วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

2 หมอนวดไทยถูกส่งไปปล่อยเกาะที่มาเลเซีย

ส่งข่าวมาอีกครั้ง สำหรับท่านสมพงษ์ กางทอง อัครราชทูตที่ปรึกษา สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย คราวนี้ท่านสมพงษ์ฯ แจ้งมาว่าเมื่อวันที่ 19 พ.ย. 55 ได้รับโทรศัพท์จากหญิงไทยรายหนึ่งบอกว่า ตนและเพื่อนอีกคนหนึ่งถูกหลอกไปทำงานนวดอยู่ที่รีสอร์ทที่ตั้งอยู่บนเกาะแห่งหนึ่งในมาเลเซีย ไม่สามารถออกมาจากเกาะนี้ได้ และไม่รู้ว่าเกาะนี้ชื่ออะไร อยู่ที่ส่วนไหนของมาเลเซีย ( นี่แหละคนไทย ใครพาไปไหนก็ไป ไม่มีความรู้อะไรเลยเกี่ยวกับประเทศหรือที่ๆ ตัวจะไป )

เจอเข้าไปแบบนี้ ท่านสมพงษ์ฯ ถึงกับอึ้งไปหลายนาที ประเทศมาเลเซียก็กว้างใหญ่ไพศาล มีเกาะมากมายเป็นพันๆ เกาะ แล้วจะไปตามหาได้ที่ไหน ก็เลยต้องเล่นบทนักสืบ 007 ใช้วิธีให้เธอค่อยๆ นึกว่าเธอเดินทางจากเมืองไทยไปถึงเกาะนั่นได้อย่างไร จำชื่ออะไรได้บ้าง และรีสอร์ทที่ทำงานอยู่ชื่ออะไร จนในที่สุดก็ได้ความว่า เธอและเพื่อนอยู่ที่รีสอร์ทบนเ้กาะ Pom Pom ในเขตทะเล Celebes รัฐซาบาห์ ติดกับเขตแดนประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเกาะนี้นักธุรกิจชาวมาเลย์ได้รับสัมปทานสร้างรีสอร์ทหรูขึ้นเพียงแห่งเดียว บนเกาะไม่มีบ้านเรือนผู้คน ไม่มีอาคารร้านรวงอื่นๆ ทั้งสิ้น ผู้ที่จะเข้าไปที่เกาะนี้คือนักท่องเที่ยวที่ซื้อทัวร์โดยจะมีรถไปรับถึงสนามบินเมืองดาเวาเพื่อมาลงเรือของรีสอร์ท ไม่มีเรืออื่นและไม่มีใครอื่นจะเดินทางเข้า-ออกเกาะแห่งนี้ได้ ถ้าไม่ได้รับอนุญาต


พอทราบพิกัดที่ตั้งของรีสอร์ทที่มีคนไทยอ้างว่าถูกหลอกไปปล่อยไว้แล้ว ท่านสมพงษ์ฯ ก็ไม่รอช้าโทรศัพท์หาผู้จัดการรีสอร์ทแห่งนั้นทันทีเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าเรื่องราวเป็นยังไงกันแน่  ซึ่งทางผู้จัดการก็ยืนยันว่าไม่ได้หลอกลวงหมดนวดไทยทั้ง 2 รายแต่อย่างใดเลย ทางรีสอร์ทได้รับการแนะนำจากร้านนวดแห่งหนึ่งในจังหวัดภูเก็ตว่ามีหมดนวดไทย 2 คน มีประสบการณ์เคยนวดที่ประเทศเกาหลีใต้มาก่อนสนใจจะทำงานนวดในประเทศมาเลเซีย ทางรีสอร์ทจึงเสนอเงินเดือนให้ขั้นต้น 1,000 ริงกิต (ประมาณ 10,000 บาท ) และค่าส่วนแบ่งจากการนวดอีก 10 % และยังได้บอกให้ทราบก่อนแล้วว่ารีสอร์ทตั้งอยู่ห่างไกลจากกัวลาลัมเปอร์และอยู่บนเกาะ หมอนวดไทยทั้ง 2 คน ก็ยังสนใจและตกลงจะเดินทางไปทำงาน ทางรีสอร์ทจึงออกค่าใช้จ่ายในการเดินทางให้ก่อนคนละประมาณ 3,000 ริงกิต (ประมาณ 30,000 บาท ) ทางรีสอร์ทก็มีที่พัก อาหารให้ตามปกติ ไม่ได้กักขังให้ต้องทนทุกข์ทรมานแต่อย่างใด

ผู้จัดการรีสอร์ทชี้แจงแถลงไขด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยพอใจที่มีสถานทูตเข้ามายุ่มย่ามและบอกด้วยว่าหากหมอนวดไทยทั้งคู่นี้กล่าวอ้างว่าถูกหลอกก็ทำให้ทางรีสอร์ทต้องเสื่อมเสียและคงจะทำงานด้วยกันต่อไปลำบาก ก็ยินดีที่จะส่งกลับประเทศไทยแต่ขอให้ทั้งคู่ชำระหนี้ค่าเดินทางคืนให้ครบก่อน และโดยที่วีซ่าของหมอนวดทั้งสองคนมีอายุถึงวันที่ 5 ธันวาคม 2555 ก็อาจจะยังคงทำงานต่อไปเพื่อจะมีรายได้มาชำระหนี้และเป็นค่าเดินทางกลับเมืองไทย
เมื่อเรื่องกลับกลายเป็นแบบนี้ คนไทยไม่ได้ถูกหลอก ท่านสมพงษ์ฯ ก็ต้องหน้าแหกไปตามระเบียบ เลยต้องตีหน้าเศร้า สวมบทนักแสดงออดอ้อนผู้จัดการรีสอร์ทขอให้เมตตาหมอนวดไทยทั้งสองคนที่เป็นคนบ้านนอกไม่มีความรู้ ฐานะทางบ้านก็ยากจนต้องรับภาระดูแลครอบครัวอีกหลายปากหลายท้อง เป่าคาถามหาระรวยอยู่พักใหญ่ผู้จัดการก็เริ่มเสียงอ่อนรับจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยตามที่ขอ และจะจัดให้ทั้งคู่เดินทางออกจากมาเลเซียก่อนที่วีซ่าจะหมดอายุด้วย และโดยที่วีซ่าของหมอนวดทั้งสองคนมีอายุถึงวันที่ 5 ธันวาคม 2555 ก็จะให้ทั้งคู่ทำงานต่อไปเพื่อจะมีรายได้มาชำระหนี้และเป็นค่าเดินทางกลับเมืองไทย ท่านสมพงษ์ฯ เห็นว่าน่าจะเป็นข้อเสนอและเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเรื่องนี้ซึ่งหมอนวดทั้งคู่เองก็บอกว่ารับได้จึงจะว่าไปตามนั้น คือทำงานต่อไปจนถึงวันที่ 5 ธันวาคม 2555 เพื่อหารายได้เป็นค่าใช้จ่ายและใช้หนี้กับทางรีสอร์ท

ฟังแล้วก็ให้เหนื่อยแทนท่านสมพงษ์ฯ  ( รวมทั้งบรรดากงสุลทั้งหลายที่ประจำการอยู่ตามประเทศต่างๆ ด้วย ) ปัญหาหญิงไทยตกทุกข์ในมาเลเซียเป็นปัญหาซ้ำซากไม่มีแนวโน้มจะลดลงแต่อย่างใด ในเดือนตุลาคม 2555 มีคนไทยถูกจับกุม 129 คน เป็นหมอนวด 30 คน ทั้งหมดคิดอยู่อย่างเดียวว่า " จะได้เงินมากกว่าทำงานนวดในประเทศ ไทย " โดยไม่ได้ศึกษาทำความเข้าใจ ไม่คิดถึงความเสี่ยง ไม่มีข้อมูลของสถานที่ๆ จะไป บางคนแย่มากๆ ตรงที่ " รู้ทั้งรู้ " ก็ยังยอมเสี่ยง บางคน " เคยรับทราบถึงการเตือนภัย " ที่มีการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์กันมาตลอด แต่ก็ยังคิดแต่เพียงว่าตัวเองจะไม่โดนจับกุมหรือไม่ประสบกับตนเอง
ปัจจุบันมีหลายหน่วยงานโดยเฉพาะอย่างยิ่งตามต่างจังหวัดช่วยกันส่งเสริมอาชีพนวดแผนไทยเพื่อให้เป็นอาชีพเสริมในการหาเลี้ยงครอบครัว มักชอบยกตัวอย่างคนที่ไปทำงานนวดในต่างประเทศแล้วมีรายได้มาก ซึ่งเป็นการสร้างค่านิยมและให้ข้อมูลที่ผิดๆ กับประชาชน เพราะไม่เคยให้ข้อเท็จจริงว่าไปนวดอย่างไร สภาพชีวิตในต่างประเทศลำบากอย่างไร บางรายตัวเองเป็นหมอนวดอยู่แล้วและชักนำให้คนอื่นไปทำงานด้วยก็เพียงเพราะหวังจะได้ค่านายหน้าเท่านั้น เมื่อไปถึงแล้วพบว่ารายได้จากการนวดไม่ได้มากอย่างที่คิดไว้ บางคนทนไม่ได้ก็ต้องดิ้นรนกลับบ้านซึ่งก็เป็นการผิดสัญญาเพราะยังทำงานไม่ครบตามเวลาก็ต้องลำบากแก่สถานทูตออกหน้าไปเจรจาให้โดยที่ทำอะไรไม่ได้มากเพราะเราเป็นฝ่ายผิดสัญญาเอง มีหลายรายต้องจำใจยอมนวดแบบมีบริการเสริมพิเศษด้วย


เรื่องราวทำนองนี้มักจะเกิดขึ้นเสมอๆ สำหรับคนไทยที่ไปทำงานในต่างประเทศที่ไม่ได้ศึกษาหาข้อมูลให้ดีเสียก่อนที่จะเดินทางไป คิดเอาแต่จะได้ถ่ายเดียว ไม่เฉลียวใจฉุกคิดสักนิดว่าไปแล้วจะต้องเจออะไรบ้าง และไม่ยอมที่จะทำความเข้าใจว่า ขึ้นชื่อว่านายจ้าง ไม่ว่าจะเป็นชาติใดในโลกล้วนแต่เป็นคนที่คิดแต่เรื่องผลประโยชน์ทั้งสิ้น หวังแต่จะหาผลประโยชน์ทางธุรกิจกันทั้งนั้น อะไรที่เอาเปรียบได้ก็จะไม่รีรอที่จะทำ ถ้าไม่ได้ก็จะไม่ยอมเสีย อย่างเช่นกรณีนายจ้างรายนี้ที่ถือได้ว่าใจดีมากแล้วที่ยอมให้หมอนวดทั้งคู่อยู่ทำงานต่อไปได้แต่ก็เพื่อจะหารายได้มาชำระหนี้คืนให้เขาเท่านั้น เห็นมั๊ยว่านักธุรกิจเมื่อไม่ได้ก็ต้องไม่เสียด้วย

เรื่องนี้ก็ให้เห็นใจท่านสมพงษ์ฯ ที่ต้องทำทุกอย่าง เล่นทุกบทเพื่อจะช่วยเหลือคนไทยทุกคนเท่าที่จะทำได้ ไม่ว่าคนไทยนั้นจะอยู่ในสถานะใด ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายถูกหรือผิด ไม่ว่าจะไปกระทำหรือเป็นฝ่ายถูกกระทำ กงสุลก็ต้องพลิกบทบาทไปตามสถานการณ์เพื่อหาทางช่วยให้คนไทยพ้นจากการตกทุกข์ได้ยากในต่างประเทศให้ได้

ที่มา : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์
        : กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
          กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ
 




วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ลิเบียปะทะเดือด สถานทูตไทยโดนลูกหลง

สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงตริโปลี ประเทศลิเบีย รายงานด่วนเข้ามาว่า เมื่อวันที่ 19 พ.ย. 55 เวลาประมาณ 11.30 น. ขณะที่สถานทูตกำลังเปิดดำเนินการตามปกติและมีผู้มาติดต่อขอวีซ่าอยู่นั้น ได้มีหน่วยรบติดอาวุธสังกัดกระทรวงมหาดไทยของลิเบีย ประกอบด้วยทหารจากหน่วยรบพิเศษกว่า 30 นาย พร้อมรถกระบะติดตั้งปืนสำหรับต่อสู้อากาศยานประมาณ 10 คัน เข้าล้อมบ้านหลังหนึ่งซึ่งอยู่เยื้องกับอาคารที่ทำการสถานทูตห่างไปเพียงประมาณ 20 เมตร ซึ่งสืบทราบมาว่ามีกลุ่มกองกำลังติดอาวุธใช้เป็นที่ซ่องสุม

หลังจากโอ้โลม ปฏิโลมอยู่ประมาณ 10 นาทีเพื่อให้กลุ่มติดอาวุธยอมมอบตัว แต่ก็ไม่เป็นผล จึงเปิดฉากปะทะกันโดยการยิงใส่กันอย่างดุเดือดด้วยอาวุธสงครามล้วนๆ ทั้งปืนกล ปืนต่อสู้อากาศยาน และระเบิด อาร์พีจี เสียงปืนดังกึกก้องสนั่นหวั่นไหว เจ้าหน้าที่สถานทูตรวมทั้งชาวลิเบียที่มาติดต่องานต้องวิ่งหาที่หลบกระสุนกันจ้าละหวั่น

ยิงใส่กันแบบไม่ยั้งมือและไม่เสียดายกระสุนอยู่ประมาณ 10 นาที เหตุการณ์ก็ค่อยๆ คลี่คลายลง จนเวลาประมาณ 14.00 น. ทุกอย่างสงบลง หน่วยรบของรัฐบาลสามารถเข้ายึดบ้านพักดังกล่าวได้สำเร็จ พบว่าฝ่ายกองกำลังติดอาวุธเสียชีวิต 2 คน บาดเจ็บ 3 คน และถูกจับกุม 6 คน ซึ่งเป็นวัยรุ่น

หลังจากทุกอย่างสงบลง ข้าราชการและเจ้าหน้าที่รวมทั้งชาวลิเบียที่มาติดต่อสถานทูตก็ออกจากที่หลบซ่อน ปรากฏว่าทุกคนปลอดภัยดี รอดจากวิถีกระสุนมาได้ทุกคน แต่ก็ต้องขวัญหนีดีฝ่อกันถ้วนหน้า

พอคลายอาการอกสั่นขวัญแขวนกันไปบ้างแล้วก็จึงได้เริ่มสำรวจความเสียหายของตัวอาคารที่ทำการสถานทูต พบว่า ได้รับความเสียหายพอสมควร ถูกกระสุนลูกหลงที่กำแพงรั้วและตัวอาคาร รวมแล้วไม่ต่ำกว่า 20 นัด และที่น่าตกใจที่สุดคือกระสุน 2 นัด เจาะทะลุหน้าต่างเข้าไปที่ห้องทำงานของเจ้าหน้าที่และยังกระดอนไปถึงห้องน้ำด้วย เดชะบุญที่ไม่มีใครหลบอยู่ตรงจุดนั้น ไม่งั้นคงต้องเจ็บและอาจถึงตายได้เนื่องจากอาวุธที่ใช้มีอานุภาพทะลุทะลวงสูงมาก มาทราบภายหลังว่าที่อาคารสถานทูตโดนลูกหลงไปกว่า 20 นัด ก็เพราะฝ่ายรบพิเศษฝ่ายรัฐบาลใช้อาคารสถานทูตบางส่วนเป็นที่กำบังตัวจึงถูกพวกกลุ่มติดอาวุธยิงสวนมาโดนตัวอาคารดังกล่าว

อาคารสถานทูตโดนกระสุนลูกหลงไปขนาดนี้แต่ยังนับว่าโชคดี เพราะบ้านพักของชาวลิเบียที่อยู่ตรงข้ามกับสถานทูตได้รับความเสียหายอย่างหนักจากลูกระเบิดอาร์พีจีที่ตกใส่บ้านทำให้ตัวอาคารและรถยนต์ได้รับความเสียหาย อาร์พีจี เป็นระเบิดที่มีอำนาจทำลายล้างสูงถ้าเกิดหลงมาตกที่สถานทูตมีหวังต้องมีคนบาดเจ็บหรือเสียชีวิตแน่นอน

หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวสงบลงแล้ว ผู้บัญชาการหน่วยรบพิเศษได้เข้ามาพบกับท่านทูตเพื่อขอโทษขอโพยต่อการปราบปรามที่รุนแรงซึ่งถือเป็นเหตุสุดวิสัยเนื่องจากกองกำลังดังกล่าวมาซุ่มซ่อนตัวอยู่ใกล้สถานทูตไทยจึงต้องถูกลูกหลงไปบ้าง หลังจากเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงทางการเมืองในลิเบียเพื่อขับไล่พันเอกโมอัมมา กัดดาฟี แล้ว ลิเบียก็มีกลุ่มติดอาวุธที่ไม่ยอมวางอาวุธและเข้าร่วมกับฝ่ายรัฐบาลกระจายตัวอยู่ทั่วไปซึ่งรัฐบาลกำลังเอาจริงเอาจังกับการปราบปรามกลุ่มติดอาวุธเหล่านี้

การปราบปรามกลุ่มติดอาวุธในลิเบียนี้ เรียกได้ว่าเกิดขึ้นแทบทุกวัน จึงไม่มีอะไรจะรับประกันความปลอดภัยของผู้คนในประเทศนี้ได้ ยุทธวิธีที่ใช้ในการปราบปรามนั้นรุนแรง ไม่เป็นไปตามหลักสากล ไม่มีการบอกเตือนล่วงหน้า ไม่เน้นการเจรจา แต่จะใช้วิธียิงถล่มกันโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชน คราวนี้นับว่าเจ้าหน้าที่สถานทูตยังโชคดี แต่ไม่มีใครบอกได้ว่าจะต้องประสบกับเหตุการณ์เขย่าขวัญแบบนี้อีกเมื่อใด และจะเคราะห์ร้ายบาดเจ็บล้มตายหรือไม่ แต่จะอย่างไร เจ้าหน้าที่ก็ยังต้องปฏิบัติงานในประเทศลิเบียต่อไปเพื่อผลประโยชน์ของประเทศไทยเองเนื่องจากแม้ว่าลิเบียจะยังไม่สงบแต่ก็เป็นประเทศที่มีทรัพยากรโดยเฉพาะน้ำมันปริมาณมหาศาลและยังมีความต้องการทั้งสินค้าและการลงทุนด้านการบูรณะและพัฒนาประเทศอีกมาก จึงเป็นโอกาสที่ดีของไทยที่จะเข้าไปร่วมมือในการพัฒนาลิเบียในทุกด้าน

ที่ผ่านมา ไทยได้ประโยชน์จากการส่งแรงงานเข้าไปทำงานในลิเบียอย่างมาก บางช่วงเวลามีคนงานไทยทำงานอยู่นับหมื่นๆ คน และโดยที่ลิเบียเป็นประเทศที่มีแต่น้ำมันแต่แทบจะไม่ผลิตอะไรเองเลย จึงเป็นโอกาสที่ดียิ่งของภาคธุรกิจไทยในการที่จะนำเสนอสินค้าส่งออกไปยังลิเบีย ในส่วนของการพัฒนาและบูรณะประเทศนั้น ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จำเป็นอย่างมากสำหรับลิเบีย ทั้งโครงสร้างพื้นฐาน ถนนหนทาง อาคารบ้านเรือน ล้วนแต่เป็นโอกาสของไทยที่สามารถจะเข้าไปลงทุนหรือร่วมพัฒนาได้อีกมาก แต่หนทางก็คงไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ปัญหาเรื่องความปลอดภัยเป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวังอย่างมากถ้าคิดจะไปลิเบีย เพราะแม้ว่าคนไทยจะไม่ใช่เป้าหมาย แต่โอกาสที่จะเคราะห์ร้ายถูกลูกหลงก็มีอยู่สูงมากด้วยเช่นกัน

หน่วยรบติดอาวุธของรัฐบาลลิเบีย ยกกำลังปิดล้อมบ้านที่มีกลุ่มติดอาวุธซ่องสุมกันอยู่

หน่วยรบฯ กำลังบุกเข้าไปภายในบ้าน ฝ่ายกลุ่มติดอาวุธจึงยิงสวนออกมา จากนั้นทั้งสองฝ่ายก็เปิดฉากดวลกันสนั่นซอย
หลังจากเสียงปืนสงบลง เจ้าหน้าที่ได้สำรวจความเสียหายของตัวอาคารสถานทูต พบว่า
ตัวอาคารโดนกระสุนปืนเสียหายหลายจุด
มีกระสุนนัดหนึ่งเจาะทะลุเข้ามาทางหน้าต่างห้องทำงานเจ้าหน้าที่
กระสุนมีอำนาจทะลุทะลวงสูง แฉลบไปถูกส่วนที่กั้นเป็นห้องน้ำ
จุดที่นั่งรอสำหรับผู้มาติดต่อ โดนไป 3 นัด
ปลอกกระสุนทีเก็บได้
                             

ที่มา : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงตริโปลี
        : กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
          กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ

สถานทูตไทยช่วยเหยื่อค้ามนุษย์ที่ญี่ปุ่น


ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีการลักลอบขายบริการทางเพศและสร้างรายได้มหาศาลแก่ผู้ที่เกี่ยวข้อง จึงเกิดขบวนการส่งตัวผู้หญิงจากหลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทย ให้เข้าไปขายบริการ ซึ่งแม้ว่าสถิติจะลดลง แต่ก็ยังมีการจับกุม มีผู้ที่ยังตกเป็นเหยื่อปรากฏอยู่เสมอๆ และล่าสุดสถานทูตไทยในโตเกียวก็ได้ให้ความช่วยเหลือหญิงไทย 2 ราย ที่ต้องกลายเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์

จากข้อมูลที่ได้รับจากหญิงไทยทั้งสองราย พบว่า นายหน้าค้ามนุษย์จะให้ข้อมูลที่บิดเบือนเพื่อให้เหยื่อหลงเชื่อและตกลงในเดินทางมาค้าบริการในญี่ปุ่น กว่าจะรู้ตัวว่าถูกหลอกก็สายเกินไปแล้ว

นายหน้ามักจะอ้างว่าวีซ่าท่องเที่ยวสามารถทำงานได้อย่างถูกกฎหมาย ซึ่งในความจริงแล้ว ญี่ปุ่นไม่อนุญาตให้ผู้ถือวีซ่าท่องเที่ยวทำงาน หากตรวจพบจะถูกจับกุมทันที 

สิ่งที่นายหน้านำมาอ้างมากที่สุดเพื่อล่อลวงเหยื่อก็คือเรื่องของรายได้ โดยจะบอกเหยื่อว่าจะมีรายได้ประมาณ 100,000 บาทต่อเดือน แต่ในความเป็นจริงถ้าจะได้รับรายได้ขนาดนั้น จะต้องทำงานวันละไม่ต่ำกว่า 11 ชั่วโมงโดยไม่มีวันหยุด ซึ่งก็เป็นสิ่งผิดกฎหมายของญี่ปุ่นอีกเช่นกัน

บางครั้งนายหน้าจะยื่นข้อเสนอแก่เหยื่่อว่าจะยังไม่เก็บค่านายหน้าหรือค่าใช้จ่ายในการดำเนินการให้ไปญี่ปุ่น ให้เหยื่อค่อยๆ ผ่อนชำระเมื่อเดินทางไปทำงานในญี่ปุ่นได้แล้ว ซึ่งเหยื่อจะไม่ทราบเลยว่า ค่าใช้จ่ายดังกล่าวเป็นเงินจำนวนเท่าใด เหยื่อบางรายต้องชำระหนี้เป็นเงินสูงถึง 4-5 ล้านเยน (ประมาณ 1.6-2 ล้านบาท ) และที่แย่ที่สุดคือเหยื่อบางรายยังไม่เข้าในว่ามูลค่าของเงิน 4-5 ล้านเยนเท่ากับเงินบาทจำนวนเท่าใด

ค่าที่พักและอาหาร นายหน้าจะหลอกว่า นายจ้างจัดให้ฟรี แต่ในความจริงเหยื่อต้องจ่ายค่าที่พักและอาหารเองโดยหักจากรายได้ที่เหยื่อทำงานได้ และหากเงินได้น้อยก็จะยิ่งทำให้ระยะเวลาในการทำงานนานขึ้นนายจ้างบางรายตั้งข้อกำหนดว่าจะอนุญาตให้เหยื่อส่งเงินกลับประเทศไทยได้เมื่อทำรายได้อย่างต่ำ 100,000 เยน (ประมาณ 40,000 บาท) หากต้องการส่งเงินมากกว่านี้ก็ต้องทำงานมากกว่านี้
หนี้สินก็ไม่เคยลดลงเลย

นอกจากนี้ เจ้าของร้านหรือนายหน้ามักจะข่มขู่เหยื่อโดยการให้นายหน้าเดินทางไปที่บ้านของญาติของเหยื่อในประเทศไทยแล้วให้โทรศัพท์พูดคุยกันในเรื่องทั่วๆ ไป เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นว่าหากเหยื่อคิดหลบหนี ญาติพี่น้องในประเทศไทยจะถูกทำร้าย

สถานทูตฝากบอกด้วยว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจของญี่ปุ่นอยู่ในสภาวะถดถอย การทำมาหากินเป็นไปด้วยความยากลำบาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับแรงงานไร้่ฝีมือต่างชาติที่ไม่มีความรู้ภาษาญี่ปุ่น นอกจากนี้ งานบริการในร้านอาหารต่างๆ มักจะจ้างพนักงานแบบชั่วคราว ( part time ) ซึ่งไม่มีความจำเป็นต้องรับแรงงานต่างชาติเข้ามาทำงานประเภทนี้เนื่องจากคนญี่ปุ่นรุ่นใหม่ที่เพิ่งจบการศึกษานิยมทำงานเป็นช่วงเวลาแบบนี้เพราะไม่ต้องผูกมัด ส่วนแรงงานที่มีทักษะและแรงงานกึ่งฝีมือก็จะมีการกำนหดเงื่อนไขสำหรับแรงงานต่างชาติค่อนข้างเข้มงวดและตำแหน่งงานลักษณะนี้ก็มีไม่มากนัก ดังนั้นหากถูกชักชวนไปทำงานร้านอาหารที่ญี่ปุ่นก็ขอให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่่าท่านกำลังถูกหลอกให้ไปขายบริการแอบแฝง

ด้วยความปรารถนาดีจาก : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว

ไปเยอรมันระวังถูกล้วง

สถานกงสุลใหญ่ ณ นครแฟรงก์เฟิร์ต ประเทศเยอรมันนี ได้ประชาสัมพันธ์เตือนผู้ที่จะเดินทางเข้าไปประเทศเยอรมันนีให้ระวังแก๊งค์มิจฉาชีพซึ่งปัจจุบันกำลังอาละวาดอย่างหนัก

พวกมิจฉาชีพเหล่านี้มักจะหากินอยู่ตามเมืองใหญ่ที่มีคนพลุกพล่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามแหล่งท่องเที่ยวและแหล่งช็อปปิ้ง มักจะทำงานกันเป็นทีมตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป โดยมีเป้าหมายที่นักท่องเที่ยวจากเอเชียเนื่องจากมักจะพกเงินสดเป็นจำนวนมากและนักท่องเที่ยวจากเอเชียส่วนใหญ่เข้าใจว่าประเทศเยอรมันนีเป็นประเทศที่มีความปลอดภัยสูงจึงไม่ค่อยจะระวังตัวและทรัพย์สิน

สำหรับคนไทยเอง สถานกงสุลใหญ่แจ้งว่า นักท่องเที่ยวชาวไทยเป็นจำนวนมากก็ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพเหล่านี้เช่นกัน โดยจะถูกขโมยกระเป๋าถือ กระเป๋าตอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คหรือเป้ซึ่งภายในบรรจุสิ่งของมีค่าทั้งเงินและเอกสารสำคัญ เมื่อขโมยไปได้แล้วกระเป๋าจะถูกทิ้งไว้ เอาไปแต่ของมีค่า จึงมักจะมีพลเมืองดีนำกระเป๋าถือหรือกระเป๋าเงินส่งคืนผ่านหน่วยงานของเยอรมันเป็นระยะ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นกระเป๋าที่ส่วนใหญ่มีแต่เอกสาร เช่นพาสปอร์ตหรือบัตรประจำตัว ส่วนของมีค่าไม่มีเหลือแม้แต่ชิ้นเดียว

ในเรื่องนี้ ทางประเทศเยอรมันนีได้มีการจัดทำสถิติเมืองในเยอรมันนีที่มีคนถูกล้วงกระเป๋ามากที่สุดต่อจำนวนประชากรในปี ค.ศ. 2011 ซึ่งมีการเผยแพร่ในหนังสือพิมพ์ Die Welt ของเยอรมันนี ดังนี้
              อันดับ 1 เมืองดุสเซลดอร์ฟ ( Dusseldorf ) มีคนถูกล้วงกระเป๋า 26,888 ราย คิดเป็นจำนวน 4,539 รายต่อจำนวนประชากร 100,000 คน 
              อันดับ 2 เมือง โคโลญจน์ ( Koln ) มีคนถูกล้วงกระเป๋า 38,441 ราย คิดเป็นจำนวน 3,779 รายต่อจำนวนประชากร 100,000 คน  
              อันดับ 3 นครแฟรงก์เฟิร์ต ( Frankfurt ) มีคนถูกล้วงกระเป๋า 3,368 ราย คิดเป็นจำนวน 3,368 รายต่อจำนวนประชากร 100,000 คน

นอกจากนี้ กรุงเบอร์ลิน ( Berlin ) นครมิวนิก ( Munchen ) และนครฮัมบูร์ก ( Hamburg ) ยังติดอันดับ 1 ใน 10 เมืองอันตรายที่มีคนถูกล้วงกระเป๋าด้วยเช่นกัน

ที่มา : สถานกงสุลใหญ่ ณ นครแฟรงก์เฟิร์ต

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

อาชญากรรมระบาดหนัก ไปนอกต้องระวัง

ตามที่ได้มีการเตือนถึงภัยอันตรายที่มีต่อคนไทยในต่างประเทศในรูปแบบต่างๆ นั้น ภัยจากการตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมก็เป็นอีกประเภทหนึ่งที่คนไทยมีโอกาสต้องประสบพบเจอได้ง่ายๆ เวลาเดินทางไปต่างประเทศ คนไทยที่ต้องโชคร้ายเจอกับภัยลักษณะนี้ก็มีทั้งผู้ที่เดินทางไปท่องเที่ยว ไปทำงาน นักเรียนนักศึกษา ไม่เว้นแม้แต่นักการทูตที่ีมีเอกสิทธิ์ความคุ้มกันก็มิวายถูกปล้นถูกจี้กันเป็นประจำ บางครั้งถึงกับเกือบเอาชีวิตไม่รอดเพราะคนร้ายมีอาวุธพร้อมจะทำร้ายเหยื่อทุกเมื่อหากขัดขืน

อาชญากรรมที่เกิดขึ้นก็ไม่จำเป็นจะต้องเเกิดในประเทศด้อยพัฒนาหรือประเทศยากจนเสมอไป ในปัจจุบันนี้ต้องยอมรับว่า ในประเทศที่ได้ชื่อว่าเจริญแล้วกลับมีการประกอบอาชญากรรมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย ก็ล้วนมีอัตราการก่ออาชญากรรมที่เพิ่มขึ้นมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
คนไทยเราหลายคนที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศอาจเคยประสบกับเรื่องราวของการถูกลัก วิ่ง ชิง ปล้น กันมาบ้างแล้ว บางรายได้ทรัพย์สินคืนก็โชคดีไป บางรายโชคร้ายสูญเงินและทรัพย์สินทั้งหมด เอกสารก็หาย มีบ้างที่ถูกทำร้ายร่างกายเป็นของแถม

คนไทยคนล่าสุดที่ตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมเป็นนักธุรกิจที่เป็นตัวแทนองค์กรของรัฐเดินทางไปประชุมเกี่ยวกับมาตรฐานอุตสาหกรรมที่ประเทศหนึ่งในแถบอเมริกาใต้ร่วมกับผู้แทนจากหลายประเทศ ภายหลังการประชุมก็จะออกไปรับประทานอาหารกลางวันกับผู้ร่วมประชุมคนอื่นๆ จึงได้เก็บกระเป๋าและทรัพย์สินมีค่ารวมไว้ในห้องประชุมพร้อมกับคนอื่นๆ พอกลับมาปรากฎว่าของทั้งหมดสูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย
หาคนรับผิดชอบไม่ได้ นี่ขนาดในห้องประชุมในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในเมืองหลวงของประเทศ

นอกจากทรัพย์สินมีค่าแล้ว พาสปอร์ตก็หายไปด้วย หนุ่มไทยรายนี้จึงต้องแจ้งขอความช่วยเหลือจากสถานทูตซึ่งทางสถานทูตก็ได้จัดการเรื่องเอกสารเดินทางให้จนเรียบร้อยและเดินทางกลับประเทศไทยแล้ว ในเรื่องนี้ สถานทูตจึงฝากเตือนคนไทยทุกคนไม่ว่าจะเดินทางไปทำอะไรในประเทศแถบลาตินอเมริกา (อันที่จริงก็น่าจะเป็นทุกประเทศทั่วโลกนั่นแหละ) ให้ระวังตัวและทรัพย์สินมีค่าไว้ให้ดี ยิ่งเ็ป็นนักท่องเที่ยวที่ไม่พูดภาษาสเปนจะเป็นเป้าหมายอันโอชะของบรรดาอาชญากรที่จ้องจะเล่นงานกับคนต่างชาติกลุ่มนี้เป็นพิเศษ โอกาสที่จะต้องตกเป็นเหยื่ออาชญกรรมจึงสูงมาก

จะเดินทางไปต่างบ้านต่างเมือง ขอให้ระวังทรัพย์สินและถ้าจะให้ดีจดหมายเลขโทรศัพท์และที่อยู่ของสถานทูต/สถานกงสุลของไทยไว้ด้วย ยิ่งถ้าเป็นประเทศที่สถานการณ์เสี่ยงมากและไม่ค่อยมีคนไทยเดินทางไปหรือไม่ใช่เป็นประเทศสำหรับการท่องเที่ยวก็ขอให้แจ้งสถานทูต/สถานกงสุลทราบไว้ก่อนจะเป็นการดีที่สุด สำหรับหนังสือเดินทางหรือเอกสารสำคัญ ควรถ่ายสำเนาเอกสารและนำติดตัวไว้ตลอดเวลา เพราะเกิดเอกสารจริงสูญหายก็ยังมีสำเนาที่จะช่วยให้การดำเนินการต่างๆ เพื่อออกเอกสารให้ใหม่รวมทั้งการประสานงานกับทางการต่างประเทศเป็นเรื่องง่ายและรวดเร็วขึ้น

ที่มา : กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
          กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ
 



สถานทูตช่วยสตรีป่วยทางจิตกลับจากญี่ปุ่น


ในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา  สถานทูตไทยในประเทศญี่ปุ่นได้มอบหมายเจ้าหน้าที่กงสุลให้เดินทางโดยเครื่องบินตรงจากกรุงโตเกียวมายังท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ  เพื่อนำสตรีไทยวัยกลางคนรายหนึ่งซึ่งมีอาการป่วยทางจิตกลับมารักษาตัวที่ประเทศไทย       

เรื่องราวของหญิงผู้นี้เดิมสถานทูตก็ไม่ทราบรายละเอียดมากนัก  รู้แต่ว่า เธอเดินทางไปทำงานที่ญี่ปุ่นนานแล้ว  เคยแต่งงานอยู่กินกับสามีชาวญี่ปุ่นอย่างมีความสุขตามอัตภาพ ต่อมาชีวิตได้ผกผัน ถูกผู้ชายอีกคนหลอกลวงทรัพย์สินไปจนสิ้นเนื้อประดาตัว   ต้องไปอาศัยหลับนอนกับครอบครัวคนไทยรายอื่นอย่างน่าเวทนา  ระยะหลังเธอเริ่มเกิดความเครียดจนป่วยทางจิต  เรียกว่าถ้าอาการกำเริบก็เดือดร้อนกันไปหมด

เมื่อสถานทูตทราบเรื่องจึงได้พยายามช่วยเหลือด้วยการส่งสตรีผู้นี้ไปเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลซึ่งหมอในประเทศญี่ปุ่นก็ดีใจหาย ไม่คิดเงินแม้แต่บาทเดียว     จนเมื่ออาการทุเลาขึ้นก็ได้ปรึกษากันว่าควรส่งตัวเธอกลับประเทศไทย   แต่ปัญหาไม่ได้จบเพียง แค่นั้นเนื่องจากญาติของเธอที่เมืองไทยมีฐานะยากจน  บิดาเป็นคนพิการและมารดาเสียชีวิตไปนานแล้ว  ดังนั้นอย่าว่าแต่ช่วยรักษาพยาบาลเลย  แค่ให้ที่พักพิงเลี้ยงดูก็ไม่ใช่เรื่องง่าย  

งานนี้กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการได้เข้ามาช่วยเหลือและประสานงานกับหลายฝ่ายเพื่อแก้ปัญหาต่างๆ ให้สตรีรายนี้  จนกระทั่งสามารถส่งตัวกลับเมืองไทยได้สำเร็จ  นอกจากนี้ยังได้รับความอนุเคราะห์จากโรงพยาบาลจิตเวชสระแก้วราชนครินทร์รับตัวไปรักษาอาการต่อด้วย 

กรณีนี้ถือว่าเป็นภารกิจไม่ธรรมดาของสถานทูตที่นานๆ จะมีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นสักครั้ง  และเป็นความทุกข์ยากอีกแบบหนึ่งของคนไทยในต่างแดน   กรมการกงสุล จึงขอฝากเป็นข้อคิดเตือนใจว่า การไปอยู่ต่างประเทศใช่ว่าจะสุขสบายไปหมดทุกเรื่อง  ต้องวางแผนใช้ชีวิตด้วยความระมัดระวัง   ยิ่งถ้าไปอยู่อย่างผิดกฏหมาย  ไม่มีงานทำ ไม่มีเงินใช้ ก็ยิ่งเครียดอาจล้มป่วยหรือกระทั่งเป็นบ้าได้   คนที่เดือดร้อนก็หนีไม่พ้นญาติพี่น้องที่อยู่ทางเมืองไทยนั่นเอง  ...

ด้วยความปรารถนาดีจาก : กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
                                          กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ
                                          

เสนอห้ามแรงงานไทยไปทำงานนวดแผนไทยในซาราวัก มาเลเซีย


ตามที่ทางสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ได้รายงานข้อเท็จจริง รวมทั้งแสดงความกังวลเกี่ยวกับปัญหาการเดินทางไปทำงานที่ประเทศมาเลเซียของคนไทยที่มีแต่ปัญหามาตลอด โดยเฉพาะหญิงไทยที่เข้าไปทำงานประเภทนวดผ่อนคลายหรือนวดแผนโบราณอยู่ตามเมืองต่างๆ 

จากสถิติที่สถานทูตและสำนักงานแรงงานไทยในมาเลเซียรวบรวมไว้ พบว่า ในช่วงปี 2554-2555 มีแรงงานหญิงไทยที่ทำงานในตำแหน่งพนักงานนวดแผนไทยในรัฐซาราวัก ร้องทุกข์ขอความช่วยเหลือจำนวน 25 คน ซึ่งตัวเลขนี้เป็นคนงานที่ได้รับอนุญาตให้ทำงานภาคบริการในรัฐซาราวักอย่างถูกกฎหมาย ยังไม่นับแรงงานผิดกฎหมายที่ใช้ประโยชน์จากการยกเว้นวีซ่า 30 วัน ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก ( ได้มีการนำเสนอไปแล้วบ่อยครั้งใน blog นี้ ) โดยปัญหาที่พบ คือ นายจ้างจะให้สายนายหน้าเถื่อนแนะนำแรงงานจากประเทศไทยโดยแจ้งไปตามโรงเรียนสอนนวดแผนไทย เสนอจะให้เงินเดือนและรายได้ในอัตราสูง แต่พอเอาเข้าจริงจะมีการหักค่าใช้จ่ายทุกอย่าง ทั้งค่าเดินทาง ค่าทำใบอนุญาตทำงาน ฯลฯ โดยหักรายเดือนในอัตราที่สูงมาก ทั้งยังมีการยึดหนังสือเดินทางของคนงานและไม่อนุญาตให้คนงานออกไปนอกสถานที่เพราะกลัวคนงานจะหลบหนี

นอกจากนี้ สภาพการจ้างงานยังไม่มีความเหมาะสม ร้านนวดเป็นร้านขนาดเล็ก บ้างตั้งอยู่บนตึกแถว ไม่มีมาตรฐาน และที่เป็นปัญหาที่สุดคือร้านนวดเกือบทุกแห่งมักจะมีบริการแฝง ลูกค้าเองก็ยังมีทัศนคติที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการนวดแผนไทย หวังจะรับบริการเสริมด้วยจึงมักปรากฏบ่อยครั้งว่าลูกค้าลวนลามพนักงานนวดซึ่งนายจ้างก็ไม่ได้ให้การปกป้องคนงานแต่อย่างใดเพราะส่วนใหญ่นายจ้างมักชอบทำตัวเป็นพวกมาเฟียอันธพาล

จากข้อมูลที่ได้จากการรวบรวมจากหญิงไทยที่เข้าไปทำงานในรัฐซาราวัก ทราบว่า มีหญิงไทยจำนวนมากที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับการนวดแผนไทยอย่างแท้จริง หลายคนเข้าใจว่าการนวดแบบมีบริการเสริมพิเศษเป็นการนวดแผนไทยอย่างหนึ่งซึ่งพนักงานนวดจะได้เงินเพิ่มพิเศษด้วย จึงมุ่งแต่จะนวดแบบนั้นอย่างเดียวไม่ได้นวดแบบถูกต้องตามแผนไทย สิ่งเหล่านี้ทำให้การนวดแผนไทยเสื่อมเสียและพนักงานนวดถูกมองไปในทางเหยียดหยามไปด้วย

และจากข้อจำกัดด้านกฎหมายของรัฐซาราวักที่เข้มงวดและมีบทลงโทษที่รุนแรงต่อการกระทำผิดกฎหมายเข้าเมือง และสภาพของรัฐนี้ที่มีลักษณะเป็นเกาะห้างจากเมืองหลวงเดินทางไป-มาลำบาก สถานทูตจึงได้ร่วมมือกับสำนักงานแรงงานไทยในมาเลเซียเสนอให้กระทรวงแรงงานไทยพิจารณาไม่อนุญาตให้แรงงานไทยไปทำงานในตำแหน่งพนักงานนวดแผนไทยในรัฐซาราวักและออกคำเตือนให้ระมัดระวังกรณีมีผู้ชักชวนให้ไปทำงานในรัฐซาห์บาซึ่งอยู่ในเกาะบอร์เนียวเช่นกัน และในระหว่างนี้ สถานทูตได้ประสานกับตรวจคนเข้าเมืองของรัฐซาราวักให้ตรวจตราคนไทยที่เดินทางเข้าไปทำงานเป็นพนักงานนวดอย่างเคร่งครัด

เรื่องนี้อยากจะให้คนไทยโดยเฉพาะผู้หญิงไทยทั้งหลายที่ถูกแนะนำชักชวนให้ไปทำงานนวดในมาเลเซียให้ระวังให้ดี ให้ทราบไว้ด้วยว่าไม่มีคนไทยที่ไปทำงานนวดในมาเลเซียแล้วประสบความสำเร็จได้เก็บเงินกลับบ้านอย่างที่หวังเลยแม้แต่คนเดียว อย่างดีก็แค่เสมอตัว เสียทั้งตัวเสียทั้งเวลาไม่ได้อะไรกลับมาเป็นชิ้นเป็นอัน ขออย่าไปเพิ่มสถิติคนไทยตกทุกข์ได้ยากในประเทศมาเลเซียอีกเลย

ที่มา : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์
        : กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
          กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ






วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

คนไทยไม่กระทบจากแผ่นดินไหวในเมียนมาร์

จากการที่เกิดแผ่นดินไหวขึ้นในประเทศเมียนมาร์เมื่ีอวันที่ 11 พ.ย. 55 สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงย่างกุ้ง ได้รีบสำรวจความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับคนไทยและทรัพย์สินของคนไทยในประเทศเมียนมาร์ พบว่า ไม่มีคนไทยได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตแต่อย่างใด

แผ่นดินไหวดังกล่าวมีขนาด 6.8 ริกเตอร์ มีศูนย์กลางห่างจากเมืองชเวโบในรัฐสะกายประมาณ 72 กิโลเมตร และอยู่ห่างจากเมืองมันฑะเลย์ประมาณ 115 กิโลเมตร ศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ห่างจากเขตเศรษฐกิจและเขตชุมชน จึงยังไม่ได้รับรายงานความเสียหายแม้ว่าแรงสั่นสะเทือนจะรู็สึกได้ถึงเมืองมันฑะเลย์ก็ตาม

ในส่วนของคนไทย มีกลุ่มธุรกิจ SCG และสายการบินไทยแอร์เอเชีย เป็นกลุ่มธุรกิจเอกชนที่ดำเนินธุรกิจอยู่ในเมืองมันฑะเลย์ ซึ่งต่างก็แจ้งว่าไม่ได้รับความเสียหายใดๆ และไม่มีคนไทยหรือนักท่องเที่ยวไทยได้รับบาดเจ็บหรือได้รับผลกระทบแต่อย่างใด

ที่มา : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงย่างกุ้ง

วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ตูมสนั่นหน่วยทหารในการาจี ดับ 2 เจ็บ 14

สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองการาจี รายงานว่า เมื่อวันที่ 8 พ.ย. 55 เวลาประมาณ 07.00 น. ได้เกิดเหตุระเบิดรุนแรงขึ้นที่กองบัญชาการของหน่วยทหารพรานในเมืองการาจี ทำให้ทหารพรานเสียชีวิตทันที  2 นาย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 14 คน
จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่า ระเบิดมีน้ำหนักอย่างน้อย 100 กิโลกรัม บรรจุในรถกระบะขับผ่านประตูเข้าไปในบริเวณกองบัญชาการและผู้ขับรถจุดระเบิดโดยยอมสละชีพตัวเอง แรงระเบิดรุนแรงมากจนได้ยินไปไกลหลายกิโลเมตร อาหารของกองบัญชาการหลายหลังได้รับความเสียหายและเกิดเพลิงไหม้ รวมทั้งร้านค้าและบ้านเรือนบริเวณใกล้เคียง
ขณะนี้ ยังไม่ทราบสาเหตุของการก่อการร้ายและยังไม่มีกลุ่มใดออกมาประกาศความรับผิดชอบ
เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่มีคนไทยได้รับอันตรายจากระเบิดดังกล่าว

ที่มา : สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองการาจี

วันพุธที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ยาบ้าไทยระบาดไกลไปอิสราเอล

ท่านจักร บุญ-หลง เอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล แสดงความกังวลและห่วงใยต่อสภาพปัญหายาเสพติดที่กำลังแพร่ระบาดในหมู่คนไทยในประเทศอิสราเอล โดยมีคนไทยเป็นทั้งผู้ขายและผู้เสพ รวมทั้งลักลอบนำยาเสพติดเข้าไปในอิสราเอล และจากสถิติที่ผ่านมา มีคนไทยถูกตำรวจอิสราเอลจับกุมตัวในข้อหายาเสพติดแล้วหลายราย

ทางการอิสราเอลก็ให้ความสนใจกับปัญหานี้มาก โดยได้เคยเชิญกงสุลไทยไปให้ข้อมูลที่รัฐสภาของอิสราเอลเกี่ยวกับยาเสพติดโดยเฉพาะยาบ้า ส่วนสถานทูตเองก็ได้รับแจ้งจากคนไทยเองเป็นประจำว่าพบเห็นแรงงานไทยในนิคมเกษตรกรรมหลายแห่งมีการลักลอบจำหน่ายยาบ้ากันมาก นอกจากนี้ ที่ผ่านมามีคนไทยหลายคนถูกตำรวจอิสราเอลจับกุมดำเนินคดีเนื่องจากไปแสดงตนรับพัสดุไปรษณีย์ที่ส่งไปจากประเทศไทยในชื่อของตนหรือชื่อเพื่อนคนงานที่เดินทางกลับประเทศไทยแล้ว ซึ่งแม้จะอ้างว่าไม่รู้เรื่องไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่ตำรวจอิสราเอลไม่เชื่อ โดยมั่นใจว่าต้องมีการทำกันเป็นกระบวนการ สถานทูตเองก็ทราบว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจและศุลกากรของไทยที่สนามบินสุวรรณภูมิสามารถจับกุมผู้ลักลอบขนยาบ้าเตรียมเดินทางไปยังอิสราเอลได้หลายครั้งแล้ว

นอกจากนี้ ยังพบว่า คนงานไทยหลายรายเสพยาบ้าจนมีอาการทางประสาท ต้องใช้ยาระงับประสาทเป็นประจำ และจากสถิติการออกมรณบัตรให้แก่คนไทยที่เสียชีวิตในประเทศอิสราเอลของแผนกกงสุลของสถานทูต ในปี พ.ศ. 2554 พบว่ามีแรงงานไทยเสียชีวิตจำนวน 27 ราย ในจำนวนนี้เสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุ (ไหลตาย) 17 ราย ส่วนปี พ.ศ. 2555 (นับถึงเดือน ก.ย. 55 ) มีผู้เสียชีวิตแล้ว 21 ราย และเสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุ 17 ราย เข้าใจว่าผู้เสียชีวิตบางรายอาจเกิดจากการทำงานหนัก ร่างกายอ่อนเพลีย มีความเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ และบางรายอาจใช้ยาเสพติดด้วย

ท่านทูตเป็นห่วงว่า ปัญหายาเสพติดที่แพร่ระบาดอยู่ในอิสราเอล กำลังเป็นปัญหาทางสังคมและประเด็นทางกฎหมายมากขึ้น จำเป็นเร่งหามาตรการแก้ปัญหาโดยด่วนก่อนที่จะลุกลามไปมากกว่านี้ ขณะนี้ได้แจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบถึงสภาพปัญหาดังกล่าวแล้ว และคงจะมีการ่วมกันดำเนินการเพื่อแก้ปัญหา ไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและสวัสดิภาพของแรงงานไทยต่อไป


ด้วยความปรารถนาดีจาก : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ

การให้ความช่วยเหลือคนไทยตกทุกข์ได้ยากในประเทศบาห์เรนของสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมานามา ประจำปี พ.ศ.2555

ตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2555 จนถึงปัจจุบัน ( ณ สิ้นเดือนกันยายน 2555 สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมานามา ประเทศบาห์เรน ได้ให้ความช่วยเหลือคนไทยในบาห์เรนในรูปแบบต่างๆ ดังนี้
1. เยี่ยมผู้ต้องขังชายและหญิงไทย จำนวน 36 ครั้ง
2. เยี่ยมผู้ป่วยคนไทย จำนวน 56 ครั้ง
3. ช่วยเหลือหญิงไทยที่พ้นโทษในการส่งตัวกลับประเทศไทย จำนวน 92 ราย
4. ช่วยเหลือหญิงไทยที่สมรสกับชาวบาห์เรนในเรื่องการขอวีซ่าบาห์เรน จำนวน 3 ครอบครัว
5. ช่วยเหลือหญิงไทยเรื่องหนังสือเิดินทางไทยสูญหาย จำนวน 5 ราย
6. ช่วยไกล่เกลี่ยเจรจาปัญหาความขัดแย้งในครอบครัวระหว่างหญิงไทย-ชายบาห์เรน จำนวน 3 ครอบครัว
7. ช่วยเหลือหญิงไทยในการมอบตัวกับทางการตำรวจบาห์เราเพื่อส่งตัวกลับประเทศไทย จำนวน 11 ราย
8. ช่วยเหลือหญิงไทยในการติดต่อกรมสัญชาติ หนังสือเดินทาง และการมีถิ่นพำนัก (ตม.) กระทรวงมหาดไทยแห่งราชอาณาจักรบาห์เรนเพื่อส่งตัวกลับประเทศไทย จำนวน 25 ราย
9. ช่วยเหลือหญิงไทยจากการค้าประเวณีและส่งตัวกลับประเทศไทย จำนวน 25 ราย
10. เรียกร้องติดตามเงินพึงได้ของลูกจ้าง/คนงาน/แรงงานไทยจากบริษัทนายจ้างชาวบาห์เรน-คนไทย อาทิ วันหยุด และเงินสิทธิประโยชน์ จำนวน 97 ราย คิดเป็นเงินรวม 1,300,000 บาท
11. กิจกรรมโครงการกงสุลสัญจรสำหรับชุมชนชาวไทยในบาห์เรนกว่า 500 คน จำนวน 15 ครั้ง
12. สนับสนุนกิจกรรมโครงการกีฬาฟุตบอลสามัคคี
13. สนับสนุนกิจกรรมโครงการโรงเรียน ก. ไก่

ที่มา : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมานามา

วันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

สาวไทยโดดตึกหนีหนุ่มสวิสหื่น

เมื่อวันที่ 21 ต.ค. 55 เจ้าหน้าที่สถานทูตไทยที่กรุงเบิร์น ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ พร้อมทั้งเจ้าหน้าที่ของศูนย์ให้คำปรึกษาแก่สตรีต่างชาติในสวิสเซอร์แลนด์ที่ถูกเอารัดเอาเปรียบและถูกใช้กำลังจากบุคคลใกล้ตัว ได้เดินทางไปเยี่ยมอาการของหญิงไทยรายหนึ่งที่โรงพยาบาลในเมือง Baden รัฐ Argau ซึ่งรักษาตัวมาตั้งแต่เดือนกันยายน โดยเธอได้รับบาดเจ็บที่ปอดและข้อมือจากการกระโดดตึก 2 ชั้น เพื่อหนีเพื่อนชายชาวสวิสที่ข่มขู่หวังเคลมสวาท

หญิงไทยรายนี้เล่าให้เจ้าหน้าที่ฟังว่า เดินทางไปท่องเที่ยวและดูงานที่ประเทศในยุโรป ช่วงที่อยู่ในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ได้พักอยู่กับเพื่อนชายชาวสวิสที่รู้จักกันจากการพูดคุยผ่านเว็บไซต์หาเพื่อน ต่อมาไอ้หนุ่มสวิสออกอาการหื่น พยายามข่มขู่เธอเพื่อหวังจะมีสัมพันธ์ทางเพศด้วย เธอไม่ยอมจึงได้กระโดดหนีออกมาจากห้องพัก (ที่ตั้งอยู่ชั้นสอง) จนได้รับบาดเจ็บดังกล่าว

ปัจจุบันนี้ อาการของเธอดีขึ้นมากและได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว และระหว่างรอการดำเนินการจากรัฐบาลและหน่วยงานของสวิส สถานทูตพาเธอไปพักฟื้นยังบ้านพักเยาวชนซึ่งมีความสะดวกสบายและมีค่าใช้จ่ายไม่สูงนัก เธอจึงสามารถพักฟื้นร่างกาย ทำกายภาพบำบัด และระรับการช่วยเหลือจากหน่วยงานของสวิสรวมทั้งรอเดินทางกลับประเทศไทย

เธอได้ฝากขอบคุณสถานทูตและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องที่ให้ความช่วยเหลือเธอมาตลอด แม้ว่าการดำเนินการเพื่อเอาผิดกับหนุ่มหื่นรายนี้จะเป็นไปได้ยากและทางการสวิสก็มีข้อจำกัดมากมาย แต่เธอก็ยังรู้สึกดีที่ได้รับการเอาใจใส่และดูแลอย่างดี

เรื่องราวของหญิงไทยรายนี้ทำให้นึกถึงคำที่ว่า รู้หน้า ไม่รู้ใจ คนเรานั้นบางที่รู้จักกันมาตั้งนานก็ยังไม่รู้ถึงความคิดของเขาว่าคิดดีคิดร้ายกับเราอย่างไร แต่รายนี้ แค่รู้จักกันผ่านอินเตอร์เน็ต ไม่เคยเจอตัวจริง เสียงจริง ยังกล้าเสี่ยงไปพักค้างอ้างแรมกับเขาอีก คงต้องจำไว้เป็นบทเรียนราคาแพงไปอีกนานแสนนาน    

ด้วยความปรารถนาดีจาก : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเบิร์น
                                        : กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
                                          กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ 

กงสุลไทยเยี่ยมนักโทษไทยในฮ่องกงและมาเก๊า


สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองฮ่องกง สรุปรายงานการเข้าเยี่ยมนักโทษไทยในฮ่องกงและมาเก๊าในช่วงเดือนก.ย.-ต.ค. 55 ดังนี้
1. ปัจจุบันมีนักโทษไทยต้องโทษในเรือนจำของฮ่องกงและมาเก๊าจำนวน 49 คน ในจำนวนนี้ 22 คน เป็นหญิงไทยที่ต้องโทษในคดีขนยาเสพติด ซึ่งจากการสัมภาษณ์ พบว่าส่วนใหญ่ให้การไปในแนวทางเดียวกันว่า ได้รู้จักคบหากับชายแอฟริกันที่ทำงานในประเทศไทย โดยฝ่ายชายจะดูแลอย่างดี ต่อมาจะได้รับการไหว้วานให้เดินทางไปประเทศในแอฟริกาเพื่อไปรับสินค้าไม่ระบุชนิด หรือไม่ก็จะออกตั๋วเครื่องบินให้ไปเที่ยวต่างประเทศและขากลับจะมีการฝากกระเป๋า (ที่มียาเสพติดซุกซ่อนอยู่) กลับมาด้วย
2.  นอกจากนี้ ยังมีหญิงไทยอีกจำนวนหนึ่งที่ต้องโทษในคดีใช้บัตรเครดิตปลอม โดยหญิงเหล่านี้ให้การว่าได้รับการชักชวนโดยนายหน้าคนไทยให้หารายได้ด้วยวิธีทำบัตรเครดิตปลอมที่ผลิตโดยชาวแอฟริกันในประเทศไทย โดยจะได้รับการว่าจ้างให้เดินทางไปต่างประเทศและซื้อสินค้าปลอดภาษีบนเครื่องบินตามใบสั่งที่ได้รับและนำกลับมาส่งให้เครือข่ายเพื่อนำไปขายในตลาดมืด ซึ่งสันนิษฐานว่าชาวแอฟริกันดังกล่าวน่าจะเป็นเครือข่ายเดียวกันกับที่หลอกหญิงไทยไปขนยาเสพติดด้วย


ที่มา : สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองฮ่องกง

สาวไทยตกทุกข์ไกลถึงอาร์เจนตินา


สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบัวโนสไอเรส รายงานว่าได้ช่วยเหลือหญิงไทยรายหนึ่งให้ได้เดินทางกลับประเทศไทยเมื่อวันที่ 1 พ.ย. 55
หญิงไทยรายนี้บอกว่า ที่ต้องดั้นด้นข้ามโลกไปตกทุกข์ไกลถึงประเทศอาร์เจนตินาก็เนื่องจากเดิมตนทำงานอยู่ที่บาร์แห่งหนึ่งบนเกาะพงัน ได้รู้จักกับชายชาวเยอรมันคนหนึ่ง พอเริ่มคุ้นเคยกันดีแล้วหนุ่มเยอรมันคนนี้ก็ชวนให้ไปเที่ยวที่อาร์เจนตินา โดยจะออกเงินซื้อตั๋วโดยสารขากลับให้ แต่ก็เหมือนหลายๆ ร้อยรายที่ผ่านมา คือสาวไทยถูกหลอกตามระเบียบ ไอ้หนุ่มเยอรมันไม่ซื้อตั๋วให้สาวไทยก็เลยกลับบ้านไม่ได้ต้องตกค้างอยู่ที่อาร์เจนตินาถึงหนึ่งปีครึ่งแล้ว สาวไทยพยายามติดต่อกับญาติที่ประเทศไทยขอให้ส่งเงินค่าตั๋วเครื่องบินมาให้แต่ทางบ้านก็ไม่สามารถหาเงินมาให้สาวไทยซื้อตั๋วได้เนื่องจากอาร์เจนตินาอยู่ไกลจากประเทศไทยมากค่าตั๋วจึงแพงมาก เมื่ออับจนหนทางจึงต้องติดต่อขอให้สถานทูตช่วยเหลือซึ่งสถานทูตก็ดำเนินการจนเรียบร้อยในที่สุด

สถานทูตไทยมีข้อสังเกตในเรื่องนี้ว่า มีความเป็นไปได้ที่หญิงไทยรายดังกล่าวอาจถูกชักจูงให้เดินทางท่องเที่ยวและอาจร่วมดำเนินการผิดกฎหมายเช่นเดียวกับหญิงไทยหลายคนที่เดินทางไปลักลอบขนยาเสพติดในภูมิภาคลาตินอเมริกา เนื่องจากหญิงไทยรายนี้ให้การว่าเคยเดินทางไปท่องเที่ยวที่ประเทศบราซิลและชิลีมาก่อนโดยมีเพื่อนและญาติของหนุ่มเยอรมันเป็นคนออกค่าเครื่องบินให้

เรื่องนี้เป็นอุทธาหรณ์อีกเรื่องหนึ่งสำหรับหญิงไทยที่หัวอ่อน เชื่อคนง่าย ใครมาชวนไปทำงานหรือไปเที่ยวต่างประเทศก็ไปโดยง่าย ขอให้รับทราบไว้ด้วยว่า ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันมีคนไทยโดยเฉพาะหญิงไทยถูกจับกุมดำเนินคดีในข้อหาลักลอบขนยาเสพติดเป็นจำนวนนับร้อยๆ ราย บางรายถูกตัดสินประหารชีวิต บางรายถูกจำคุกตลอดชีวิต บางรายตั้งครรภ์มีลูกกับไอ้หนุ่มที่มาหลอกด้วย เสียทั้งตัว เสียทั้งอนาคต พ่อแม่ญาติพี่น้องยิ่งต้องเสียใจอย่างหนัก สาวไทยรายนี้อาจจะโชคดีที่ยังไม่ถูกจับเหมือนรายอื่นๆ แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า เธอจะถูกหลอกซ้ำอีกหรือไม่
ก็ขอให้ช่วยกันเป็นกำลังใจอย่าให้คนไทยต้องถูกไอ้พวกต่างชาติหลอกอีกต่อไปเลย

ด้วยความปรารถนาดีจาก : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบัวโนสไอเรส
                                         : กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
                                           กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ 

คนไทยประสบภัยพายุเฮอริเคนแซนดี้



สถานกงสุลใหญ่ ณ นครนิวยอร์ก  รายงานการให้ความช่วยเหลือคนไทยที่ประสบภัยเสียหายจากพายุเฮอริเคนแซนดี้ ดังนี้
1. ครอบครัวคนไทยในเขต Staten Island ได้รับผลกระทบจากต้นไม้โค่นทับบ้านในส่วนของห้องนั่งเล่น โรงรถ และรถยนต์
ได้รับความเสียหายใช้การไม่ได้ และไม่มีไฟฟ้าใช้ ในชั้นนี้ ยังไม่ได้ร้องขอความช่วยเหลือใดๆ จากสถานกงสุลใหญ่ฯ เนื่องจากได้ทำประกันภัยสำหรับความเสียหายไว้แล้ว
2. มีคนไทยอีก 3 ราย ที่ยังติดต่อไม่ได้ ซึ่งอาจเป็นเพราะสัญญาณโทรศัพท์ขัดข้องหรือไม่มีไฟฟ้าใช้
3. นายกสมาคมชาวเหนือแห่งนิวยอร์กแจ้งว่า มีคนไทยที่อาศัยอยู่ที่ Staten Island น้ำท่วมบ้าน 1 ราย และร้านอาหารไทยอีก 1 แห่ง ยังไม่สามารถเปิดบริการได้เนื่องจากตั้งอยู่ในเขตที่ถูกประกาศห้ามเข้าชั่วคราว
4. ร้านอาหารอีกกว่า 15 ร้าน ในเขต Lower Manhattan ไม่สามารถเปิดร้านขายได้เนื่องจากยังไม่มีไฟฟ้าใช้
5. สถานกงสุลใหญ่ฯ ได้ประสานกับสายการบิน Cathay Pacific ที่สนามบิน JFK เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับคนไทย 1 คน ในการเดินทางกลับประเทศไทย

ที่มา : สถานกงสุลใหญ่ ณ นครนิวยอร์ก