วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ไทยแย่งนวดเกาหลี ม็อบต้านสถานทูตฯ

            ประท้วง ! นวดที่โสมขาวแย่งงานคนพิการ ด้วยเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2558 กระทรวงการต่างประเทศได้รับรายงานจาก สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล ว่า สมาคมผู้ประกอบวิชาชีพนวดประเทศเกาหลีใต้ ได้เรียกร้องและยื่นข้อเสนอให้ฝ่ายไทยพิจารณาออกนโยบายปราบปรามและลงโทษหญิงไทยที่ลักลอบทำงานนวดในเกาหลีใต้ เนื่องจากเป็นอาชีพสงวนของคนตาบอดที่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ นั้น
            สถานการณ์การลักลอบทำงานนวดในเกาหลีใต้ เริ่มมีหญิงไทยเดินทางเข้าประเทศเกาหลีใต้เมื่อปี พ.ศ. 2543 เพื่อลักลอบทำงานนวด และในช่วง 5 – 6 ปีที่ผ่านมา จำนวนหญิงไทยได้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันมีประมาณ 50,000 คน กระจายตัวทำงานในร้านนวดจำนวน 165 แห่งที่มีชาวเกาหลีใต้เป็นเจ้าของ หญิงไทยดังกล่าวเดินทางเข้าเกาหลีใต้ โดยถือวีซ่าประเภทนักท่องเที่ยวซึ่งสามารถพำนักในเกาหลีใต้ได้ 90 วัน ตามความตกลงยกเว้นการตรวจลงตราระหว่างไทยกับเกาหลีใต้ โดยมีนายหน้าคนไทยจัดส่งให้เดินทางมากับทัวร์ และมีนายหน้าเกาหลีใต้มารับไปอีกต่อหนึ่งโดยส่งต่อให้ร้านนวดต่างๆ ซึ่งหญิงไทยต้องเสียค่าใช้จ่ายให้แก่นายหน้ารวมประมาณ 3,000,000 วอน/คน
            ที่ผ่านมา สมาคมผู้ประกอบวิชาชีพนวดประเทศเกาหลีใต้ ได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่าได้พยายามดำเนินการทุกทางต่อรัฐบาลเกาหลีใต้ เพื่อให้สงวนอาชีพนวดแก่ผู้พิการทางสายตา อีกทั้งเคยนำคนตาบอดจำนวน 250,000 คนทำการประท้วงอย่างรุนแรงเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2549 ในการประท้วงดังกล่าวมีผู้พิการทางสายตาหลายคนใช้วิธีกระโดดน้ำฆ่าตัวตายที่แม่น้ำฮัน เพื่อแสดงเจตจำนงหากผู้พิการถูกคุกคามทางอาชีพก็จะขอตายเสียดีกว่า
            การประท้วงครั้งนี้มีลักษณะรุนแรงและก้าวร้าว แกนนำและผู้ชุมนุมพร้อมที่จะเดินขบวนมาชุมนุมที่หน้าสถานเอกอัครราชทูต หากการเจรจาไม่สามารถตกลงกันได้ แต่เมื่อการหารือดำเนินไปด้วยมิตรไมตรีระหว่างกันในการที่จะร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหาที่สั่งสมมานานนี้ต่อไป จึงทำให้ผู้ชุมนุมยุติการชุมนุมอย่างสงบเรียบร้อย

อย่างไรก็ดีที่ผ่านมากระทรวงการต่างประเทศได้ทำการประชาสัมพันธ์เผยแพร่เพื่อแนะนำหญิงไทยมิให้เดินทางเข้ามาลักลอบทำงานนวดในเกาหลีใต้ เนื่องจากผิดกฏหมายและเป็นอาชีพที่สงวนไว้เฉพาะผู้พิการทางสายตาชาวเกาหลีใต้ที่ผ่านการอบรมแล้วเท่านั้น จึงสามารถถูกจับกุม เนรเทศ หรือบังคับให้ออกจากประเทศ และได้รับโทษตามกฎหมายได้รวมทั้งหญิงไทยมักประสบปัญหาต่างๆเช่น การข่มขืน ทำร้ายร่างกาย ฉ้อโกงทรัพย์สิน เป็นต้น


สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล
http://www.thaiembassy.org/seoul

กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
กรมการกงสุล
กระทรวงการต่างประเทศ
123 ถ.แจ้งวัฒนะ ทุ่งสองห้อง หลักสี่ กทม 10210
โทร. 0 2575 1047-51
โทรสาร  0 2575 1052
http://protectthaicitizen.blogspot.com
www.facebook.com/protectthai.consular

วันพุธที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ประกาศ : ขอความช่วยเหลือติดตามหาญาติ


            ด้วยเมื่อวันที่ 1 กรกฏาคม 2558 สถานกงสุลใหญ่ ณ นครลอสแอนเจลิส ได้รับการติดต่อจากนาง Joyce Kato, Investigator, Los Angeles County Medical Examiner – Coroner มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ว่า นาย Seubwong Seubswartpuckdi (สืบวงศ์ สืบสวัสดิภักดี) บุคคลสัญชาติไทยและสัญชาติอเมริกัน อายุ 68 ปี เกิดเมื่อวันที่ 22 ก.ค. 2489 พบว่าได้เสียชีวิตที่บ้านพัก เลขที่ 13081 ถนน Rangoon เมือง Alerta  มลรัฐแคลิฟอร์เนีย เมื่อวันที่ 17 เม.ย. 2558 ในการนี้ สถานกงสุลใหญ่ฯ ได้ตรวจสอบตามหลักฐานทราบว่าบิดามารดาของผู้ตายมีชื่อว่า นาย Chearanai Seubswartpuckdi (เจียระไน สืบสวัสดิภักดี) และนาง Lag Seubswartpuckdi (หลัก สืบสวัสดิภักดี) ทั้งนี้ ผู้ตายได้แต่งงานกับนาง Jacqueline L. (Swanson) Seubswartpuckdi (ปัจจุบันนาง Jacqueline ได้เสียชีวิตไปแล้ว) โดยทั้งคู่เคยอาศัยอยู่ที่รัฐ Texas และไม่มีบุตรจากการแต่งงาน
ทางกองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศจึงขอความร่วมมือในการประชาสัมพันธ์เพื่อติดตามหาญาติของนาย Seubwong Seubswartpuckdi (สืบวงศ์ สืบสวัสดิภักดี) เพื่อดำเนินการทางด้านเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ญาติสามารถติดต่อกลับมาได้ที่ กองคุ้มครองฯ กรมการกงสุล โทร. 02-575-1047-51 หรือติดต่อที่ Ms. Joyce Kato, Investigator, Los Angeles County Medical Examiner – Coroner ที่อยู่ 1104 N. Mission Road, Los Angeles, CA 90033 โทร. (+1) 323-343-0755 email: jkato@coroner.lacounty.gov ทั้งนี้จะต้องแสดงหลักฐานการเป็นญาติที่แปลและรับรองจากทางการไทย หากญาติจะมอบอำนาจให้บุคคลอื่นดำเนินการแทน บุคคลที่ได้รับมอบอำนาจจะต้องร้องขอต่อศาลของ County of Los Angeles ในการให้อำนาจดำเนินการแทน เนื่องจาก County ไม่รับเอกสารการมอบอำนาจจากประเทศไทย

สถานกงสุลใหญ่ ณ นครลอสแอนเจลิส
http://www.thaiconsulatela.org

กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
กรมการกงสุล
กระทรวงการต่างประเทศ
123 ถ.แจ้งวัฒนะ ทุ่งสองห้อง หลักสี่ กทม 10210
โทร. 0 2575 1047-51
โทรสาร  0 2575 1052
http://protectthaicitizen.blogspot.com
www.facebook.com/protectthai.consular


ประกาศเตือน การใช้วีซ่าผิดวัตถุประสงค์



          เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2558 กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ กรมการกงสุล ได้รับรายงานจาก สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองมุมไบ เรื่องหญิงไทยได้เข้าไปทำงานร้านนวดในเมืองมุมไบ/ปูเน่ รัฐมหาราษฏระ ประเทศอินเดีย โดยวีซ่านักท่องเที่ยว (Tourist Visa) และ วีซ่าธุรกิจ (Business Visa) ทั้งๆที่ในวีซ่าดังกล่าวได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าไม่อนุญาตให้ทำงาน (Employment Prohibited) นั้น
              การทำงานดังกล่าวมีความผิดตามกฎหมายของประเทศอินเดีย ซึ่งได้กำหนดให้ชาวต่างชาติที่จะเข้ามาทำงานในประเทศอินเดียจะต้องมีรายได้ 25,000 ดอลลาร์สหรัฐ/ปี (ประมาณ 60,000 บาท/เดือน) ขึ้นไปจึงจะได้รับวีซ่าทำงาน (Employment Visa) การลักลอบทำงานโดยผิดประเภทวีซ่านั้นมีความผิดซ้ำร้ายบางรายได้ทำงานแอบแฝงค้าประเวณี ส่งผลในช่วงที่ผ่านมามีเหตุการณ์หญิงไทยถูกจับ/มีความเกี่ยวพันกับกระบวนการค้ามนุษย์ในอินเดียเพิ่มสูงขึ้น บ่อยครั้งหลังจากถูกส่งตัวกลับไปประเทศไทยก็กระทำความผิดซ้ำด้วยวิธีการเดิมอีก ทำให้ทางการอินเดียมีมาตรการเข้มงวดมากขึ้นในการตรวจคนเข้าเมืองและการปล่อยตัวเหยื่อของกระบวนการค้ามนุษย์กลับประเทศ นอกเหนือจากนั้นยังกระทบถึงภาพพจน์ที่ดีของประเทศไทยและนักเรียนนักศึกษาที่เดินทางมาศึกษาต่อในประเทศอินเดีย


สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองมุมไบ
http://www.thaiembassy.org/mumbai

กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
กรมการกงสุล
กระทรวงการต่างประเทศ
123 ถ.แจ้งวัฒนะ ทุ่งสองห้อง หลักสี่ กทม 10210
โทร. 0 2575 1047-51
โทรสาร  0 2575 1052
http://protectthaicitizen.blogspot.com
www.facebook.com/protectthai.consular

Work and Travel : ศึกษาข้อมูลใครว่าไม่สำคัญ !



     ปัจจุบันได้มีผู้ประกอบการธุรกิจจัดทำโครงการ Work and Travel โดยมีวัตถุประสงค์เป็นการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและสนับสนุนให้นิสิตนักศึกษาได้มีโอกาสหาประสบการณ์การทำงานพิเศษในช่วงปิดภาคเรียน เพื่อนำมาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ในการทำงาน แต่ปรากฏในภายหลังว่าไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด เช่น สถานที่ทำงาน จำนวนชั่วโมงทำงาน ค่าตอบแทน ที่พักอาศัยระหว่างที่อยู่ต่างประเทศ เป็นต้น ทำให้นักเรียน/นักศึกษาได้รับความเดือดร้อน และเสียหาย
            เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. 58 สถานกงสุลใหญ่ ณ นครนิวยอร์ก ได้รับคำร้องเรียนทางไปรษณีย์อิเล็คทรอนิกส์จากนายอ่าง (นามสมมุติ) แจ้งว่าตนได้เข้าร่วมโครงการ Work and Travel กับเอเยนต์จัดหางานโครงการ Work and Travel โดยบริษัทดังกล่าวได้จัดหางานให้ตนเลือก ซึ่งตนรับทำงานเกี่ยวกับการบริการรับส่งผู้โดยสารบนรถราง บริเวณชายหาดในมลรัฐนิวเจอร์ซีย์ ตนไม่ได้รับความยุติธรรมและถูกเอาเปรียบจากหัวหน้าในการทำงาน จนเกิดอุบัติเหตุและได้รับบาดเจ็บขณะปฏิบัติงาน อีกทั้งยังไม่ได้รับการช่วยเหลือดูแลหลังจากที่ตนได้รับบาดเจ็บ เมื่อสอบถามถึงรายละเอียดนายอ่างได้เล่าเรื่องราวให้ฟังว่า    ตนไปโครงการโดยวีซ่าประเภท J-1 ทางบริษัทนายหน้าได้จัดการติดต่อประสารงานกับนายจ้างประเทศสหรัฐอเมริกาให้มีองค์กรกลางที่ดูแลนักศึกษา คือ CIEE โดยมีการสัมภาษณ์ เลือกงาน จองงาน ชำระเงินครบถ้วนถูกต้องทุกขั้นตอน (.... ฟังถึงตรงนี้ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดีเพราะทุกกระบวนการโปร่งใสมีหลักฐานยืนยันแต่.....) ครั้งแรก ผมมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องเวลาการทำงาน ในการทำงานจะเป็นการทำงานอย่างต่อเนื่องไม่มีเวลาพักเป็นกิจจะลักษณะ ซึ่งเป็นปัญหาต่อสุขภาพของผมมาก ผมหิวแต่ก็มีเวลาช่วงสั้น ๆ 2-3 นาทีในการที่จะหาอะไรประทังความหิว เวลาดังกล่าวคือเวลาที่รถแต่ละคันเข้ามาจอดรอสัญญาณไปเขียวเพื่อออก เพราะฉะนั้นผู้ปฏิบัติจะต้องเตรียมตัวปฏิบัติงานตลอดเวลา นายอ่างเล่าต่อว่า ผมเคยร้องเรียนไปยัง CIEE ซึ่งเป็นองค์กรกลางที่ดูแลผม แต่ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลง แถมมีอีเมลล์แนบท้ายไม่ให้ผมออกจากงาน พอผมส่งไปหานายหน้าในประเทศไทย ก็ได้รับการบ่ายเบี่ยงอ้างว่าเป็นเรื่องของการปรับตัวโดยให้เหตุผลว่าน้อง ๆ คนอื่นยังไม่เห็นมีปัญหาในวันที่เกิดอุบัติเหตุ นายอ่างได้รับหน้าที่ทำงานในตำแหน่งพนักงานให้สัญญาณเดินรถที่ท้ายขบวน ซึ่งความจริงแล้วเมื่อครบรอบการเดินรถ 1 รอบจะต้องเปลี่ยนหน้าที่กับคนขับรถรางสลับกันทำงาน ซึ่งเป็นระเบียบข้อบังคับจากผู้จัดการ ผมทำหน้าที่คนให้สัญญาณรถ 4 รอบติดไม่มีพัก ไม่มีสลับ ผมถามคนจัดคิวแล้วว่าแน่ใจเหรอนอกจากนี้นายอ่างได้ทักท้วงคนจัดคิวแล้วว่าตนมีอาการปวดล้าบริเวณหลัง เพราะรอบ ๆ หนึ่งของรถรางใช้ระยะเวลานานมาก ก่อนเกิดอุบัติเหตุ นายอ่างพยายามที่จะยืนพิงที่กั้นเพื่อคลายความตึงของกล้ามเนื้อ รถได้แล่นมาถึงรอยต่อระหว่างถนนกับราง นายอ่างมีอาการปวดตึงกล้ามเนื้อ ไม่สามารถยึดจับที่กั้นเพื่อต้านแรงกระชากไว้ได้ จึงร่วงจากรถราง เคราะห์ดีที่ผู้โดยที่เห็นเหตุการณ์ในขณะนั้นรีบกระโดมาตำแหน่งที่นายอ่างยืนและเหยียบกริ่งเพื่อให้รถหยุด ผมได้สอบถามถึงการดำเนินการต่อไปทั้ง บริษัทนายหน้าและ CIEE มีแต่การป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นโดยการที่จะให้บริษัทที่ผมทำงานถูกขึ้นบัญชีดำ แต่ในส่วนของการเยียวยาช่วยเหลือที่ประสบอุบัติเหตุนั้นทั้ง 2 บริษัทนี้จะไม่ยุ่งเกี่ยว

คำถามคือทำไมหลายคนยังอยากไปโครงการนี้
- เพราะเงิน บอกเลยว่าได้กลับมาไม่เยอะแน่ เพราะต้องกินต้องใช้ ยังไม่รวมค่าเที่ยวค่าซื้อของต่าง ๆ นา ๆ
- เพราะประสบการณ์ บางคนอาจจะได้เจอนายจ้างดีก็ดีไป แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ดีเหมือนที่คุยกันตอนแรกเกือบทุกที่นั่นแหละ 

- เพราะจะไปฝึกภาษา อันนี้ได้จริงหรือ เพราะนอกจากที่ใช้พูดตอนทำงานซึ่งมีหลักการพูดของมันอยู่แล้ว กลับบ้านมาก็ขลุกอยู่กับคนไทย ไปเที่ยวกับคนไทย เรียกได้ว่าพูดภาษาอังกฤษแบบ native speaker จากโครงการนี้คงน้อยมาก ๆ
- ได้เที่ยว แน่นอนอยู่แล้วว่าจะต้องได้เที่ยวอเมริกา แต่ก็ต้องทำงานหาเงินเสียก่อน

ที่เขียนเน้นย้ำหนักหนาอย่างนี้ ไม่ได้บอกว่าโครงการนี้มันไม่ดี แต่ผู้เขียนอยากจะให้เตรียมการบ้านให้ดีก่อนจะตัดสินใจไป จะต้องทำการศึกษาทั้งสภาพเมืองที่ไปอยู่ การเดินทางจากบ้านพักไปที่ทำงาน อาหารการกิน ควรจดที่อยู่และเบอร์โทรของสถานเอกอัครราชทูต/สถานกงสุลใหญ่ที่อยู่ใกล้เคียงไว้ด้วยเผื่อกรณีเหตุฉุกเฉิน ที่สำคัญคือกฎหมายและการทำประกันการเดินทางไปต่างประเทศ เพราะการที่จะไปโครงการ Work and Travel ที่ประเทศใด ก็ตามย่อมต้องใช้กฎหมายประเทศนั้น ๆ ตามหลักอำนาจอธิปไตย เพราะฉะนั้นหากเกิดประสบอุบัติเหตหรือถูกดำเนินคดีสถานเอกอัครราชทูต/สถานกงสุลใหญ่ทำได้คือช่วยเหลือในการตรวจสอบสถานภาพความเป็นอยู่ อายุของหนังสือเดินทาง การหาทนาย ที่พัก และช่วยเหลือส่งตัวกลับประเทศ แต่ (สถานเอกอัครราชทูต/สถานกงสุลใหญ่) จะไม่ไปเป็นผู้ฟ้องร้อง/คู่กรณีแทนผู้ตกทุกข์ ดังนั้น ผู้ตกทุกข์จะต้องดำเนินการเอง โดยในส่วนของโครงการ Work and Travel องค์กรในอเมริกาที่ดูแลรับผิดชอบเรื่องนี้คือ U.S Department of State : Bureau of Educational and Cultural Affairs (Office of Private Sector Exchange) ที่อยู่ 301 4 th Stree, S.W., Room 732 (SA-44) Washington D.C. 20547 เบอร์โทรศัพท์ (202) 203-5096  ในส่วนที่ประเทศไทย หากจะร้องเรียนบริษัทนายหน้า (จะต้องเป็นบริษัทที่จดทะเบียนตามกฎหมาย) สามารถไปร้องเรียนได้ที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค 120, อาคารรัฐประศาสนภักดี ชั้น 5 ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550, ถนนแจ้งวัฒนะ, แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร, 10210 เบอร์โทรศัพท์ 1166


สถานเอกอัครราชทูต ณ นครนิวยอร์ก
http://www.thaicgny.com

กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
กรมการกงสุล
กระทรวงการต่างประเทศ
123 ถ.แจ้งวัฒนะ ทุ่งสองห้อง หลักสี่ กทม 10210
โทร. 0 2575 1047-51
โทรสาร  0 2575 1052
http://protectthaicitizen.blogspot.com
www.facebook.com/protectthai.consular


วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ปัญหาการทำงานในรัสเซีย : การติดตามค่าจ้างค้างจ่าย

             


             หากแรงงานไทยไม่มีเอกสาร หรือหลักฐานชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษรว่านายจ้างค้างจ่ายค่าจ้าง การติดตามค่าจ้างค้างจ่ายก็ไม่สามารถทำได้ ทั้งนี้ จากการรับเรื่องร้องเรียนของแรงงานไทย สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมอสโก สังเกตว่าแรงงานไทยส่วนใหญ่ไม่มีสลิปเงินเดือนเป็นหลักฐาน เนื่องจากนายจ้างจะให้เซ็นรับเงินเดือนบนซอง ซึ่งระบุเพียงวันที่ จำนวนเงิน และลายเซ็นที่ไม่มีการระบุว่าเป็นลายเซ็นของใครนอกจากนี้บ่อยครั้งแรงงานไทยแจ้งว่า นายจ้างมักจะให้ลงนามในเอกสารที่เป็นภาษาท้องถิ่น (รัสเซีย) โดยที่ตนเองไม่รู้ว่าเป็นเอกสารอะไร ซึ่งสถานเอกอัครราชทูตฯ เห็นว่านายจ้างอาจจะใช้วิธีนี้ในการสร้างหลักฐานเท็จได้เช่นสลิปเงินเดือนเท็จ หรือการแก้ไขเนื้อหาของสัญญาจ้างงานที่ผ่านการรับรองจากสถานเอกอัครราชทูตฯแล้ว นอกจากนี้บ่อยครั้งเช่นกันที่นายจ้างจะแจ้งแรงงานไทยว่าจะส่งเงินค้างจ่ายตามไปให้หลังจากที่ลูกจ้างเดินทางกลับประเทศไทยแล้ว ซึ่งสถานเอกอัครราชทูตฯจะแนะนำให้แรงงานไทยเจรจาให้นายจ้างทำเอกสารยืนยันการจ่ายเงินคงค้างเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อใช้เป็นหลักฐานหากจะต้องติดตามเงินค้างจ่ายกับนายจ้างต่อไป


            อีกหนึ่งความยากลำบากในการดูแลคนไทยในต่างประเทศ คือความลำบากในการประสานงานเพื่อช่วยเหลือแรงงานไทยที่ตกทุกข์ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งกระบวนการในการให้ความช่วยเหลือของ สถานเอกอัครราชทูตฯ กินเวลานานในการรวบรวมเอกสาร การประสานงานกับกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย และหน่วยงานท้องถิ่นเช่น อัยการและตำรวจ ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวเมื่อสถานเอกอัครราชทูตฯ ติดต่อนายจ้างเพื่อขอให้ดูแลคนงานไทย นายจ้างกลับอ้างว่าไม่มีลูกจ้างรายนี้ในขณะที่แรงงานไทย แจ้งว่า ตนไปทำงานทุกวัน ทั้ง ๆ ที่สภาพความเป็นอยู่ที่นายจ้างจัดไว้ให้ไม่พร้อมไม่มีไฟฟ้าใช้ นายจ้างไม่จ่ายเงินเดือน หรือนายจ้างไล่ออกจากที่พัก สถานการณ์ปัจจุบันของการจ้างงานในธุรกิจสปารัสเซียในขณะนี้ สภาพเศรษฐกิจโดยรวมโดยเฉพาะค่าเงินรูเบิลที่ลดลงมาก ทำให้มีแนวโน้มที่แรงงานจะมีรายได้ลดลง/มีเสถียรภาพการจ้างงานน้อยลงเนื่องจากผลประกอบการไม่ดี ทั้งนี้ เพื่อประกอบการพิจารณาเดินทางมาทำงานที่รัสเซีย ซึ่งแรงงานต้องยอมรับความเสี่ยงหากตัดสินใจจะมาร่วมงานกับผู้ประกอบการสปาของรัสเซียในปัจจุบัน


สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมอสโก
http://th.thaiembassymoscow.com/

กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
กรมการกงสุล
กระทรวงการต่างประเทศ
123 ถ.แจ้งวัฒนะ ทุ่งสองห้อง หลักสี่ กทม 10210
โทร. 0 2575 1047-51
โทรสาร  0 2575 1052
http://protectthaicitizen.blogspot.com
www.facebook.com/protectthai.consular

รายงานล่าสุด : แรงงานไทยเดินทางไปเก็บผลไม้ในฟินแลนด์



       เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2558 สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ รายงานว่า สถิติแรงงานไทยที่เข้ามาเก็บผลไม้ป่าในปีนี้มีจำนวนมากถึง 3,500 คน ซึ่งเป็นจำนวนที่สูงที่สุดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งแรงงานไทยกำลังจะเป็นแรงงานกลุ่มแรกที่ได้รับการคุ้มครองสิทธิภายใต้การ     ลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงค์ระหว่างบริษัทรับซื้อผลไม้ป่าฟินแลนด์ กระทรวงการจ้างงานและพัฒนาเศรษฐกิจฟินแลนด์ และกระทรวงการต่างประเทศฟินแลนด์    
                                                                          
            


                      โดยในปีนี้ ประเทศฟินแลนด์จะออกวีซ่านักท่องเที่ยวให้แก่แรงงานจาก 20 บริษัทฟินแลนด์ที่ลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงค์เท่านั้น เพื่อเป็นหลักประกันเรื่องความเป็นอยู่แรงงาน และสภาพเงื่อนไขการทำงาน โดยการอำนวยความสะดวกต่างๆ อาทิ แจ้งพื้นที่ป่าที่มีผลไม้เป็นจำนวนมากเพียงพอ สภาพภูมิอากาศ และการปฏิบัติตามกฎระเบียบของประเทศฟินแลนด์อย่าง      ถูกต้อง


สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮลซิงกิ
http://www.thaiembassy.org/helsinki

กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
กรมการกงสุล
กระทรวงการต่างประเทศ
123 ถ.แจ้งวัฒนะ ทุ่งสองห้อง หลักสี่ กทม 10210
โทร. 0 2575 1047-51
โทรสาร  0 2575 1052
http://protectthaicitizen.blogspot.com
www.facebook.com/protectthai.consular
  

มองโกเลีย : เมื่อถือวีซ่าผิดประเภท


           เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2558 สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปักกิ่ง ได้รับแจ้งจากกงสุลกิตติมศักดิ์ไทยประจำมองโกเลียว่า มีหญิงไทยตกทุกข์ขอความช่วยเหลือในการส่งตัวกลับประเทศไทย

เมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา หญิงไทยจำนวน 6 ราย เดินทางเข้ามาทำงานนวดแผนโบราณที่กรุงอูลานบาตอร์ ประเทศมองโกเลีย แต่มีปัญหากับนายจ้างจึงขอลาออก และขอค่าแรงงวดสุดท้ายพร้อมค่าบัตรโดยสารเครื่องบินกลับประเทศไทย แต่ถูกนายจ้างปฏิเสธ หญิงไทยทั้งหมดจึงขอความช่วยเหลือกงสุลกิตติมศักดิ์ไทยประจำมองโกเลียเพื่อเจรจากับนายจ้าง แต่กว่าเรื่องราวจะจบลงเรียบร้อยก็ต้องใช้ความพยายามกันอย่างมาก เนื่องจาก หญิงไทยทั้ง 6 คนถือวีซ่าประเภทอาสาสมัคร แต่เข้ามาทำงานนวดแผนไทย ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย เพราะประเภทวีซ่าดังกล่าวไม่ได้อนุญาตให้ทำงาน จึงถือว่าใช้วีซ่าผิดประเภท อีกทั้งยังไม่มีสัญญาการจ้างงาน  ทั้งนี้ เรื่องราวจบลงที่นายจ้างยอมจ่ายเงินเดือนงวดสุดท้าย แต่ไม่จ่ายค่าบัตรโดยสารเครื่องบิน
            จะเห็นได้ว่า การถือวีซ่าผิดประเภทในต่างแดนไม่ใช่เพียงความผิดเล็กน้อย แต่ยังสามารถลุกลามสร้างความเสียหายแก่ผลประโยชน์ที่เราควรจะได้รับเมื่อเกิดปัญหาในท้ายสุดอีกด้วย

สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปักกิ่ง
http://www.thaiembbeij.org

กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
กรมการกงสุล
กระทรวงการต่างประเทศ
123 ถ.แจ้งวัฒนะ ทุ่งสองห้อง หลักสี่ กทม 10210
โทร. 0 2575 1047-51
โทรสาร  0 2575 1052
http://protectthaicitizen.blogspot.com
www.facebook.com/protectthai.consular



ฟิลิปปินส์สั่งระงับและยุติการเรียนการสอนวิทยาลัยแพทย์

                   


             ด้วยกองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ ได้รับรายงานจากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมะนิลา เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2558  ขอให้แจ้งหนังสือคำสั่ง ลงวันที่ 2 มิถุนายน 2558 ว่า คณะกรรมการการศึกษาระดับสูงของฟิลิปปินส์ (Commission on Higher Education-CHED)         ออกคำสั่งยุติและระงับการเรียนการสอนของวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์ (College of Medicine) ของมหาวิทยาลัย Southwestern University โดยไม่ให้มีการเปิดรับนักศึกษาทุกระดับและให้มีผลใช้บังคับทันที โดยมีหน่วยงาน CHED Region VII รับหน้าที่คอยช่วยเหลือนักศึกษาที่ประสงค์จะย้ายจากมหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์ดังกล่าวไปศึกษาต่อสถาบันอุดมศึกษาอื่น ๆ ที่ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการการศึกษาระดับสูงของฟิลิปปินส์ อีกทั้งเรื่องการต่อวีซ่าอย่างถูกต้องตามกฎหมายเพื่อใช้ประกอบการสมัครเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา ซึ่งบางแห่งจะเปิดการเรียนการสอนในเดือนสิงหาคม 2558   


สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมะนิลา
http://www.thaiembassymnl.ph

กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
กรมการกงสุล
กระทรวงการต่างประเทศ
123 ถ.แจ้งวัฒนะ ทุ่งสองห้อง หลักสี่ กทม 10210
โทร. 0 2575 1047-51
โทรสาร  0 2575 1052
http://protectthaicitizen.blogspot.com
www.facebook.com/protectthai.consular


บาห์เรนประกาศ! นิรโทษกรรมให้แรงงานผิดกฎหมาย


         เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. 2558 สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมานามา ได้รับการประสานขอความร่วมมือจาก Labour Market Regulatory Authority (LMRA) ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลเรื่องแรงงานต่างชาติในบาห์เรน เพื่อประชาสัมพันธ์การนิรโทษกรรมให้กับแรงงานผิดกฎหมายในบาห์เรน
การนิรโทษกรรมครั้งนี้จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. – 31 ธ.ค. 2558 โดยเปิดโอกาสให้แรงงานต่างชาติที่ทำผิดกฎหมายในข้อหาดังต่อไปนี้ 1) ขาดจากการทำงาน (หนีงาน)  2) การเลิกจ้าง (อยู่เกินกำหนด)  3) ขาดงานหลังจากการเลิกจ้าง  4) ไม่ต่ออายุวีซ่าทำงาน (อยู่เกินกำหนด) ให้สามารถเปลี่ยนสถานะเป็นถูกกฎหมายได้โดยผ่านการดำเนินการ  2 แบบ ดังนี้
1. การขอเดินทางกลับประเทศโดยไม่ต้องติดบัญชีดำ (Blacklist) และอาจสามารถเดินทางกลับบาห์เรนได้ทุกเมื่อ แรงงานสามารถทำได้โดยแรงงานนำหนังสือเดินทางพร้อมบัตรโดยสารเครื่องบินไปที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองบาห์เรนตรวจสอบเอกสารและประทับตราให้สามารถพำนักในบาห์เรนได้ 2 สัปดาห์ โดยแรงงานจะต้องเดินทางออกจากบาห์เรนภายในระยะเวลาดังกล่าว
2. การทำงานอย่างถูกกฎหมายต่อไปในบาห์เรน แรงงานต้องมีนายจ้างใหม่รับเข้าทำงานแล้ว (โดยไม่ต้องอาศัยความยินยอมของนายจ้างเดิม) โดยนายจ้างใหม่ต้องทำเรื่องขอผ่อนผันระยะเวลาพำนักในบาห์เรนกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สำนักงานใหญ่) ให้กับลูกจ้าง โดยลูกจ้างต้องกรอกข้อมูลและลงนามในเอกสาร Intention to Transfer และมอบให้นายจ้างใหม่ทำการยื่น    คำร้องฯ พร้อมคำขอใบอนุญาตทำงานผ่านระบบออนไลน์ของ LMRA
การนิรโทษกรรมครั้งนี้มีกลุ่มเป้าหมายคือ เฉพาะแรงงาน ไม่รวมกลุ่มบุคคลที่เข้าบาห์เรนด้วยวีซ่าประเภท Visit ที่อยู่เกินกำหนด นอกจากนั้น แรงงานสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 17506055 โดยการ
นิรโทษกรรมนี้ไม่เสียค่าใช้จ่าย หากมีผู้เรียกเก็บเงินให้แจ้งต่อหน่วยงาน LMRA ทันที

สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมานามา
http://www.thaiembassy.org/manama

กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
กรมการกงสุล
กระทรวงการต่างประเทศ
123 ถ.แจ้งวัฒนะ ทุ่งสองห้อง หลักสี่ กทม 10210
โทร. 0 2575 1047-51
โทรสาร  0 2575 1052
http://protectthaicitizen.blogspot.com
www.facebook.com/protectthai.consular