้ขาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลเรื่องการโอนเงินค่าสินค้า ซึ่งผู้ซื้อและผู้ขายต่างไม่ทันรู้ตัวว่าภัยร้ายกำลังคืบคลานเข้ามา
ภัยร้ายทางอินเทอร์เน็ตระหว่างการซื้อขายสินค้าข้ามประเทศเกิดขึ้นบ่อยครั้งและทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกวัน จนกระทั่งกระทรวงความมั่นคงของจีนได้ร่วมกับกรมตำรวจเซี่ยงไฮ้เปิดเผยข้อมูลกลลวงกลุ่มผู้ร้ายไซเบอร์ให้ทราบกันทั่วไปเมื่อเร็วๆ นี้ เพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่มมิจฉาชีพดักทำร้ายผู้อื่นอย่างต่อเนื่อง ศูนย์ BIC เซี่ยงไฮ้จึงขอนำข้อมูลดังกล่าวเรียบเรียงเป็นบทความเตือนภัยธุรกิจในจีน ซึ่งจะเปิดเผยเทคนิคของผู้ร้ายที่เข้ามาสวมรอยแทนคู่ค้าว่ามีกลวิธีอย่างไร รวมถึงวิธีการป้องกันไม่ให้กลลวง“ฤๅษีแปลงสาส์น” บรรลุเป้าหมายหลอกโกงเงินได้สำเร็จ เพื่อเป็นข้อมูลให้นักธุรกิจไทยระมัดระวังในการทำการค้ากับจีนหรือประเทศต่างๆ และป้องกันการสูญเสียเงินไปแบบที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น
บิดเบือนข้อมูลการเจรจาซื้อขาย.. ด้วยเทคนิคง่ายๆ "ฤๅษีแปลงสาส์น"
ตั้งแต่ช่วงปี 2554 เป็นต้นมา ได้เกิดกรณีอาชญากรรมทางอินเทอร์เน็ตกับคู่ค้าของบริษัทจีนจำนวนมาก โดยล่าสุดเมื่อเดือน พ.ย. 2555 ทางการจีนได้ร่วมมือกับตำรวจสากลและหน่วยงานด้านความมั่นคงของประเทศต่างๆ จนสามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยคดีฉ้อโกงดังกล่าวได้ 2 คดี ซึ่งมีเครือข่ายอยู่ใน 27 ประเทศทั่วโลก โดยผู้ต้องสงสัยมีเครื่องมือและเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตทันสมัยในการดำเนินการหลอกลวง พร้อมทั้งมีการผลิตเอกสารปลอมสำหรับใช้เปิดบัญชีธนาคารในเมืองต่างๆ ของจีนรวม 16 เมือง ทางการจีนจึงได้เปิดเผยเทคนิคกลลวงของกลุ่มผู้ร้ายทางอินเทอร์เน็ตให้รับทราบ ดังนี้
รวมรวบอีเมล์กลุ่มเป้าหมาย ผู้ร้ายส่วนใหญ่จะเล็งกลุ่มคู่ค้าระหว่างประเทศเป็นหลัก โดยมักจะหาข้อมูลอีเมล์ของบริษัทนำเข้า-ส่งออกจากเว็บไซต์ต่างๆ อาทิ Search engine หรือไดเร็กทอรี่ธุรกิจต่างๆ
ส่งอีเมล์แนบไวรัสให้เหยื่อผู้เคราะห์ร้าย ผู้ร้ายได้พัฒนาซอฟท์แวร์ดักจับข้อมูล หรือที่รู้จักกันดีกว่า "ไวรัสโทรจัน ไวรัส Spyware ไวรัสMalware” และส่งไปทางอีเมล์ที่ได้มาจากเว็บไซต์ธุรกิจต่างๆ โดยอาจใช้เนื้อหาอีเมล์โฆษณาล่อลวงให้ผู้รับเกิดความสนใจ และคลิกดูข้อมูลเพิ่มเติมตามลิงค์/ไฟล์/รูปภาพที่แนบมากับอีเมล์ ซึ่งมีไวรัสซ่อนตัวมาด้วย หากผู้รับหลงเชื่อคำเชิญชวน ก็จะตกเป็นเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายในทันทีแบบที่ไม่รู้ตัว
จับตาดูความเคลื่อนไหว และลงมือหลอกเหยื่อเมื่อถึงจังหวะใกล้จะโอนเงิน หลังจากเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายติดกับดักจากกลลวงทางอีเมล์แล้ว ไวรัสจะเข้าฝังตัวในเครื่องคอมพิวเตอร์ ทำให้ผู้ร้ายทราบรหัสผ่านอีเมล์ของผู้ตกเป็นเหยื่อ และสามารถติดตามดูความเคลื่อนไหวข้อความในการสื่อสารต่างๆ โดยรอจังหวะเมื่อผู้ซื้อ-ผู้ขายตกลงสั่งซื้อสินค้าและกำลังจะโอนเงิน ก็จะฉวยโอกาสหลอกลวงให้ผู้ซื้อโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของตนเอง โดยควบคุมอีเมล์อยู่เบื้องหลังอย่างเงียบๆ แบบที่เหยื่อไม่รู้ตัว และใช้วิธีการยอดฮิตดำเนินการดังกล่าวในบทบาทของ“ฤาษีแปลงสาส์น”  ได้แก่
1) เข้าควบคุมอีเมล์เหยื่อแบบครบวงจร เนื่องจากผู้ร้ายมี password เข้าอีเมล์ของคู่ค้า จึงสามารถคอยดักจับอีเมล์ของผู้ซื้อและผู้ขาย และเปลี่ยนแปลงเนื้อหาของอีเมล์ก่อนส่งไปให้อีกฝ่ายหนึ่งได้ ซึ่งปกติแล้วผู้ซื้อและผู้ขายอาจไม่ได้เปิดดูอีเมล์ในทันที หลังจากอีกฝ่ายหนึ่งส่งอีเมล์ให้ จึงเปิดโอกาสให้ผู้ร้ายสามารถแก้เนื้อหาในอีเมล์ใหม่ได้ โดยเฉพาะข้อมูลแจ้งเลขที่บัญชีโอนเงินค่าสินค้าที่เป็นของผู้ร้ายเอง โดยหากผู้ซื้อส่งอีเมล์สอบถามเพื่อยืนยันเลขที่บัญชีกลับไปยังผู้ขาย ผู้ร้ายจะดักจับเพื่อไม่ให้ผู้ขายได้รับอีเมล์จากผู้ซื้อ จากนั้นผู้ร้ายก็จะสวมรอยใช้ผู้เมล์ของผู้ขายแจ้งยืนยันเลขที่บัญชีดังกล่าวกลับไปให้ผู้ซื้อแทน ซึ่งผู้ซื้อไม่สามารถรู้ได้เลยว่ากำลังมีบุคคลที่สามเข้าแทรกกลางระหว่างการสนทนาผ่านอีเมล์ และหลงกลโอนเงินไปให้กับผู้ร้ายในที่สุด
2) สวมรอยเป็นผู้ซื้อและผู้ขายโดยใช้อีเมล์ใกล้เคียง โดยหลังงจากที่ผู้ร้ายได้คัดเลือกอีเมล์ของเหยื่อ (ผู้ซื้อ – ผู้ขาย) ที่หมายตาไว้ได้แล้ว ก็จะสมัครอีเมล์ที่มีชื่อใกล้เคียงกับอีเมล์ของเหยื่อทั้งสองมากในแบบที่หากไม่สังเกตดีๆ จะไม่พบสิ่งผิดปกติ และสวมรอยเป็นคู่ค้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพื่อเจรจาทางธุรกิจอย่างต่อเนื่องแบบที่ไม่ให้เหยื่อเกิดการสงสัยใดๆ จนกระทั่งถึงขั้นตอนการโอนเงินค่าสินค้า ผู้ร้ายก็จะแจ้งเลขที่บัญชีของตนเองไปให้กับเหยื่อ ซึ่งผู้ตกเป็นเหยื่อก็โอนเงินไปให้โดยที่ไม่เอะใจอะไร เพราะติดต่อกันเป็นประจำ โดยเหยื่อไม่ทันรู้ตัวว่าคู่ค้าที่ตนเองพูดคุยด้วยเป็นผู้ร้ายปลอมตัวมา

เทคนิคป้องกันภัย.. อย่าให้ “ฤๅษีแปลงสาส์น” สำเร็จผล
กรณีความเสียหายด้วยเทคนิค“ฤๅษีแปลงสาส์น” ทางอินเทอร์เนตเกิดขึ้นแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่ภัยร้ายนี้จะไม่เกิดขึ้น ตนเองและผู้อื่นจะไม่ตกเป็นเหยื่อรายต่อๆ ไป หากรู้จักสังเกตอย่างรอบคอบและป้องกันอย่างมีระบบ เช่น
หมั่นสังเกตอีเมล์ของคู่ค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวสะกดที่เปลี่ยนแปลงไปเพียงเล็กน้อย เช่น chivalrysilk_1@gmail.com อาจถูกเปลี่ยนเป็น chivaIrysilk-1@gmail.com โดยหากพบว่าอีเมล์มีการแปลงเปลี่ยนไปแล้วก็ควรมีการตรวจย้ำความถูกต้องอีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่ามีการเปลี่ยนแปลงจริงหรือไม่ ทั้งนี้ การใช้ฟรีอีเมล์อย่าง @gmail.com , @hotmail.com เป็นต้น อาจเป็นโอกาสให้ผู้ไม่หวังดีสามารถสมัครอีเมล์ที่คล้ายคลึงกันได้ค่อนข้างง่าย แต่หากใช้อีเมล์ขององค์กรตนเองแล้ว ผู้ไม่หวังดีคงจะปลอมแปลงโดยสมัครอีเมล์ใหม่ได้ไม่ง่าย
โทรศัพท์ยืนยันเลขที่บัญชีโอนเงินอีกครั้ง โดยเมื่อได้รับแจ้งถึงเลขที่บัญชีโอนเงินค่าสินค้าทางอีเมล์ ควรยืนยันด้วยการโทรศัพท์สอบถามจากผู้ขายสินค้าอีกครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าเลขที่บัญชีที่ได้รับตรงกันกับเลขที่บัญชีที่ผู้ขายต้องการให้โอนเงินจริง เพื่อป้องกันไม่ให้เงินถูกโอนไปยังบุคคลที่สามแทน ทั้งนี้ หากได้รับหมายเลขโทรศัพท์จากอีเมล์ดังกล่าว ก็ควรตรวจสอบด้วยว่าเป็นหมายเลขของคู่ค้าจริงหรือไม่ เช่น ตรวจสอบความถูกต้องของหมายเลขโทรศัพท์ในเว็บไซต์ของบริษัทอีกครั้งหนึ่ง เป็นต้น รวมถึงควรตรวจสอบรหัสพื้นที่ของหมายเลขโทรศัพท์ด้วยว่าตรงกับที่ตั้งของบริษัทคู่ค้าหรือไม่ หากไม่ตรงก็ควรตั้งข้อสงสัยไว้ก่อน เช่น หากบริษัทคู่ค้าตั้งอยู่ในเซี่ยงไฮ้ รหัสพื้นที่โทรศัพท์ก็ควรเป็น 21 ไม่ใช่ 20 ซึ่งเป็นรหัสพื้นที่ของกว่างโจว เป็นต้น
ตรวจดูเลขบัญชีธนาคารกับที่ตั้งบริษัท เลขที่บัญชีควรเป็นหมายเลขบัญชีที่มีความเกี่ยวข้องกับบริษัทที่ขายสินค้า ไม่ควรเป็นเลขบัญชีที่เจ้าของบัญชีเป็นบุคคลธรรมดา หรือไม่ควรเป็นบัญชีธนาคารที่อยู่ในสาขาเมืองอื่นที่ไม่ใช่ที่ตั้งของบริษัทที่ขายสินค้า ตัวอย่างเช่น หากทำการซื้อขายสินค้ากับ บจก. Chivalry Silk ซึ่งตั้งอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ ก็ควรเอะใจหากได้รับแจ้งว่าให้โอนเงินไปเงินเข้าบัญชีบุคคลธรรมดาที่มีสาขาอยู่ในเซินเจิ้น เป็นต้น
ระวังหรือหลีกเลี่ยงเปิดข้อความจากอีเมล์ที่ไม่คุ้นเคย เนื่องจากอาจมีการแนบ"ไวรัสโทรจัน" มาพร้อมกับอีเมล์ โดยเพียงแค่เปิดดู / กดลิงค์ในอีเมล์ หรือดาวน์โหลดไฟล์ที่แนบมา ไวรัสอาจจะแฝงตัวอยู่ในเครื่องอย่างเงียบๆ โดยอาจไม่แสดงอาการที่มีภัยต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ และอาจทำให้ซอฟแวร์ Anti-virus ตรวจหาไม่พบ ดังนั้น จึงควรใช้ความระวัดระวังอย่างยิ่ง หรือหลีกเลี่ยงการเปิดดูข้อมูลจากอีเมล์แปลกใหม่ที่ดูน่าสงสัยและไม่คุ้นเคย
ใช้ Anti-virus ทันสมัยตรวจสอบไวรัสในคอมพิวเตอร์อย่างสม่ำเสมอ ตรวจสอบไวรัสที่ฝังตัวอยู่ในเครื่อง เพื่อป้องกันไม่ให้มีโปรแกรมน่าสงสัยฝังตัวอยู่ในเครื่อง และดักจับข้อมูลที่รับส่งบนอินเทอร์เน็ตแล้วรายงานไปให้แฮ็กเกอร์รู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไวรัสชนิดโทรจัน (Trojan) ที่อาจต้องใช้ซอฟท์แวร์ Anti-virus ชนิดพิเศษสำหรับตรวจหา Virus Trojan โดยเฉพาะ ซึ่งจำเป็นจะต้องอัพเดทซอฟแวร์ป้องกันไวรัสที่มีอยู่ในเครื่องให้ทันสมัยอยู่ตลอด และตั้งเวลาโปรแกรมสแกนไวรัสอัตโนมัติเป็นประจำทุกวัน
หมั่นเปลี่ยนรหัสผ่านอีเมล์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อไม่เปิดโอกาสให้ผู้ไม่หวังดีลักลอบเข้ามาดูข้อความในอีเมล์ได้โดยง่าย หรือสวมรอยแทนตัวเราเพื่อทำเรื่องเลวร้ายที่อาจส่งผลกระทบถึงตัวเราและผู้คนรอบข้างในเวลาต่อมา

สร้างภูมิคุ้มกันภัย.. ด้วยการใช้ความรอบคอบและระมัดระวัง

ถึงแม้อินเทอร์เน็ตจะมีประโยชน์และมีช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้งาน แต่ก็อาจเป็นภัยได้หากผู้ใช้ไม่รู้ทันกลโกงของผู้ร้ายยุคไซเบอร์ในปัจจุบัน ดังนั้น ผู้ที่ใช้อีเมล์เป็นเครื่องมือในการสื่อสารหลักกับคู่ค้าระหว่างประเทศ จึงควรมีความระมัดระวังอย่างยิ่ง อีกทั้งควรให้ความสำคัญกับความละเอียดรอบคอบ ด้วยการสังเกตสิ่งผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา และเมื่อพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลใดๆ แล้ว อีเมล์คงไม่ใช้เครื่องมือการสื่อสารที่จะยืนยันได้ว่าข้อมูลที่ได้รับมาเป็นจริงหรือเท็จ ดังนั้น การโทรศัพท์เพื่อย้ำความถูกต้องอีกครั้งจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้
ที่ผ่านมา ผู้ซื้อ (ผู้เสียหายส่วนใหญ่จากกรณีถูกหลอกให้โอนเงินจากช่องทางอีเมล์) มักจะรู้ตัวว่าถูกหลอกเมื่อสายไปเสียแล้ว ไม่สามารถอายัดเงินได้ทันเวลา เพราะเงินที่โอนไปถูกคนร้ายถอนไปในทันที การจะแจ้งความเพื่อตามจับตัวคนร้ายกลับมาก็มิใช่เรื่องง่ายและมีขั้นตอนลำบาก เพราะโดยปกติสถานีตำรวจจีนจะกำหนดให้ผู้โอนเงิน (ผู้เสียหาย) ต้องเดินทางมาแจ้งความด้วยตนเอง ไม่ใช้ให้คู่ค้าชาวจีนเป็นผู้แจ้งความให้แทน นอกจากนี้ ต้องรวบรวมหลักฐานทั้งหมดที่สามารถชี้ชัดว่าผู้ร้ายเปิดบัญชีธนาคาร ณ สาขาใด/เมืองใด แล้วจึงจะสามารถเข้าแจ้งความได้ ตัวอย่างเช่น บัญชีของผู้ร้ายอยู่ในเซี่ยงไฮ้ก็จำเป็นต้องเดินทางเพื่อเข้าแจ้งความในสถานีตำรวจท้องที่เซี่ยงไฮ้ เป็นต้น ทั้งนี้ แม้ตำรวจท้องถิ่นจะรับแจ้งความแล้ว แต่กระบวนการสืบสวนเพื่อนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษก็ต้องใช้เวลาไม่น้อยเลยทีเดียว ดังนั้น วิธีที่ได้ผลมากที่สุด คือ การสร้างภูมิคุ้มกันภัย ด้วยการใช้ความระมัดระวังอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะกลลวงการซื้อขายที่มักเกิดขึ้นบ่อยครั้งมากอย่างกรณีการเปลี่ยนแปลงอีเมล์
จัดทำโดย น.ส. เทพรัตน์ ตันติกัลยาภรณ์ เรียบเรียงโดย นายโอภาส เหลืองดาวเรือง ศูนย์ข้อมูลธุรกิจไทยในจีน ณ นครเซี่ยงไฮ้ แหล่งข้อมูล : การร่วมฟังบรรยาย Briefing Conference on Transnational Cyber Fraud Case วันที่ 30 พฤศจิกายน 2555




หมอนวดไทยโดนปล้นคาร้านนวดใน KL

ชะตากรรมหมอนวดไทยในมาเลเซียยังเคราะห์ซ้ำกรรมซัดอย่างต่อเนื่อง คราวนี้ถูกปล้นทรัพย์ในสถานที่ทำงาน ถูกคุณโจรเอาทรัพย์ไปจนเกลี้ยงต้องวิ่งโร่มาขอให้สถานทูตช่วย
เรื่องรันทดซ้ำซากของหมอนวดไทยกรณีนี้ เกิดขึ้นเมื่อคืนวันที่ 11 ธันวาคม 2555 ที่ร้านนวดแห่งหนึ่งในย่าน Patu Cave กรุงกัวลาลัมเปอร์ ขณะที่หมอนวดไทย 4 คน กำลังทำงานอยู่ในร้านได้มีชาย 4 คน ใส่หมวกกันน็อกเข้าไปในร้านใช้มีดจี้ที่คอพนักงานประจำเคาน์เตอร์และจี้ตัวพนักงานนวดทุกคน ค้นเอาทรัพย์สินในร้านไปแล้วยังไม่พอ ยังโกยเอาทรัพย์สินส่วนตัวของพนักงานนวดไทยเราไปด้วย กวาดไปจนเกลี้ยงทั้งโทรศัพท์ เงินสด โน๊ตบุ๊ก รวมทั้งหนังสือเดินทางที่อยู่ในกระเป๋า โจรก็นำติดมือไปด้วย จากนั้นก็หลบหนีไป โชคยังดีที่คนไทยทั้ง 4 คน ปลอดภัยไม่ได้ถูกโจรทำร้ายร่างกายแต่อย่างใด

ทางเจ้าของร้านได้ไปแจ้งความกับตำรวจ แต่เนื่องจากหมอนวดไทยทั้ง 4 คนทำงานในมาเลเซียอย่างผิดกฎหมายจึงไม่กล้าแจ้งความว่าถูกปล้นตามที่เป็นจริง ต้องแจ้งความเท็จไปว่าเป็นนักท่องเที่ยวลืมกระเป๋าไว้ในร้านอาหาร บ้างก็ต้องบอกว่าทำพาสปอร์ตหายระหว่างไปเที่ยวที่ถ้ำ Patu แจ้งความเสร็จแล้วก็ตรงดิ่งมายังสถานทูตขอให้ช่วยเหลือ ท่านสมพงษ์ฯ ก็ได้ออกเอกสารประจำตัวให้กับทุกคนเพื่อใช้เดินทางกลับประเทศไทยพร้อมทั้งขอร้องให้ทั้งหมดอยู่ทำมาหากินที่เมืองไทยและอย่ากลับมาทำงานในมาเลเซียอีก

ท่านสมพงษ์ฯ บอกด้วยว่า ปัญหาอาชญากรรมในมาเลเซีย โดยเฉพาะกรุงกัวลาลัมเปอร์เกิดมีมากขึ้น และผู้ที่ตกเป็นเหยื่อก็มักจะเป็นคนต่างชาติ ในปีก่อนมีคนไทยถูกชิงกระเป๋ามาขอให้สถานทูตช่วยเหลือออกเอกสารประจำตัวเพื่อเดินทางกลับประเทศไทยเฉลี่ยสัปดาห์ละ 2-3 ราย แต่ในปัจจุบันมีวันละ 4-5 ราย ใครจะไปเที่ยวประเทศมาเลเซียก็ให้ระมัดระวังพวกมิจฉาชีพพวกนี้ด้วย

เคราะห์กรรมของหมอนวดไทยในมาเลเซียมีเยอะจริงๆ นอกจากจะต้องหลบๆ ซ่อนๆ ทำงานอย่างผิดกฎหมาย ถูกโกง ถูกกดค่าแรง ถูกบังคับค้าประเวณี ตกเป็นหนี้เป็นสิน สารพัดความลำบากทุกข์ยากแสนสาหัส นี่ยังต้องมาประสบกับโจรภัยอีก แต่อันที่จริงปัญหานี้แก้ได้ง่ายมากๆ เพียงไม่เดินทางไปทำงานผิดกฎหมายในมาเลเซีย แค่นี้ก็สิ้นเรื่อง

ที่มา : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์
      : กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเืทศ
        กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ

หนุ่มไทยโดน ตม. แคนาดารวบ มีภาพอนาจารเด็กในคอมพ์

สถานกงสุลใหญ่ ณ นครแวนคูเวอร์ รายงานมาว่า เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2555 ได้รับแจ้งจากชาวไทยเชื้อสายแคนาดาว่ามีเพื่อคนไทยถูกเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองที่สนามบินแวนคูเวอร์จับกุม ขอให้สถานกงสุลฯ ให้ความช่วยเหลือด้วย

เจ้าหน้าที่สถานกงสุลฯ จึงได้ตรวจสอบไปยังหน่วยงาน Canada Border Service Agency (CBSA) ทราบว่า ชายไทยที่ถูกจับกุมเดินทางเข้ามายังประเทศแคนาดาเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2555 เจ้าหน้าที่ของ CBSA ได้สุ่มตรวจสัมภาระ ปรากฏว่าหนุ่มไทยดังกล่าวมีภาพอนาจารเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ในเครื่องคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค

หนุ่มไทยรายนี้จึงถูกนำตัวไปขึ้นศาลในวันเดียวกันและศาลได้ตัดสินให้ส่งตัวออกนอกประเทศแคนาดา เจ้าหน้าที่ CBSA จึงได้จัดการส่งตัวกลับประเทศไทยในวันเดียวกัน ตอนนี้ก็เดินทางกลับถึงประเทศไทยเรียบร้อยแล้ว

ที่นำเรื่องนี้มาเสนอก็เพื่อจะให้เห็นว่า การเดินทางไปต่างประเทศนั้นต้องระมัดระวังตัวให้มากโดยเฉพาะเรื่องข้าวของเครื่องใช้หรือสัมภาระที่จะนำติดตัวไปด้วย เพราะมันอาจกลายเป็นของผิดกฎหมายและมีบทลงโทษรุนแรงในบางประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของยา (ซึ่งเคยเตือนกันไปแล้วว่าบางประเทศมีการห้ามนำเข้ายาบางประเภท) เรื่องของสินค้าปลอม สินค้าละเมิดลิขสิทธิ์/สิทธิทางปัญญา แม้แต่เงินสดที่พกติดตัวก็ต้องตรวจสอบก่อนว่าสามารถพกพาไปได้เท่าไหร่ ฯลฯ และโดยที่ปัจจุบันมนุษย์ใช้เครื่องมือและอุปกรณ์สื่อสารกันมากขึ้นและมักนำติดตัวไปด้วยเวลาเดินทางไปต่างประเทศโดยไม่ได้คิดอะไรเพราะเครื่องมืออุปกรณ์ก็เป็นของแท้ไม่ใช่ของปลอม แต่บางครั้งก็ไม่ได้ระวังว่าข้อมูลภายในเครื่องจะมีอะไรที่ผิดกฎหมายบ้างและไม่คิดว่าจะถูกสุ่มตรวจข้อมูลในคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์ส่วนตัว ในบางประเทศเขาเอาจริงเอาจังกับเรื่องพวกนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพอนาจารเด็ก (Child Pornography) ก็ขอให้ตรวจสอบและใช้ความระมัดระวังให้ดี จะได้ไม่ต้องโดนรวบและถูกส่งตัวกลับประเทศทันทีเหมือนหนุ่มไทยรายนี้

ด้วยความปรารถนาดีจาก : สถานกงสุลใหญ่ ณ นครแวนคูเวอร์
                        : กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
                          กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ


วันอังคารที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2555

2 หมอนวดไทยที่เกาะ Pom Pom ได้กลับบ้านพร้อมหนี้สิน

จากที่ได้เสนอข่าวคราวเกี่ยวกับ 2 หมอนวดสาวไทยที่อ้างว่าถูกหลอกไปทำงานที่เกาะ Pom Pom ประเทศมาเลเซีย นั้น ท่านสมพงษ์ฯ ได้แจ้งความคืบหน้ามาว่า นายจ้างได้จัดให้ทั้ง 2 คน เดินทางไปที่กัวลาลัมเปอร์แล้วเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2555 ซึ่งสถานทูตก็ได้ไปรอรับตัวจากสนามบินและนำมาพักยังห้องพักฉุกเฉินเพื่อรอส่งตัวกลับเมืองไทยในวันรุ่งขึ้น

ทั้งสองคนบอกว่า หนี้สินที่ติดค้่างนายจ้างอยู่คนละ 3,000 ริงกิต ยังชำระไม่หมด เหลืออีก 1,480 ริงกิต ทางท่านสมพงษ์ฯ ต้องเล่นบทโศก ออดอ้อนวิงวอนนายจ้างขอให้ยกหนี้ให้หมอนวดไทยทั้งสองรายนี้ด้วย ซึ่งนายจ้างยินยอมเพียงซื้อตั๋วเครื่องบินให้ทั้งสองคนเพื่อเดินทางไปยังกรุงกัวลาลัมเปอร์เท่านั้น ส่วนหนี้ที่ค้างชำระยังไงก็ต้องจ่ายคืน หมอนวดไทยทั้งสองคนจึงต้องขอยืมเงินจากสถานทูตเพื่อชดใช้คืนให้แก่นายจ้างแถมยังต้องขอยืมเงินอีกส่วนหนึ่งเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางกลับประเทศไทยอีกด้วย
สิริรวมต้องเป็นหนี้กับทางราชการไปคนละ 2,200 ริงกิต (ประมาณ 22,000 บาท)

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า จะไปไหน จะทำอะไร คิดให้ดีๆ คิดให้ถ้วนถี่ อย่าเชื่อแต่คำพูดของคนอื่น อย่าเชื่อแม้แต่ตัวเองที่มักจะหลงเชื่อในสิ่งเพ้อฝันว่าไปทำงานเมืองนอกดีกว่าอยู่เมืองไทย กรณีของ 2 หมอนวดไทยนี้ไม่ใช่รายแรก เรื่องราวของการไปทำงานเมืองนอกแล้วต้องกลับเป็นหนี้บานเบอะแบบนี้ ขอบอกว่า เกิดขึ้นเป็นรายวันเลยทีเดียว

ที่มา : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงไคโร
       : กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
         กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ

ซูดานพบการระบาดของโรคไข้เหลือง

องค์การอนามัยโลก (World Health Organization) ได้แถลงผ่านทางเว็ปไซต์เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2555 หลังได้รับรายงานจากกระทรวงสาธารณสุขแห่งประเทศซูดานว่าพบการระบาดของโรคไข้เหลือง (Yellow Fever) ใน 23 พื้นที่ของประเทศซูดาน โดยตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน 2555 พบผู้สงสัยว่าป่วยจำนวนทั้งสิ้น 329 คน เสียชีวิตแล้ว 97 คน ซึ่งขณะนี้ ทาง WHO และกระทรวงสาธารณสุขซูดานรวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ กำลังดำเนินความพยายามในการควบคุมโรคติดต่อดังกล่าวอยู่

ผู้ที่จะเดินทางไปประเทศซูดานรวมทั้งประเทศที่มีการระบาดของโรคไข้เหลือง (ส่วนใหญ่อยู่ในทวีปแอฟริกาและอเมริกาใต้) ขอให้ไปรับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้เหลืองได้ที่สถานบริการฉีดวัคซีนไข้เหลืองก่อนเดินทาง รายละเอียดเกี่ยวกับโรคไข้เหลือง การป้องกัน ตลอดจนสถานบริการฉีดวัคซีนให้ตรวจสอบที่เว็ปไซต์ของกรมควบคุมโรค ที่  http://thaigcd.ddc.moph.go.th/



อียิปต์ยังประท้วงไม่เสร็จ ทูตสั่งคนไทยเพิ่มความระมัดระวัง

นับตั้งแต่มีการประท้วงขับไล่ประธานาธิบดีฮอสนี่ มูบารัก เมื่อปี พ.ศ. 2554 จนถึงวันนี้ อียิปต์ไม่เคยมีช่วงเวลาสงบเลย มีการชุมนุมประท้วงเรียกร้องต่างๆ นาๆ มาตลอดตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งจนเลือกตั้งแล้วเสร็จได้ประธานาธิบดีคนใหม่ก็แล้ว ได้รัฐบาลใหม่ก็แล้ว ล่าสุดประธานาธิบดีพยายามจะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อกระชับอำนาจตัวเอง ส่งผลให้ประชาชนบางส่วนไม่พอใจออกมาชุมนุมเรียกร้อง จนเกิดกลายเป็นเหตุปะทะรุนแรงขึ้นทั่วประเทศแล้ว

อย่างเช่นเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2555 กลุ่มมวลชนฝ่ายต่อต้านประธานาธิบดีหลายหมื่นคนได้เดินขบวนจากจุดต่างๆ ในกรุงไคโรไปชุมนุมบริเวณรอบทำเนียบประธานาธิบดี กลุ่มผู้ชุมนุมบางส่วนพยายามบุกเข้าไปในเขตรั้วของทำเนียบฯ จนเกิดการปะทะกับกองกำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่พยายามสกัดไว้ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายสิบคน

ในวันต่อมา (5 ธันวาคม 2555) กลุ่มมวลชนฝ่ายสนับสนุนประธานาธิบดีหลายพันคนได้เดินทางไปรวมตัวกันที่ทำเนียบประธานาธิบดีและเกิดการเผชิญหน้ากับกลุ่มต่อต้านประธานาธิบดีซึ่งยังคงปักหลักชุมนุมอยู่ในบริเวณดังกล่าว ทั้งสองฝ่ายจึงได้ปะทะกันอย่างรุนแรง มีการใช้ทั้งก้อนหิน ระเบิดเพลิง ขว้างปาเข้าใส่กัน ผู้ชุมนุมบางคนยังมีการใช้อาวุธปืนด้วย การปะทะกันมีขึ้นตั้งแต่ช่วงบ่ายซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้พยายามตั้งแนวป้องกันและสกัดด้วยการยิงแก๊สน้ำตา แต่การปะทะยังคงมีต่อไปเป็นระยะจนถึงช่วงกลางคืน งานนี้มีผู้บาดเจ็บมากถึง 653 คน ขณะที่สื่อมวลชนรายงานว่ามีผู้เสียชีวิต 6 รายด้วย
                                                                   
                           
 นอกจากความรุนแรงที่เกิดขึ้นในไคโรแล้ว ในวันเดียวกันนี้เอง ฝ่ายต่อต้่่านรัฐบาลยังได้ชุมนุมรวมตัวกันในอีกหลายเมืองในอียิปต์ ทั้งเมืองอเล็กซานเดรีย อิสมาเลีย ดุมยาต และเมืองสุเอซ มีการเผาสำนักงานของกลุ่ม Muslim Brotherhood ซึ่งเป็นกลุ่มการเมืองที่สนับสนุนรัฐบาล  และมีการเผาสำนักงานของพรรค Freedom and Justice Party พรรคการเมืองของกลุ่ม Muslim Brotherhood ที่เมืองอิสมาเลียด้วย

ทั้งสองกลุ่มยังไม่มีทีท่าจะตกลงปรองดองกันได้ในขณะนี้ และยังมีการนัดหมายชุมนุมกันต่อไปอีกโดยเฉพาะตามเมืองใหญ่ๆ สำหรับคนไทยในอียิปต์ซึ่งมีอยู่ประมาณ 2 พันคนและส่วนใหญ่เป็นนักเรียนนักศึกษามุสลิมนั้น จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีผู้ใดประสบเหตุที่เป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน อย่างไรก็ดี สถานทูตไทยได้กำชับให้คนไทยทุกคนใช้ความระมัดระวังอย่างสูง โดยสำหรับน้องๆ นักศึกษา สถานทูตก็ได้กำชับคณะกรรมการสมาคมนักศึกษาไทยในไคโร ให้ช่วยกันดูแลให้หลีกเลี่ยงจุดเสี่ยงต่างๆ และคอยติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ส่วนคนไทยที่จะเดินทางไปอียิปต์ช่วงเวลานี้ ถ้าเป็นไปได้ควรเลื่อนกำหนดการออกไปก่อน แต่ถ้ามีความจำเป็นต้องเดินทางก็ขอให้ตรวจสอบสถานการณ์ล่าสุดกับทางสถานทูตไทยก่อนและเมื่อเดินทางถึงอียิปต์แล้วขอให้รายงานตัวกับทางสถานทูตโดยแจ้งชื่อและสถานที่พักให้สถานทูตทราบด้วยเพื่อสถานทูตจะได้ให้คำแนะนำและช่วยเหลือหากจำเป็น

ที่อยู่และหมายเลขโทรศัพท์สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงไคโร

9 Tiba Street,Dokki, Giza
Tel : (202) 3336-7005, 3760-3553-4
Fax : (202) 3760-5076,3760-0137
Email : royalthai@link.net
Website : http://www.thaiembassycairo.org




ที่มา : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงไคโร
        : กองคุ้มครองและดุแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
         กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ

  

วันอังคารที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ขอเตือน " เทยทั่วไทย " ไปเมืองนอกระวังให้ดี

ข่าวคราวเกี่ยวกับหญิงไทยถูกหลอกลวงไปค้าประเวณีในต่างประเทศ เรื่องราวของหมอนวดสาวไทยที่ไปประสบปัญหาสารพัดในต่างประเทศ มีการนำเสนอมาโดยตลอด และยังไม่มีทีท่าว่าปัญหาต่างๆ เหล่านี้จะหมดไป เดี๋ยวนี้ นอกจากสาวแท้แล้ว สาวเทียมหรือสาวประเภทสองของไทยก็ไม่ยอมน้อยหน้าสาวแท้ ดั้นด้นเดินทางไปทำงานและต้องตกทุกข์ได้ยากกันในต่างประเทศมากขึ้น

อย่างในกรณีล่าสุดที่เกิดขึ้นที่รัฐชาร์จาร์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ตำรวจที่นั่นไปกวาดจับคนต่างชาติที่ทำงานเป็นพนักงานนวดในร้านนวดหลายแห่ง ได้ผู้ต้องหาเป็นคนไทยหลายคน ในจำนวนนี้มีทั้งสาวแท้และสาวประเภทสอง ทั้งหมดถูกตั้งข้อหาค้าประเวณีและถูกนำตัวไปฝากขังเพื่อรอขึ้นศาล สาวแท้ก็ไม่มีปัญหาอะไรมาก นายจ้างมาประกันตัวเพื่อออกไปสู้คดี แต่ทางด้านสาวเทียมเรื่องยังไม่จบ

ทางตำรวจแขกเพ่งพิจารณาสาวเทียมทั้ง 3 คน จนตาแทบจะถลนออกมานอกเบ้า พบว่ามีลักษณะเป็น ladyboy โดยนอกจากจริตกิริยาจะไม่ใช่แบบแมนๆ แล้ว 2 ใน 3 คน ยังได้เสริมเต้ามาจากยันฮีเป็นที่เรียบร้อย เด้งดึ๋งชูชันขนาดนั้นถ้านำตัวไปขังรวมกับนักโทษชายคนอื่นๆ มีหวังไม่ได้อยู่ในคุกกันอย่างสงบสุขแน่นอน จึงได้นำเทยไทยทั้ง 3 คน ไปฝากขังที่เรือนจำแห่งหนึ่งซึ่งต้องแยกขังทั้ง 3 คน ต่างหากจากผู้ต้องขังชายอื่นๆ พอเจ้าหน้าที่สถานกงสุลใหญ่ที่ดูไบไปเยี่ยม พวกเธอก็ดีใจมากพร้อมทั้งเล่าให้ฟังด้วยสีหน้าท่าทางที่ตื่นเต้นว่า มีตำรวจบางนายที่ดีและคอยดูแล แต่ก็มีบางคนที่มองพวกเธอเหมือนตัวประหลาดและคอยกลั่นแกล้ง เช่นขู่จะจับโกนผม และให้เปิดเสื้อโชว์หน้าอกให้ตำรวจคนอื่นๆ ดู บางคนก็คอยถามแต่ว่าไปทำอะไรมาถึงได้ ตูม ตูม ขนาดนั้น พวกเธอก็อ้างไปว่ากินฮอร์โมน พวกตำรวจก็ไม่เชื่อคอยถามซ้ำอยู่ตลอด (สงสัยอาจจะอยากไปเสริมบ้าง จะได้อกผายไหล่ผึ่งสมกับเป็นตำรวจ)

ทางเจ้าหน้าที่สถานกงสุลได้สอบถามกับทางตำรวจเกี่ยวกับข้อหาและความคืบหน้าของคดี ตำรวจบอกว่าสำหรับเทยไทยทั้ง 3 คน จะถูกตั้งข้อหาเป็นสาวประเภทสอง (ladyboy) ซึ่งในรัฐซาร์จาร์ถือเป็นความผิดตามกฎหมายอิสลาม (ซาร์จาร์เป็นรัฐที่บังคับใช้กฎหมายอิสลามเข้มงวดที่สุดในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) และทั้ง 3 คนจะต้องรอการขึ้นศาลต่อไป

เรื่องนี้นับว่่าเป็นกรณีตัวอย่างและเป็นอุทธาหรณ์สำหรับสาวประเภทสองที่อยากจะไปทำงานหรือเดินทางไปต่างประเทศ ในบางประเทศโดยเฉพาะประเทศที่ใช้กฎหมายอิสลาม การแสดงออกถึงพฤติกรรมผิดเพศเป็นเรื่องผิดกฎหมาย

เรื่องนี้ต้องขอให้เข้าใจให้ชัดๆ ว่า การมีรสนิยมหรือพฤติกรรมแบบนั้น ไม่ใช่เรื่องผิด และเมืองไทยเรารวมทั้งหลายประเทศทั่วโลกก็ยอมรับได้ แต่ "การแสดงออก" ต่างหากที่อาจจะกลายเป็นความผิดได้สำหรับบางประเทศที่มีกฎหมายเอาผิดกับผู้ที่มีลักษณะหรือพฤติกรรมผิดเพศ อย่างเช่นกรณีเทยไทย 3 รายนี้

ที่มา : สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองดูไบ


วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ขบวนการปลอมวีซ่ามาเลเซีย


"งานเข้า" อย่างต่อเนื่องสำหรับท่านสมพงษ์ กางทอง อัครราชทูตที่ปรึกษา สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ คราวนี้มีหญิงไทย 3 คน หนีนายจ้างมาขอความช่วยเหลือให้ส่งตัวกลับประเทศไทย

จากการสอบปากคำหญิงไทยทั้ง 3 คน ทราบว่า ทั้ง 3 คน ได้รับการติดต่อให้ไปทำงาานนวดที่ร้าน Thai Traditional Massage เมือง Segamat ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ประมาณ 250 กิโลเมตร โดยมีนายหน้าจัดทำวีซ่าเข้ามาเลเซียให้โดยได้จ่ายเงินให้นายหน้าไปคนละ 5,000 บาท และพวกตนรอรับหนังสือเดินทางพร้่อมวีซ่าอยู่ที่อ.สะเดา จ. สงขลา เวลาผ่านไป 3 วัน นายหน้านำหนังสือเดินทางกลับคืนมาให้พร้อมวีซ่าเข้ามาเลเซีย พวกเธอทั้ง 3 คนจึงได้เดินทางเข้าประเทศมาเลเซียเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2555 และทำงานที่ร้านดังกล่าวโดยได้เงินเดือนประมาณ 12,000 บาท

แต่ทำงานไปได้เพียง 4 วัน ก็โดนคุณโปลิสเข้าตรวจจับ รวบตัวหญิงไทยทั้ง 3 คน ข้อหาไม่มีใบอนุญาตทำงานและถูกนำตัวไปเข้าคุกที่สถานีตำรวจอยู่ 14 วัน ถูกปรับคนละ 7,000 บาท งานนี้ นายจ้างก็โดนจับด้วย ซึ่งตำรวจก็จัดเต็ม คือปรับนายจ้างไป 600,000 บาท หลังจากถูกคุมขังและปรับเงินจนหน้าซีดหน้าเซียวกันไปทั้งนายจ้างลูกจ้างแล้ว ตำรวจก็ปล่อยตัวออกมา หญิงไทยทั้ง 3 คน เจอเข้าไปแบบนี้ก็ต๊กกะใจบอกนายจ้างว่าจะขออำลาจาก ขอกลับเมืองไทยดีกว่า ไม่เอาแล้วมาเลเซีย แต่นายจ้างที่โดนปรับไปเป็นเงินหลายแสนจนหน้าเริ่มจะมืด ไม่ยอมให้ทั้ง 3 คนกลับบ้าน ยึดหนังสือเดินทางไว้และให้ทั้ง 3 คนทำงานชดใช้คืนคนละ 50,000 บาท เจอแบบนี้ สาวไทยใจถึงก็ไม่ยอมเหมือนกัน ไม่คืนพาสปอร์ตให้ก็ไม่เป็นไร หนีซะเลย ว่าแล้ว 3 สาวก็พากันหนีมาขอความช่วยเหลือจากสถานทูตขอให้ส่งตัวกลับบ้านโดยด่วน

ท่านสมพงษ์ฯ สดับรับฟังเรื่องราวของ 3 สาวแล้ว ตอนแรกก็จะ "จัดให้" ตามที่ 3 สาว ร้องขอ คือส่งกลับบ้าน แต่พอได้พินิจพิเคราะห์ดูสำเนาพาสปอร์ตของหญิงไทย1 ใน 3 ราย  (ซึ่งบังเอิญ ถ่ายเอกสารและพกติดตัวไว้ด้วย) พบว่าเป็นวีซ่าปลอม  ท่านสมพงษ์ฯ ถึงกับเข่าทรุด "งานเข้า" อีกแล้ว

หลังจากได้สูดยาดมและดื่มน้ำขิงร้อนๆ ไป 1 ถ้วย ท่านสมพงษ์ฯ ต้องคิดหาทางว่าจะส่งตัว หญิงไทยทั้ง 3 คน กลับบ้านได้ยังไง เพราะถ้าส่งตัวกลับตามวิธีปกติหากถูกตรวจสอบพบ ทั้ง 3 คน จะต้องถูกเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองมาเลเซียจับกุมและจะต้องถูกตั้งข้อหาปลอมแปลงวีซ่า ซึ่งจะต้องถูกปรับไม่เกิน 50,000 บาท และจำคุก ไม่เกิน 1 ปี  หญิงไทยทั้ง 3 ซึ่งเพิ่งออกมาจากคุกและเพิ่งจ่ายค่าปรับไปจนเกือบหมดเนื้อหมดตัวคงไม่อยากโดนจับกลับไปเข้าคุกและโดนปรับอีกเป็นแน่    แต่สมพงษ์ฯ ซะอย่าง ในที่สุดก็หาวิธีส่งตัว 3 สาวกลับบ้านจนได้ในที่สุดเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา

ท่านสมพงษ์ฯ บอกด้วยว่า ระยะ 3-4 เดือนที่ผ่านมาปรากฎว่ามีหมอนวดไทยถูกจับกุมดำเนินคดีข้อหาใช้วีซ่าปลอมกันมาก เฉพาะในเดือนกันยายน มีนักดนตรีและนักร้องถูกจับกุมถึง 5 คน และถูกปรับไปเป็นเงินคนละ 160,000 บาท นอกจากนี้ สถานทูตยังได้รับแจ้งจากทางญาติในเมืองไทยวันละหลายรายให้ช่วยติดตามหาญาติของตนที่เข้าไปทำงานในมาเลเซียและถูกจับกุมหรือขาดการติดต่อ

ทางฝ่ายสถานทูต/สถานกงสุลของประเทศมาเลเซียประจำประเทศไทยก็ให้ข้อมูลว่า ได้ใช้มาตรการเข้มงวดในการออกวีซ่าเพื่อไปทำงานหรือจุดประสงค์อื่นที่ไม่ใช่เพื่อการท่องเที่ยวอยู่แล้ว หลายเดือนที่ผ่านมามีคนไทยที่ได้รับวีซ่าประเภทนี้เพียงไม่กี่รายซึ่งการจะได้วีซ่าประเทภนี้ยากมากและต้องมีหนังสือรับรองจากหน่วยงานราชการหรือสถาบันการศึกษาของมาเลเซียที่เชื่อถือได้เท่านั้น การที่มีนายหน้าไปขอวีซ่าให้เช่นนี้จึงเป็นเรื่องที่น่าเชื่อได้ว่าเป็นการปลอมแปลงวีซ่าเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

การปลอมแปลงวีซ่าหรือเอกสารถือเป็นอาชญากรรมชนิดหนึ่ง เป็นความผิดค่อนข้างร้ายแรงและทุกประเทศจะมีกฎหมายที่เข้มงวดในการควบคุมและลงโทษทั้งผู้ที่ปลอมแปลงเอกสารและผู้ที่ใช้เอกสารปลอม ดังนั้น ใครที่ชอบให้นายหน้าไปดำเนินการเรื่องเอกสารต่างๆ ให้ เช่นกรณีนี้ ให้นายหน้าไปขอวีซ่าให้ ขอให้ระวังให้ดี เพราะหากเกิดเป็นของปลอมขึ้นมา ท่านก็ต้องถูกตั้งข้อหาคดีอาญาอย่างแน่นอน และอาจไม่โชคดีเหมือนหมอนวดไทยทั้ง 3 รายนี้ที่โชคดีที่ท่านสมพงษ์ฯ ตรวจพบก่อนจึงหาทางแก้ไขให้ได้ไม่ต้องไปเสี่ยงถูกจับซ้ำซ้อน

ด้วยความปรารถนาดีจาก : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์
                  : กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
                            กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ



วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

2 หมอนวดไทยถูกส่งไปปล่อยเกาะที่มาเลเซีย

ส่งข่าวมาอีกครั้ง สำหรับท่านสมพงษ์ กางทอง อัครราชทูตที่ปรึกษา สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย คราวนี้ท่านสมพงษ์ฯ แจ้งมาว่าเมื่อวันที่ 19 พ.ย. 55 ได้รับโทรศัพท์จากหญิงไทยรายหนึ่งบอกว่า ตนและเพื่อนอีกคนหนึ่งถูกหลอกไปทำงานนวดอยู่ที่รีสอร์ทที่ตั้งอยู่บนเกาะแห่งหนึ่งในมาเลเซีย ไม่สามารถออกมาจากเกาะนี้ได้ และไม่รู้ว่าเกาะนี้ชื่ออะไร อยู่ที่ส่วนไหนของมาเลเซีย ( นี่แหละคนไทย ใครพาไปไหนก็ไป ไม่มีความรู้อะไรเลยเกี่ยวกับประเทศหรือที่ๆ ตัวจะไป )

เจอเข้าไปแบบนี้ ท่านสมพงษ์ฯ ถึงกับอึ้งไปหลายนาที ประเทศมาเลเซียก็กว้างใหญ่ไพศาล มีเกาะมากมายเป็นพันๆ เกาะ แล้วจะไปตามหาได้ที่ไหน ก็เลยต้องเล่นบทนักสืบ 007 ใช้วิธีให้เธอค่อยๆ นึกว่าเธอเดินทางจากเมืองไทยไปถึงเกาะนั่นได้อย่างไร จำชื่ออะไรได้บ้าง และรีสอร์ทที่ทำงานอยู่ชื่ออะไร จนในที่สุดก็ได้ความว่า เธอและเพื่อนอยู่ที่รีสอร์ทบนเ้กาะ Pom Pom ในเขตทะเล Celebes รัฐซาบาห์ ติดกับเขตแดนประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเกาะนี้นักธุรกิจชาวมาเลย์ได้รับสัมปทานสร้างรีสอร์ทหรูขึ้นเพียงแห่งเดียว บนเกาะไม่มีบ้านเรือนผู้คน ไม่มีอาคารร้านรวงอื่นๆ ทั้งสิ้น ผู้ที่จะเข้าไปที่เกาะนี้คือนักท่องเที่ยวที่ซื้อทัวร์โดยจะมีรถไปรับถึงสนามบินเมืองดาเวาเพื่อมาลงเรือของรีสอร์ท ไม่มีเรืออื่นและไม่มีใครอื่นจะเดินทางเข้า-ออกเกาะแห่งนี้ได้ ถ้าไม่ได้รับอนุญาต


พอทราบพิกัดที่ตั้งของรีสอร์ทที่มีคนไทยอ้างว่าถูกหลอกไปปล่อยไว้แล้ว ท่านสมพงษ์ฯ ก็ไม่รอช้าโทรศัพท์หาผู้จัดการรีสอร์ทแห่งนั้นทันทีเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าเรื่องราวเป็นยังไงกันแน่  ซึ่งทางผู้จัดการก็ยืนยันว่าไม่ได้หลอกลวงหมดนวดไทยทั้ง 2 รายแต่อย่างใดเลย ทางรีสอร์ทได้รับการแนะนำจากร้านนวดแห่งหนึ่งในจังหวัดภูเก็ตว่ามีหมดนวดไทย 2 คน มีประสบการณ์เคยนวดที่ประเทศเกาหลีใต้มาก่อนสนใจจะทำงานนวดในประเทศมาเลเซีย ทางรีสอร์ทจึงเสนอเงินเดือนให้ขั้นต้น 1,000 ริงกิต (ประมาณ 10,000 บาท ) และค่าส่วนแบ่งจากการนวดอีก 10 % และยังได้บอกให้ทราบก่อนแล้วว่ารีสอร์ทตั้งอยู่ห่างไกลจากกัวลาลัมเปอร์และอยู่บนเกาะ หมอนวดไทยทั้ง 2 คน ก็ยังสนใจและตกลงจะเดินทางไปทำงาน ทางรีสอร์ทจึงออกค่าใช้จ่ายในการเดินทางให้ก่อนคนละประมาณ 3,000 ริงกิต (ประมาณ 30,000 บาท ) ทางรีสอร์ทก็มีที่พัก อาหารให้ตามปกติ ไม่ได้กักขังให้ต้องทนทุกข์ทรมานแต่อย่างใด

ผู้จัดการรีสอร์ทชี้แจงแถลงไขด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยพอใจที่มีสถานทูตเข้ามายุ่มย่ามและบอกด้วยว่าหากหมอนวดไทยทั้งคู่นี้กล่าวอ้างว่าถูกหลอกก็ทำให้ทางรีสอร์ทต้องเสื่อมเสียและคงจะทำงานด้วยกันต่อไปลำบาก ก็ยินดีที่จะส่งกลับประเทศไทยแต่ขอให้ทั้งคู่ชำระหนี้ค่าเดินทางคืนให้ครบก่อน และโดยที่วีซ่าของหมอนวดทั้งสองคนมีอายุถึงวันที่ 5 ธันวาคม 2555 ก็อาจจะยังคงทำงานต่อไปเพื่อจะมีรายได้มาชำระหนี้และเป็นค่าเดินทางกลับเมืองไทย
เมื่อเรื่องกลับกลายเป็นแบบนี้ คนไทยไม่ได้ถูกหลอก ท่านสมพงษ์ฯ ก็ต้องหน้าแหกไปตามระเบียบ เลยต้องตีหน้าเศร้า สวมบทนักแสดงออดอ้อนผู้จัดการรีสอร์ทขอให้เมตตาหมอนวดไทยทั้งสองคนที่เป็นคนบ้านนอกไม่มีความรู้ ฐานะทางบ้านก็ยากจนต้องรับภาระดูแลครอบครัวอีกหลายปากหลายท้อง เป่าคาถามหาระรวยอยู่พักใหญ่ผู้จัดการก็เริ่มเสียงอ่อนรับจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยตามที่ขอ และจะจัดให้ทั้งคู่เดินทางออกจากมาเลเซียก่อนที่วีซ่าจะหมดอายุด้วย และโดยที่วีซ่าของหมอนวดทั้งสองคนมีอายุถึงวันที่ 5 ธันวาคม 2555 ก็จะให้ทั้งคู่ทำงานต่อไปเพื่อจะมีรายได้มาชำระหนี้และเป็นค่าเดินทางกลับเมืองไทย ท่านสมพงษ์ฯ เห็นว่าน่าจะเป็นข้อเสนอและเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเรื่องนี้ซึ่งหมอนวดทั้งคู่เองก็บอกว่ารับได้จึงจะว่าไปตามนั้น คือทำงานต่อไปจนถึงวันที่ 5 ธันวาคม 2555 เพื่อหารายได้เป็นค่าใช้จ่ายและใช้หนี้กับทางรีสอร์ท

ฟังแล้วก็ให้เหนื่อยแทนท่านสมพงษ์ฯ  ( รวมทั้งบรรดากงสุลทั้งหลายที่ประจำการอยู่ตามประเทศต่างๆ ด้วย ) ปัญหาหญิงไทยตกทุกข์ในมาเลเซียเป็นปัญหาซ้ำซากไม่มีแนวโน้มจะลดลงแต่อย่างใด ในเดือนตุลาคม 2555 มีคนไทยถูกจับกุม 129 คน เป็นหมอนวด 30 คน ทั้งหมดคิดอยู่อย่างเดียวว่า " จะได้เงินมากกว่าทำงานนวดในประเทศ ไทย " โดยไม่ได้ศึกษาทำความเข้าใจ ไม่คิดถึงความเสี่ยง ไม่มีข้อมูลของสถานที่ๆ จะไป บางคนแย่มากๆ ตรงที่ " รู้ทั้งรู้ " ก็ยังยอมเสี่ยง บางคน " เคยรับทราบถึงการเตือนภัย " ที่มีการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์กันมาตลอด แต่ก็ยังคิดแต่เพียงว่าตัวเองจะไม่โดนจับกุมหรือไม่ประสบกับตนเอง
ปัจจุบันมีหลายหน่วยงานโดยเฉพาะอย่างยิ่งตามต่างจังหวัดช่วยกันส่งเสริมอาชีพนวดแผนไทยเพื่อให้เป็นอาชีพเสริมในการหาเลี้ยงครอบครัว มักชอบยกตัวอย่างคนที่ไปทำงานนวดในต่างประเทศแล้วมีรายได้มาก ซึ่งเป็นการสร้างค่านิยมและให้ข้อมูลที่ผิดๆ กับประชาชน เพราะไม่เคยให้ข้อเท็จจริงว่าไปนวดอย่างไร สภาพชีวิตในต่างประเทศลำบากอย่างไร บางรายตัวเองเป็นหมอนวดอยู่แล้วและชักนำให้คนอื่นไปทำงานด้วยก็เพียงเพราะหวังจะได้ค่านายหน้าเท่านั้น เมื่อไปถึงแล้วพบว่ารายได้จากการนวดไม่ได้มากอย่างที่คิดไว้ บางคนทนไม่ได้ก็ต้องดิ้นรนกลับบ้านซึ่งก็เป็นการผิดสัญญาเพราะยังทำงานไม่ครบตามเวลาก็ต้องลำบากแก่สถานทูตออกหน้าไปเจรจาให้โดยที่ทำอะไรไม่ได้มากเพราะเราเป็นฝ่ายผิดสัญญาเอง มีหลายรายต้องจำใจยอมนวดแบบมีบริการเสริมพิเศษด้วย


เรื่องราวทำนองนี้มักจะเกิดขึ้นเสมอๆ สำหรับคนไทยที่ไปทำงานในต่างประเทศที่ไม่ได้ศึกษาหาข้อมูลให้ดีเสียก่อนที่จะเดินทางไป คิดเอาแต่จะได้ถ่ายเดียว ไม่เฉลียวใจฉุกคิดสักนิดว่าไปแล้วจะต้องเจออะไรบ้าง และไม่ยอมที่จะทำความเข้าใจว่า ขึ้นชื่อว่านายจ้าง ไม่ว่าจะเป็นชาติใดในโลกล้วนแต่เป็นคนที่คิดแต่เรื่องผลประโยชน์ทั้งสิ้น หวังแต่จะหาผลประโยชน์ทางธุรกิจกันทั้งนั้น อะไรที่เอาเปรียบได้ก็จะไม่รีรอที่จะทำ ถ้าไม่ได้ก็จะไม่ยอมเสีย อย่างเช่นกรณีนายจ้างรายนี้ที่ถือได้ว่าใจดีมากแล้วที่ยอมให้หมอนวดทั้งคู่อยู่ทำงานต่อไปได้แต่ก็เพื่อจะหารายได้มาชำระหนี้คืนให้เขาเท่านั้น เห็นมั๊ยว่านักธุรกิจเมื่อไม่ได้ก็ต้องไม่เสียด้วย

เรื่องนี้ก็ให้เห็นใจท่านสมพงษ์ฯ ที่ต้องทำทุกอย่าง เล่นทุกบทเพื่อจะช่วยเหลือคนไทยทุกคนเท่าที่จะทำได้ ไม่ว่าคนไทยนั้นจะอยู่ในสถานะใด ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายถูกหรือผิด ไม่ว่าจะไปกระทำหรือเป็นฝ่ายถูกกระทำ กงสุลก็ต้องพลิกบทบาทไปตามสถานการณ์เพื่อหาทางช่วยให้คนไทยพ้นจากการตกทุกข์ได้ยากในต่างประเทศให้ได้

ที่มา : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์
        : กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
          กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ
 




วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ลิเบียปะทะเดือด สถานทูตไทยโดนลูกหลง

สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงตริโปลี ประเทศลิเบีย รายงานด่วนเข้ามาว่า เมื่อวันที่ 19 พ.ย. 55 เวลาประมาณ 11.30 น. ขณะที่สถานทูตกำลังเปิดดำเนินการตามปกติและมีผู้มาติดต่อขอวีซ่าอยู่นั้น ได้มีหน่วยรบติดอาวุธสังกัดกระทรวงมหาดไทยของลิเบีย ประกอบด้วยทหารจากหน่วยรบพิเศษกว่า 30 นาย พร้อมรถกระบะติดตั้งปืนสำหรับต่อสู้อากาศยานประมาณ 10 คัน เข้าล้อมบ้านหลังหนึ่งซึ่งอยู่เยื้องกับอาคารที่ทำการสถานทูตห่างไปเพียงประมาณ 20 เมตร ซึ่งสืบทราบมาว่ามีกลุ่มกองกำลังติดอาวุธใช้เป็นที่ซ่องสุม

หลังจากโอ้โลม ปฏิโลมอยู่ประมาณ 10 นาทีเพื่อให้กลุ่มติดอาวุธยอมมอบตัว แต่ก็ไม่เป็นผล จึงเปิดฉากปะทะกันโดยการยิงใส่กันอย่างดุเดือดด้วยอาวุธสงครามล้วนๆ ทั้งปืนกล ปืนต่อสู้อากาศยาน และระเบิด อาร์พีจี เสียงปืนดังกึกก้องสนั่นหวั่นไหว เจ้าหน้าที่สถานทูตรวมทั้งชาวลิเบียที่มาติดต่องานต้องวิ่งหาที่หลบกระสุนกันจ้าละหวั่น

ยิงใส่กันแบบไม่ยั้งมือและไม่เสียดายกระสุนอยู่ประมาณ 10 นาที เหตุการณ์ก็ค่อยๆ คลี่คลายลง จนเวลาประมาณ 14.00 น. ทุกอย่างสงบลง หน่วยรบของรัฐบาลสามารถเข้ายึดบ้านพักดังกล่าวได้สำเร็จ พบว่าฝ่ายกองกำลังติดอาวุธเสียชีวิต 2 คน บาดเจ็บ 3 คน และถูกจับกุม 6 คน ซึ่งเป็นวัยรุ่น

หลังจากทุกอย่างสงบลง ข้าราชการและเจ้าหน้าที่รวมทั้งชาวลิเบียที่มาติดต่อสถานทูตก็ออกจากที่หลบซ่อน ปรากฏว่าทุกคนปลอดภัยดี รอดจากวิถีกระสุนมาได้ทุกคน แต่ก็ต้องขวัญหนีดีฝ่อกันถ้วนหน้า

พอคลายอาการอกสั่นขวัญแขวนกันไปบ้างแล้วก็จึงได้เริ่มสำรวจความเสียหายของตัวอาคารที่ทำการสถานทูต พบว่า ได้รับความเสียหายพอสมควร ถูกกระสุนลูกหลงที่กำแพงรั้วและตัวอาคาร รวมแล้วไม่ต่ำกว่า 20 นัด และที่น่าตกใจที่สุดคือกระสุน 2 นัด เจาะทะลุหน้าต่างเข้าไปที่ห้องทำงานของเจ้าหน้าที่และยังกระดอนไปถึงห้องน้ำด้วย เดชะบุญที่ไม่มีใครหลบอยู่ตรงจุดนั้น ไม่งั้นคงต้องเจ็บและอาจถึงตายได้เนื่องจากอาวุธที่ใช้มีอานุภาพทะลุทะลวงสูงมาก มาทราบภายหลังว่าที่อาคารสถานทูตโดนลูกหลงไปกว่า 20 นัด ก็เพราะฝ่ายรบพิเศษฝ่ายรัฐบาลใช้อาคารสถานทูตบางส่วนเป็นที่กำบังตัวจึงถูกพวกกลุ่มติดอาวุธยิงสวนมาโดนตัวอาคารดังกล่าว

อาคารสถานทูตโดนกระสุนลูกหลงไปขนาดนี้แต่ยังนับว่าโชคดี เพราะบ้านพักของชาวลิเบียที่อยู่ตรงข้ามกับสถานทูตได้รับความเสียหายอย่างหนักจากลูกระเบิดอาร์พีจีที่ตกใส่บ้านทำให้ตัวอาคารและรถยนต์ได้รับความเสียหาย อาร์พีจี เป็นระเบิดที่มีอำนาจทำลายล้างสูงถ้าเกิดหลงมาตกที่สถานทูตมีหวังต้องมีคนบาดเจ็บหรือเสียชีวิตแน่นอน

หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวสงบลงแล้ว ผู้บัญชาการหน่วยรบพิเศษได้เข้ามาพบกับท่านทูตเพื่อขอโทษขอโพยต่อการปราบปรามที่รุนแรงซึ่งถือเป็นเหตุสุดวิสัยเนื่องจากกองกำลังดังกล่าวมาซุ่มซ่อนตัวอยู่ใกล้สถานทูตไทยจึงต้องถูกลูกหลงไปบ้าง หลังจากเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงทางการเมืองในลิเบียเพื่อขับไล่พันเอกโมอัมมา กัดดาฟี แล้ว ลิเบียก็มีกลุ่มติดอาวุธที่ไม่ยอมวางอาวุธและเข้าร่วมกับฝ่ายรัฐบาลกระจายตัวอยู่ทั่วไปซึ่งรัฐบาลกำลังเอาจริงเอาจังกับการปราบปรามกลุ่มติดอาวุธเหล่านี้

การปราบปรามกลุ่มติดอาวุธในลิเบียนี้ เรียกได้ว่าเกิดขึ้นแทบทุกวัน จึงไม่มีอะไรจะรับประกันความปลอดภัยของผู้คนในประเทศนี้ได้ ยุทธวิธีที่ใช้ในการปราบปรามนั้นรุนแรง ไม่เป็นไปตามหลักสากล ไม่มีการบอกเตือนล่วงหน้า ไม่เน้นการเจรจา แต่จะใช้วิธียิงถล่มกันโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชน คราวนี้นับว่าเจ้าหน้าที่สถานทูตยังโชคดี แต่ไม่มีใครบอกได้ว่าจะต้องประสบกับเหตุการณ์เขย่าขวัญแบบนี้อีกเมื่อใด และจะเคราะห์ร้ายบาดเจ็บล้มตายหรือไม่ แต่จะอย่างไร เจ้าหน้าที่ก็ยังต้องปฏิบัติงานในประเทศลิเบียต่อไปเพื่อผลประโยชน์ของประเทศไทยเองเนื่องจากแม้ว่าลิเบียจะยังไม่สงบแต่ก็เป็นประเทศที่มีทรัพยากรโดยเฉพาะน้ำมันปริมาณมหาศาลและยังมีความต้องการทั้งสินค้าและการลงทุนด้านการบูรณะและพัฒนาประเทศอีกมาก จึงเป็นโอกาสที่ดีของไทยที่จะเข้าไปร่วมมือในการพัฒนาลิเบียในทุกด้าน

ที่ผ่านมา ไทยได้ประโยชน์จากการส่งแรงงานเข้าไปทำงานในลิเบียอย่างมาก บางช่วงเวลามีคนงานไทยทำงานอยู่นับหมื่นๆ คน และโดยที่ลิเบียเป็นประเทศที่มีแต่น้ำมันแต่แทบจะไม่ผลิตอะไรเองเลย จึงเป็นโอกาสที่ดียิ่งของภาคธุรกิจไทยในการที่จะนำเสนอสินค้าส่งออกไปยังลิเบีย ในส่วนของการพัฒนาและบูรณะประเทศนั้น ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จำเป็นอย่างมากสำหรับลิเบีย ทั้งโครงสร้างพื้นฐาน ถนนหนทาง อาคารบ้านเรือน ล้วนแต่เป็นโอกาสของไทยที่สามารถจะเข้าไปลงทุนหรือร่วมพัฒนาได้อีกมาก แต่หนทางก็คงไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ปัญหาเรื่องความปลอดภัยเป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวังอย่างมากถ้าคิดจะไปลิเบีย เพราะแม้ว่าคนไทยจะไม่ใช่เป้าหมาย แต่โอกาสที่จะเคราะห์ร้ายถูกลูกหลงก็มีอยู่สูงมากด้วยเช่นกัน

หน่วยรบติดอาวุธของรัฐบาลลิเบีย ยกกำลังปิดล้อมบ้านที่มีกลุ่มติดอาวุธซ่องสุมกันอยู่

หน่วยรบฯ กำลังบุกเข้าไปภายในบ้าน ฝ่ายกลุ่มติดอาวุธจึงยิงสวนออกมา จากนั้นทั้งสองฝ่ายก็เปิดฉากดวลกันสนั่นซอย
หลังจากเสียงปืนสงบลง เจ้าหน้าที่ได้สำรวจความเสียหายของตัวอาคารสถานทูต พบว่า
ตัวอาคารโดนกระสุนปืนเสียหายหลายจุด
มีกระสุนนัดหนึ่งเจาะทะลุเข้ามาทางหน้าต่างห้องทำงานเจ้าหน้าที่
กระสุนมีอำนาจทะลุทะลวงสูง แฉลบไปถูกส่วนที่กั้นเป็นห้องน้ำ
จุดที่นั่งรอสำหรับผู้มาติดต่อ โดนไป 3 นัด
ปลอกกระสุนทีเก็บได้
                             

ที่มา : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงตริโปลี
        : กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
          กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ

สถานทูตไทยช่วยเหยื่อค้ามนุษย์ที่ญี่ปุ่น


ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีการลักลอบขายบริการทางเพศและสร้างรายได้มหาศาลแก่ผู้ที่เกี่ยวข้อง จึงเกิดขบวนการส่งตัวผู้หญิงจากหลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทย ให้เข้าไปขายบริการ ซึ่งแม้ว่าสถิติจะลดลง แต่ก็ยังมีการจับกุม มีผู้ที่ยังตกเป็นเหยื่อปรากฏอยู่เสมอๆ และล่าสุดสถานทูตไทยในโตเกียวก็ได้ให้ความช่วยเหลือหญิงไทย 2 ราย ที่ต้องกลายเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์

จากข้อมูลที่ได้รับจากหญิงไทยทั้งสองราย พบว่า นายหน้าค้ามนุษย์จะให้ข้อมูลที่บิดเบือนเพื่อให้เหยื่อหลงเชื่อและตกลงในเดินทางมาค้าบริการในญี่ปุ่น กว่าจะรู้ตัวว่าถูกหลอกก็สายเกินไปแล้ว

นายหน้ามักจะอ้างว่าวีซ่าท่องเที่ยวสามารถทำงานได้อย่างถูกกฎหมาย ซึ่งในความจริงแล้ว ญี่ปุ่นไม่อนุญาตให้ผู้ถือวีซ่าท่องเที่ยวทำงาน หากตรวจพบจะถูกจับกุมทันที 

สิ่งที่นายหน้านำมาอ้างมากที่สุดเพื่อล่อลวงเหยื่อก็คือเรื่องของรายได้ โดยจะบอกเหยื่อว่าจะมีรายได้ประมาณ 100,000 บาทต่อเดือน แต่ในความเป็นจริงถ้าจะได้รับรายได้ขนาดนั้น จะต้องทำงานวันละไม่ต่ำกว่า 11 ชั่วโมงโดยไม่มีวันหยุด ซึ่งก็เป็นสิ่งผิดกฎหมายของญี่ปุ่นอีกเช่นกัน

บางครั้งนายหน้าจะยื่นข้อเสนอแก่เหยื่่อว่าจะยังไม่เก็บค่านายหน้าหรือค่าใช้จ่ายในการดำเนินการให้ไปญี่ปุ่น ให้เหยื่อค่อยๆ ผ่อนชำระเมื่อเดินทางไปทำงานในญี่ปุ่นได้แล้ว ซึ่งเหยื่อจะไม่ทราบเลยว่า ค่าใช้จ่ายดังกล่าวเป็นเงินจำนวนเท่าใด เหยื่อบางรายต้องชำระหนี้เป็นเงินสูงถึง 4-5 ล้านเยน (ประมาณ 1.6-2 ล้านบาท ) และที่แย่ที่สุดคือเหยื่อบางรายยังไม่เข้าในว่ามูลค่าของเงิน 4-5 ล้านเยนเท่ากับเงินบาทจำนวนเท่าใด

ค่าที่พักและอาหาร นายหน้าจะหลอกว่า นายจ้างจัดให้ฟรี แต่ในความจริงเหยื่อต้องจ่ายค่าที่พักและอาหารเองโดยหักจากรายได้ที่เหยื่อทำงานได้ และหากเงินได้น้อยก็จะยิ่งทำให้ระยะเวลาในการทำงานนานขึ้นนายจ้างบางรายตั้งข้อกำหนดว่าจะอนุญาตให้เหยื่อส่งเงินกลับประเทศไทยได้เมื่อทำรายได้อย่างต่ำ 100,000 เยน (ประมาณ 40,000 บาท) หากต้องการส่งเงินมากกว่านี้ก็ต้องทำงานมากกว่านี้
หนี้สินก็ไม่เคยลดลงเลย

นอกจากนี้ เจ้าของร้านหรือนายหน้ามักจะข่มขู่เหยื่อโดยการให้นายหน้าเดินทางไปที่บ้านของญาติของเหยื่อในประเทศไทยแล้วให้โทรศัพท์พูดคุยกันในเรื่องทั่วๆ ไป เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นว่าหากเหยื่อคิดหลบหนี ญาติพี่น้องในประเทศไทยจะถูกทำร้าย

สถานทูตฝากบอกด้วยว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจของญี่ปุ่นอยู่ในสภาวะถดถอย การทำมาหากินเป็นไปด้วยความยากลำบาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับแรงงานไร้่ฝีมือต่างชาติที่ไม่มีความรู้ภาษาญี่ปุ่น นอกจากนี้ งานบริการในร้านอาหารต่างๆ มักจะจ้างพนักงานแบบชั่วคราว ( part time ) ซึ่งไม่มีความจำเป็นต้องรับแรงงานต่างชาติเข้ามาทำงานประเภทนี้เนื่องจากคนญี่ปุ่นรุ่นใหม่ที่เพิ่งจบการศึกษานิยมทำงานเป็นช่วงเวลาแบบนี้เพราะไม่ต้องผูกมัด ส่วนแรงงานที่มีทักษะและแรงงานกึ่งฝีมือก็จะมีการกำนหดเงื่อนไขสำหรับแรงงานต่างชาติค่อนข้างเข้มงวดและตำแหน่งงานลักษณะนี้ก็มีไม่มากนัก ดังนั้นหากถูกชักชวนไปทำงานร้านอาหารที่ญี่ปุ่นก็ขอให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่่าท่านกำลังถูกหลอกให้ไปขายบริการแอบแฝง

ด้วยความปรารถนาดีจาก : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว

ไปเยอรมันระวังถูกล้วง

สถานกงสุลใหญ่ ณ นครแฟรงก์เฟิร์ต ประเทศเยอรมันนี ได้ประชาสัมพันธ์เตือนผู้ที่จะเดินทางเข้าไปประเทศเยอรมันนีให้ระวังแก๊งค์มิจฉาชีพซึ่งปัจจุบันกำลังอาละวาดอย่างหนัก

พวกมิจฉาชีพเหล่านี้มักจะหากินอยู่ตามเมืองใหญ่ที่มีคนพลุกพล่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามแหล่งท่องเที่ยวและแหล่งช็อปปิ้ง มักจะทำงานกันเป็นทีมตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป โดยมีเป้าหมายที่นักท่องเที่ยวจากเอเชียเนื่องจากมักจะพกเงินสดเป็นจำนวนมากและนักท่องเที่ยวจากเอเชียส่วนใหญ่เข้าใจว่าประเทศเยอรมันนีเป็นประเทศที่มีความปลอดภัยสูงจึงไม่ค่อยจะระวังตัวและทรัพย์สิน

สำหรับคนไทยเอง สถานกงสุลใหญ่แจ้งว่า นักท่องเที่ยวชาวไทยเป็นจำนวนมากก็ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพเหล่านี้เช่นกัน โดยจะถูกขโมยกระเป๋าถือ กระเป๋าตอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คหรือเป้ซึ่งภายในบรรจุสิ่งของมีค่าทั้งเงินและเอกสารสำคัญ เมื่อขโมยไปได้แล้วกระเป๋าจะถูกทิ้งไว้ เอาไปแต่ของมีค่า จึงมักจะมีพลเมืองดีนำกระเป๋าถือหรือกระเป๋าเงินส่งคืนผ่านหน่วยงานของเยอรมันเป็นระยะ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นกระเป๋าที่ส่วนใหญ่มีแต่เอกสาร เช่นพาสปอร์ตหรือบัตรประจำตัว ส่วนของมีค่าไม่มีเหลือแม้แต่ชิ้นเดียว

ในเรื่องนี้ ทางประเทศเยอรมันนีได้มีการจัดทำสถิติเมืองในเยอรมันนีที่มีคนถูกล้วงกระเป๋ามากที่สุดต่อจำนวนประชากรในปี ค.ศ. 2011 ซึ่งมีการเผยแพร่ในหนังสือพิมพ์ Die Welt ของเยอรมันนี ดังนี้
              อันดับ 1 เมืองดุสเซลดอร์ฟ ( Dusseldorf ) มีคนถูกล้วงกระเป๋า 26,888 ราย คิดเป็นจำนวน 4,539 รายต่อจำนวนประชากร 100,000 คน 
              อันดับ 2 เมือง โคโลญจน์ ( Koln ) มีคนถูกล้วงกระเป๋า 38,441 ราย คิดเป็นจำนวน 3,779 รายต่อจำนวนประชากร 100,000 คน  
              อันดับ 3 นครแฟรงก์เฟิร์ต ( Frankfurt ) มีคนถูกล้วงกระเป๋า 3,368 ราย คิดเป็นจำนวน 3,368 รายต่อจำนวนประชากร 100,000 คน

นอกจากนี้ กรุงเบอร์ลิน ( Berlin ) นครมิวนิก ( Munchen ) และนครฮัมบูร์ก ( Hamburg ) ยังติดอันดับ 1 ใน 10 เมืองอันตรายที่มีคนถูกล้วงกระเป๋าด้วยเช่นกัน

ที่มา : สถานกงสุลใหญ่ ณ นครแฟรงก์เฟิร์ต

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

อาชญากรรมระบาดหนัก ไปนอกต้องระวัง

ตามที่ได้มีการเตือนถึงภัยอันตรายที่มีต่อคนไทยในต่างประเทศในรูปแบบต่างๆ นั้น ภัยจากการตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมก็เป็นอีกประเภทหนึ่งที่คนไทยมีโอกาสต้องประสบพบเจอได้ง่ายๆ เวลาเดินทางไปต่างประเทศ คนไทยที่ต้องโชคร้ายเจอกับภัยลักษณะนี้ก็มีทั้งผู้ที่เดินทางไปท่องเที่ยว ไปทำงาน นักเรียนนักศึกษา ไม่เว้นแม้แต่นักการทูตที่ีมีเอกสิทธิ์ความคุ้มกันก็มิวายถูกปล้นถูกจี้กันเป็นประจำ บางครั้งถึงกับเกือบเอาชีวิตไม่รอดเพราะคนร้ายมีอาวุธพร้อมจะทำร้ายเหยื่อทุกเมื่อหากขัดขืน

อาชญากรรมที่เกิดขึ้นก็ไม่จำเป็นจะต้องเเกิดในประเทศด้อยพัฒนาหรือประเทศยากจนเสมอไป ในปัจจุบันนี้ต้องยอมรับว่า ในประเทศที่ได้ชื่อว่าเจริญแล้วกลับมีการประกอบอาชญากรรมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย ก็ล้วนมีอัตราการก่ออาชญากรรมที่เพิ่มขึ้นมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
คนไทยเราหลายคนที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศอาจเคยประสบกับเรื่องราวของการถูกลัก วิ่ง ชิง ปล้น กันมาบ้างแล้ว บางรายได้ทรัพย์สินคืนก็โชคดีไป บางรายโชคร้ายสูญเงินและทรัพย์สินทั้งหมด เอกสารก็หาย มีบ้างที่ถูกทำร้ายร่างกายเป็นของแถม

คนไทยคนล่าสุดที่ตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมเป็นนักธุรกิจที่เป็นตัวแทนองค์กรของรัฐเดินทางไปประชุมเกี่ยวกับมาตรฐานอุตสาหกรรมที่ประเทศหนึ่งในแถบอเมริกาใต้ร่วมกับผู้แทนจากหลายประเทศ ภายหลังการประชุมก็จะออกไปรับประทานอาหารกลางวันกับผู้ร่วมประชุมคนอื่นๆ จึงได้เก็บกระเป๋าและทรัพย์สินมีค่ารวมไว้ในห้องประชุมพร้อมกับคนอื่นๆ พอกลับมาปรากฎว่าของทั้งหมดสูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย
หาคนรับผิดชอบไม่ได้ นี่ขนาดในห้องประชุมในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในเมืองหลวงของประเทศ

นอกจากทรัพย์สินมีค่าแล้ว พาสปอร์ตก็หายไปด้วย หนุ่มไทยรายนี้จึงต้องแจ้งขอความช่วยเหลือจากสถานทูตซึ่งทางสถานทูตก็ได้จัดการเรื่องเอกสารเดินทางให้จนเรียบร้อยและเดินทางกลับประเทศไทยแล้ว ในเรื่องนี้ สถานทูตจึงฝากเตือนคนไทยทุกคนไม่ว่าจะเดินทางไปทำอะไรในประเทศแถบลาตินอเมริกา (อันที่จริงก็น่าจะเป็นทุกประเทศทั่วโลกนั่นแหละ) ให้ระวังตัวและทรัพย์สินมีค่าไว้ให้ดี ยิ่งเ็ป็นนักท่องเที่ยวที่ไม่พูดภาษาสเปนจะเป็นเป้าหมายอันโอชะของบรรดาอาชญากรที่จ้องจะเล่นงานกับคนต่างชาติกลุ่มนี้เป็นพิเศษ โอกาสที่จะต้องตกเป็นเหยื่ออาชญกรรมจึงสูงมาก

จะเดินทางไปต่างบ้านต่างเมือง ขอให้ระวังทรัพย์สินและถ้าจะให้ดีจดหมายเลขโทรศัพท์และที่อยู่ของสถานทูต/สถานกงสุลของไทยไว้ด้วย ยิ่งถ้าเป็นประเทศที่สถานการณ์เสี่ยงมากและไม่ค่อยมีคนไทยเดินทางไปหรือไม่ใช่เป็นประเทศสำหรับการท่องเที่ยวก็ขอให้แจ้งสถานทูต/สถานกงสุลทราบไว้ก่อนจะเป็นการดีที่สุด สำหรับหนังสือเดินทางหรือเอกสารสำคัญ ควรถ่ายสำเนาเอกสารและนำติดตัวไว้ตลอดเวลา เพราะเกิดเอกสารจริงสูญหายก็ยังมีสำเนาที่จะช่วยให้การดำเนินการต่างๆ เพื่อออกเอกสารให้ใหม่รวมทั้งการประสานงานกับทางการต่างประเทศเป็นเรื่องง่ายและรวดเร็วขึ้น

ที่มา : กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
          กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ
 



สถานทูตช่วยสตรีป่วยทางจิตกลับจากญี่ปุ่น


ในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา  สถานทูตไทยในประเทศญี่ปุ่นได้มอบหมายเจ้าหน้าที่กงสุลให้เดินทางโดยเครื่องบินตรงจากกรุงโตเกียวมายังท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ  เพื่อนำสตรีไทยวัยกลางคนรายหนึ่งซึ่งมีอาการป่วยทางจิตกลับมารักษาตัวที่ประเทศไทย       

เรื่องราวของหญิงผู้นี้เดิมสถานทูตก็ไม่ทราบรายละเอียดมากนัก  รู้แต่ว่า เธอเดินทางไปทำงานที่ญี่ปุ่นนานแล้ว  เคยแต่งงานอยู่กินกับสามีชาวญี่ปุ่นอย่างมีความสุขตามอัตภาพ ต่อมาชีวิตได้ผกผัน ถูกผู้ชายอีกคนหลอกลวงทรัพย์สินไปจนสิ้นเนื้อประดาตัว   ต้องไปอาศัยหลับนอนกับครอบครัวคนไทยรายอื่นอย่างน่าเวทนา  ระยะหลังเธอเริ่มเกิดความเครียดจนป่วยทางจิต  เรียกว่าถ้าอาการกำเริบก็เดือดร้อนกันไปหมด

เมื่อสถานทูตทราบเรื่องจึงได้พยายามช่วยเหลือด้วยการส่งสตรีผู้นี้ไปเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลซึ่งหมอในประเทศญี่ปุ่นก็ดีใจหาย ไม่คิดเงินแม้แต่บาทเดียว     จนเมื่ออาการทุเลาขึ้นก็ได้ปรึกษากันว่าควรส่งตัวเธอกลับประเทศไทย   แต่ปัญหาไม่ได้จบเพียง แค่นั้นเนื่องจากญาติของเธอที่เมืองไทยมีฐานะยากจน  บิดาเป็นคนพิการและมารดาเสียชีวิตไปนานแล้ว  ดังนั้นอย่าว่าแต่ช่วยรักษาพยาบาลเลย  แค่ให้ที่พักพิงเลี้ยงดูก็ไม่ใช่เรื่องง่าย  

งานนี้กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการได้เข้ามาช่วยเหลือและประสานงานกับหลายฝ่ายเพื่อแก้ปัญหาต่างๆ ให้สตรีรายนี้  จนกระทั่งสามารถส่งตัวกลับเมืองไทยได้สำเร็จ  นอกจากนี้ยังได้รับความอนุเคราะห์จากโรงพยาบาลจิตเวชสระแก้วราชนครินทร์รับตัวไปรักษาอาการต่อด้วย 

กรณีนี้ถือว่าเป็นภารกิจไม่ธรรมดาของสถานทูตที่นานๆ จะมีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นสักครั้ง  และเป็นความทุกข์ยากอีกแบบหนึ่งของคนไทยในต่างแดน   กรมการกงสุล จึงขอฝากเป็นข้อคิดเตือนใจว่า การไปอยู่ต่างประเทศใช่ว่าจะสุขสบายไปหมดทุกเรื่อง  ต้องวางแผนใช้ชีวิตด้วยความระมัดระวัง   ยิ่งถ้าไปอยู่อย่างผิดกฏหมาย  ไม่มีงานทำ ไม่มีเงินใช้ ก็ยิ่งเครียดอาจล้มป่วยหรือกระทั่งเป็นบ้าได้   คนที่เดือดร้อนก็หนีไม่พ้นญาติพี่น้องที่อยู่ทางเมืองไทยนั่นเอง  ...

ด้วยความปรารถนาดีจาก : กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
                                          กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ
                                          

เสนอห้ามแรงงานไทยไปทำงานนวดแผนไทยในซาราวัก มาเลเซีย


ตามที่ทางสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ได้รายงานข้อเท็จจริง รวมทั้งแสดงความกังวลเกี่ยวกับปัญหาการเดินทางไปทำงานที่ประเทศมาเลเซียของคนไทยที่มีแต่ปัญหามาตลอด โดยเฉพาะหญิงไทยที่เข้าไปทำงานประเภทนวดผ่อนคลายหรือนวดแผนโบราณอยู่ตามเมืองต่างๆ 

จากสถิติที่สถานทูตและสำนักงานแรงงานไทยในมาเลเซียรวบรวมไว้ พบว่า ในช่วงปี 2554-2555 มีแรงงานหญิงไทยที่ทำงานในตำแหน่งพนักงานนวดแผนไทยในรัฐซาราวัก ร้องทุกข์ขอความช่วยเหลือจำนวน 25 คน ซึ่งตัวเลขนี้เป็นคนงานที่ได้รับอนุญาตให้ทำงานภาคบริการในรัฐซาราวักอย่างถูกกฎหมาย ยังไม่นับแรงงานผิดกฎหมายที่ใช้ประโยชน์จากการยกเว้นวีซ่า 30 วัน ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก ( ได้มีการนำเสนอไปแล้วบ่อยครั้งใน blog นี้ ) โดยปัญหาที่พบ คือ นายจ้างจะให้สายนายหน้าเถื่อนแนะนำแรงงานจากประเทศไทยโดยแจ้งไปตามโรงเรียนสอนนวดแผนไทย เสนอจะให้เงินเดือนและรายได้ในอัตราสูง แต่พอเอาเข้าจริงจะมีการหักค่าใช้จ่ายทุกอย่าง ทั้งค่าเดินทาง ค่าทำใบอนุญาตทำงาน ฯลฯ โดยหักรายเดือนในอัตราที่สูงมาก ทั้งยังมีการยึดหนังสือเดินทางของคนงานและไม่อนุญาตให้คนงานออกไปนอกสถานที่เพราะกลัวคนงานจะหลบหนี

นอกจากนี้ สภาพการจ้างงานยังไม่มีความเหมาะสม ร้านนวดเป็นร้านขนาดเล็ก บ้างตั้งอยู่บนตึกแถว ไม่มีมาตรฐาน และที่เป็นปัญหาที่สุดคือร้านนวดเกือบทุกแห่งมักจะมีบริการแฝง ลูกค้าเองก็ยังมีทัศนคติที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการนวดแผนไทย หวังจะรับบริการเสริมด้วยจึงมักปรากฏบ่อยครั้งว่าลูกค้าลวนลามพนักงานนวดซึ่งนายจ้างก็ไม่ได้ให้การปกป้องคนงานแต่อย่างใดเพราะส่วนใหญ่นายจ้างมักชอบทำตัวเป็นพวกมาเฟียอันธพาล

จากข้อมูลที่ได้จากการรวบรวมจากหญิงไทยที่เข้าไปทำงานในรัฐซาราวัก ทราบว่า มีหญิงไทยจำนวนมากที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับการนวดแผนไทยอย่างแท้จริง หลายคนเข้าใจว่าการนวดแบบมีบริการเสริมพิเศษเป็นการนวดแผนไทยอย่างหนึ่งซึ่งพนักงานนวดจะได้เงินเพิ่มพิเศษด้วย จึงมุ่งแต่จะนวดแบบนั้นอย่างเดียวไม่ได้นวดแบบถูกต้องตามแผนไทย สิ่งเหล่านี้ทำให้การนวดแผนไทยเสื่อมเสียและพนักงานนวดถูกมองไปในทางเหยียดหยามไปด้วย

และจากข้อจำกัดด้านกฎหมายของรัฐซาราวักที่เข้มงวดและมีบทลงโทษที่รุนแรงต่อการกระทำผิดกฎหมายเข้าเมือง และสภาพของรัฐนี้ที่มีลักษณะเป็นเกาะห้างจากเมืองหลวงเดินทางไป-มาลำบาก สถานทูตจึงได้ร่วมมือกับสำนักงานแรงงานไทยในมาเลเซียเสนอให้กระทรวงแรงงานไทยพิจารณาไม่อนุญาตให้แรงงานไทยไปทำงานในตำแหน่งพนักงานนวดแผนไทยในรัฐซาราวักและออกคำเตือนให้ระมัดระวังกรณีมีผู้ชักชวนให้ไปทำงานในรัฐซาห์บาซึ่งอยู่ในเกาะบอร์เนียวเช่นกัน และในระหว่างนี้ สถานทูตได้ประสานกับตรวจคนเข้าเมืองของรัฐซาราวักให้ตรวจตราคนไทยที่เดินทางเข้าไปทำงานเป็นพนักงานนวดอย่างเคร่งครัด

เรื่องนี้อยากจะให้คนไทยโดยเฉพาะผู้หญิงไทยทั้งหลายที่ถูกแนะนำชักชวนให้ไปทำงานนวดในมาเลเซียให้ระวังให้ดี ให้ทราบไว้ด้วยว่าไม่มีคนไทยที่ไปทำงานนวดในมาเลเซียแล้วประสบความสำเร็จได้เก็บเงินกลับบ้านอย่างที่หวังเลยแม้แต่คนเดียว อย่างดีก็แค่เสมอตัว เสียทั้งตัวเสียทั้งเวลาไม่ได้อะไรกลับมาเป็นชิ้นเป็นอัน ขออย่าไปเพิ่มสถิติคนไทยตกทุกข์ได้ยากในประเทศมาเลเซียอีกเลย

ที่มา : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์
        : กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
          กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ






วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

คนไทยไม่กระทบจากแผ่นดินไหวในเมียนมาร์

จากการที่เกิดแผ่นดินไหวขึ้นในประเทศเมียนมาร์เมื่ีอวันที่ 11 พ.ย. 55 สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงย่างกุ้ง ได้รีบสำรวจความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับคนไทยและทรัพย์สินของคนไทยในประเทศเมียนมาร์ พบว่า ไม่มีคนไทยได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตแต่อย่างใด

แผ่นดินไหวดังกล่าวมีขนาด 6.8 ริกเตอร์ มีศูนย์กลางห่างจากเมืองชเวโบในรัฐสะกายประมาณ 72 กิโลเมตร และอยู่ห่างจากเมืองมันฑะเลย์ประมาณ 115 กิโลเมตร ศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ห่างจากเขตเศรษฐกิจและเขตชุมชน จึงยังไม่ได้รับรายงานความเสียหายแม้ว่าแรงสั่นสะเทือนจะรู็สึกได้ถึงเมืองมันฑะเลย์ก็ตาม

ในส่วนของคนไทย มีกลุ่มธุรกิจ SCG และสายการบินไทยแอร์เอเชีย เป็นกลุ่มธุรกิจเอกชนที่ดำเนินธุรกิจอยู่ในเมืองมันฑะเลย์ ซึ่งต่างก็แจ้งว่าไม่ได้รับความเสียหายใดๆ และไม่มีคนไทยหรือนักท่องเที่ยวไทยได้รับบาดเจ็บหรือได้รับผลกระทบแต่อย่างใด

ที่มา : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงย่างกุ้ง

วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ตูมสนั่นหน่วยทหารในการาจี ดับ 2 เจ็บ 14

สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองการาจี รายงานว่า เมื่อวันที่ 8 พ.ย. 55 เวลาประมาณ 07.00 น. ได้เกิดเหตุระเบิดรุนแรงขึ้นที่กองบัญชาการของหน่วยทหารพรานในเมืองการาจี ทำให้ทหารพรานเสียชีวิตทันที  2 นาย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 14 คน
จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่า ระเบิดมีน้ำหนักอย่างน้อย 100 กิโลกรัม บรรจุในรถกระบะขับผ่านประตูเข้าไปในบริเวณกองบัญชาการและผู้ขับรถจุดระเบิดโดยยอมสละชีพตัวเอง แรงระเบิดรุนแรงมากจนได้ยินไปไกลหลายกิโลเมตร อาหารของกองบัญชาการหลายหลังได้รับความเสียหายและเกิดเพลิงไหม้ รวมทั้งร้านค้าและบ้านเรือนบริเวณใกล้เคียง
ขณะนี้ ยังไม่ทราบสาเหตุของการก่อการร้ายและยังไม่มีกลุ่มใดออกมาประกาศความรับผิดชอบ
เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่มีคนไทยได้รับอันตรายจากระเบิดดังกล่าว

ที่มา : สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองการาจี

วันพุธที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ยาบ้าไทยระบาดไกลไปอิสราเอล

ท่านจักร บุญ-หลง เอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล แสดงความกังวลและห่วงใยต่อสภาพปัญหายาเสพติดที่กำลังแพร่ระบาดในหมู่คนไทยในประเทศอิสราเอล โดยมีคนไทยเป็นทั้งผู้ขายและผู้เสพ รวมทั้งลักลอบนำยาเสพติดเข้าไปในอิสราเอล และจากสถิติที่ผ่านมา มีคนไทยถูกตำรวจอิสราเอลจับกุมตัวในข้อหายาเสพติดแล้วหลายราย

ทางการอิสราเอลก็ให้ความสนใจกับปัญหานี้มาก โดยได้เคยเชิญกงสุลไทยไปให้ข้อมูลที่รัฐสภาของอิสราเอลเกี่ยวกับยาเสพติดโดยเฉพาะยาบ้า ส่วนสถานทูตเองก็ได้รับแจ้งจากคนไทยเองเป็นประจำว่าพบเห็นแรงงานไทยในนิคมเกษตรกรรมหลายแห่งมีการลักลอบจำหน่ายยาบ้ากันมาก นอกจากนี้ ที่ผ่านมามีคนไทยหลายคนถูกตำรวจอิสราเอลจับกุมดำเนินคดีเนื่องจากไปแสดงตนรับพัสดุไปรษณีย์ที่ส่งไปจากประเทศไทยในชื่อของตนหรือชื่อเพื่อนคนงานที่เดินทางกลับประเทศไทยแล้ว ซึ่งแม้จะอ้างว่าไม่รู้เรื่องไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่ตำรวจอิสราเอลไม่เชื่อ โดยมั่นใจว่าต้องมีการทำกันเป็นกระบวนการ สถานทูตเองก็ทราบว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจและศุลกากรของไทยที่สนามบินสุวรรณภูมิสามารถจับกุมผู้ลักลอบขนยาบ้าเตรียมเดินทางไปยังอิสราเอลได้หลายครั้งแล้ว

นอกจากนี้ ยังพบว่า คนงานไทยหลายรายเสพยาบ้าจนมีอาการทางประสาท ต้องใช้ยาระงับประสาทเป็นประจำ และจากสถิติการออกมรณบัตรให้แก่คนไทยที่เสียชีวิตในประเทศอิสราเอลของแผนกกงสุลของสถานทูต ในปี พ.ศ. 2554 พบว่ามีแรงงานไทยเสียชีวิตจำนวน 27 ราย ในจำนวนนี้เสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุ (ไหลตาย) 17 ราย ส่วนปี พ.ศ. 2555 (นับถึงเดือน ก.ย. 55 ) มีผู้เสียชีวิตแล้ว 21 ราย และเสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุ 17 ราย เข้าใจว่าผู้เสียชีวิตบางรายอาจเกิดจากการทำงานหนัก ร่างกายอ่อนเพลีย มีความเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ และบางรายอาจใช้ยาเสพติดด้วย

ท่านทูตเป็นห่วงว่า ปัญหายาเสพติดที่แพร่ระบาดอยู่ในอิสราเอล กำลังเป็นปัญหาทางสังคมและประเด็นทางกฎหมายมากขึ้น จำเป็นเร่งหามาตรการแก้ปัญหาโดยด่วนก่อนที่จะลุกลามไปมากกว่านี้ ขณะนี้ได้แจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบถึงสภาพปัญหาดังกล่าวแล้ว และคงจะมีการ่วมกันดำเนินการเพื่อแก้ปัญหา ไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและสวัสดิภาพของแรงงานไทยต่อไป


ด้วยความปรารถนาดีจาก : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ

การให้ความช่วยเหลือคนไทยตกทุกข์ได้ยากในประเทศบาห์เรนของสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมานามา ประจำปี พ.ศ.2555

ตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2555 จนถึงปัจจุบัน ( ณ สิ้นเดือนกันยายน 2555 สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมานามา ประเทศบาห์เรน ได้ให้ความช่วยเหลือคนไทยในบาห์เรนในรูปแบบต่างๆ ดังนี้
1. เยี่ยมผู้ต้องขังชายและหญิงไทย จำนวน 36 ครั้ง
2. เยี่ยมผู้ป่วยคนไทย จำนวน 56 ครั้ง
3. ช่วยเหลือหญิงไทยที่พ้นโทษในการส่งตัวกลับประเทศไทย จำนวน 92 ราย
4. ช่วยเหลือหญิงไทยที่สมรสกับชาวบาห์เรนในเรื่องการขอวีซ่าบาห์เรน จำนวน 3 ครอบครัว
5. ช่วยเหลือหญิงไทยเรื่องหนังสือเิดินทางไทยสูญหาย จำนวน 5 ราย
6. ช่วยไกล่เกลี่ยเจรจาปัญหาความขัดแย้งในครอบครัวระหว่างหญิงไทย-ชายบาห์เรน จำนวน 3 ครอบครัว
7. ช่วยเหลือหญิงไทยในการมอบตัวกับทางการตำรวจบาห์เราเพื่อส่งตัวกลับประเทศไทย จำนวน 11 ราย
8. ช่วยเหลือหญิงไทยในการติดต่อกรมสัญชาติ หนังสือเดินทาง และการมีถิ่นพำนัก (ตม.) กระทรวงมหาดไทยแห่งราชอาณาจักรบาห์เรนเพื่อส่งตัวกลับประเทศไทย จำนวน 25 ราย
9. ช่วยเหลือหญิงไทยจากการค้าประเวณีและส่งตัวกลับประเทศไทย จำนวน 25 ราย
10. เรียกร้องติดตามเงินพึงได้ของลูกจ้าง/คนงาน/แรงงานไทยจากบริษัทนายจ้างชาวบาห์เรน-คนไทย อาทิ วันหยุด และเงินสิทธิประโยชน์ จำนวน 97 ราย คิดเป็นเงินรวม 1,300,000 บาท
11. กิจกรรมโครงการกงสุลสัญจรสำหรับชุมชนชาวไทยในบาห์เรนกว่า 500 คน จำนวน 15 ครั้ง
12. สนับสนุนกิจกรรมโครงการกีฬาฟุตบอลสามัคคี
13. สนับสนุนกิจกรรมโครงการโรงเรียน ก. ไก่

ที่มา : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมานามา

วันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

สาวไทยโดดตึกหนีหนุ่มสวิสหื่น

เมื่อวันที่ 21 ต.ค. 55 เจ้าหน้าที่สถานทูตไทยที่กรุงเบิร์น ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ พร้อมทั้งเจ้าหน้าที่ของศูนย์ให้คำปรึกษาแก่สตรีต่างชาติในสวิสเซอร์แลนด์ที่ถูกเอารัดเอาเปรียบและถูกใช้กำลังจากบุคคลใกล้ตัว ได้เดินทางไปเยี่ยมอาการของหญิงไทยรายหนึ่งที่โรงพยาบาลในเมือง Baden รัฐ Argau ซึ่งรักษาตัวมาตั้งแต่เดือนกันยายน โดยเธอได้รับบาดเจ็บที่ปอดและข้อมือจากการกระโดดตึก 2 ชั้น เพื่อหนีเพื่อนชายชาวสวิสที่ข่มขู่หวังเคลมสวาท

หญิงไทยรายนี้เล่าให้เจ้าหน้าที่ฟังว่า เดินทางไปท่องเที่ยวและดูงานที่ประเทศในยุโรป ช่วงที่อยู่ในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ได้พักอยู่กับเพื่อนชายชาวสวิสที่รู้จักกันจากการพูดคุยผ่านเว็บไซต์หาเพื่อน ต่อมาไอ้หนุ่มสวิสออกอาการหื่น พยายามข่มขู่เธอเพื่อหวังจะมีสัมพันธ์ทางเพศด้วย เธอไม่ยอมจึงได้กระโดดหนีออกมาจากห้องพัก (ที่ตั้งอยู่ชั้นสอง) จนได้รับบาดเจ็บดังกล่าว

ปัจจุบันนี้ อาการของเธอดีขึ้นมากและได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว และระหว่างรอการดำเนินการจากรัฐบาลและหน่วยงานของสวิส สถานทูตพาเธอไปพักฟื้นยังบ้านพักเยาวชนซึ่งมีความสะดวกสบายและมีค่าใช้จ่ายไม่สูงนัก เธอจึงสามารถพักฟื้นร่างกาย ทำกายภาพบำบัด และระรับการช่วยเหลือจากหน่วยงานของสวิสรวมทั้งรอเดินทางกลับประเทศไทย

เธอได้ฝากขอบคุณสถานทูตและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องที่ให้ความช่วยเหลือเธอมาตลอด แม้ว่าการดำเนินการเพื่อเอาผิดกับหนุ่มหื่นรายนี้จะเป็นไปได้ยากและทางการสวิสก็มีข้อจำกัดมากมาย แต่เธอก็ยังรู้สึกดีที่ได้รับการเอาใจใส่และดูแลอย่างดี

เรื่องราวของหญิงไทยรายนี้ทำให้นึกถึงคำที่ว่า รู้หน้า ไม่รู้ใจ คนเรานั้นบางที่รู้จักกันมาตั้งนานก็ยังไม่รู้ถึงความคิดของเขาว่าคิดดีคิดร้ายกับเราอย่างไร แต่รายนี้ แค่รู้จักกันผ่านอินเตอร์เน็ต ไม่เคยเจอตัวจริง เสียงจริง ยังกล้าเสี่ยงไปพักค้างอ้างแรมกับเขาอีก คงต้องจำไว้เป็นบทเรียนราคาแพงไปอีกนานแสนนาน    

ด้วยความปรารถนาดีจาก : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเบิร์น
                                        : กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
                                          กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ