วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2555

งามหน้าอีกแล้ว แรงงานไทยลักทรัพย์นายจ้างที่คูเวต



แรงงานไทยเป็นแรงงานที่มีชื่อเสียง ได้รับความชื่นชมจากนายจ้างต่างชาติเป็นอย่างมากในเรื่องของความขยันขันแข็ง ความซื่อสัตย์ และฝีมือดี ทุกวันนี้นายจ้างต่างชาติมักจะเลือกเอาแรงงานไทยไว้ก่อนแรงงานชาติอื่น
แต่ข้อเสียของแรงงานไทยก็มีมากด้วยเช่นกัน และเป็นข้อเสียที่แก้ไม่หายมาจนทุกวันนี้ นั่นก็คือ เรื่องของการดื่มสุรา ซึ่งสุราก็จะพาวิบัติไปถึงเรื่องการพนัน การทะเลาะวิวาท หนักไปจนถึงการก่ออาชญากรรม ล่าสุด ที่ประเทศคูเวต นายจ้างที่รับเหมาก่อสร้างรายหนึ่งไล่คนงานไทยออก 1 ราย เนื่องจากจับได้ว่าพยายามลักลอบนำวัสดุก่อสร้างไปขาย กำลังจะส่งตัวให้ตำรวจไปดำเนินคดีแต่สถานทูตไทยต้องวิ่งโร่ไปไกล่เกลี่ยขออย่าให้แจ้งความดำเนินดคีเพราะแรงงานไทยรายนี้อายุมากถึง 55 ปี แล้ว และทำงานให้บริษัทนี้มานานกว่า 20 ปี ด้วยเหตุผลด้านมนุษยธรรม นายจ้างก็เลยไม่จับส่งตำรวจแต่ก็ไม่อาจจะจ้างงานต่อไปได้อีก จึงไล่ออกและส่งตัวกลับประเทศไทยทันที

สถานทูต รายงานด้วยว่า แรงงานไทยรายนี้ทำให้ภาพลักษณ์ของแรงงานไทยเสื่อมเสียเป็นอย่างมาก เพราะมีพฤติกรรมติดการพนันและเป็นเจ้ามือหวยใต้ดิน รวมทั้งยังต้มสุราเถื่อนอีกด้วย ทั้งๆ ที่รู้ว่าการพนันและการดื่มสุราเป็นเรื่องผิดกฎหมายของคูเวต แต่ก็ยังมีพฤติกรรมดังกล่าวอยู่อีก

เรื่องนี้ก็น่าจะถือได้ว่า สมน้ำหน้า แรงงานไทยรายนี้ได้รับผลกรรมที่ยังน้อยไป เพราะไปก่อเรื่องที่นอกจากจะผิดศีลธรรมอย่างแรงแล้ว ยังทำให้ภาพลักษณ์ของคนไทยและแรงงานไทยต้องเสื่อมเสีย ถูกไล่ออกส่งตัวกลับไทยต้องกลายเป็นคนแก่ตกงานรับผลกรรมที่ตัวกระทำแล้ว คนไทยอื่นๆ ก็อย่าไปเจริญรอยตามนายคนนี้นะครับ ขอเตือน

ด้วยความปรารถนาดีจาก : สถานเอกอัครราชทูต ณ คูเวต
                            กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
                            กรมการกงสุล  กระทรวงการต่างประเทศ
  

วันพุธที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2555

ถูกใช้งานหนัก แม่บ้านไทยสุดทน เผ่นหนีขอความช่วยเหลือสถานทูต



สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย แจ้งว่า ได้ให้ความช่วยเหลือหญิงไทย 1 ราย และส่งตัวกลับประเทศไทยเมื่อวันที่ 20 มี.ค. 55
หญิงไทยรายดังกล่าว แจ้งว่า ตนสมัครใจไปทำงานที่ด้วยตัวเอง โดยไปติดต่อกับบริษัทแห่งหนึ่งในตึก SV City ถนนพระราม 3 ตามที่เพื่อนคนหนึ่งแนะนำ บริษัทนี้มีทั้งคนไทยและคนอาหรับทำงานอยู่ พนักงานชาวอาหรับได้เสนอให้ตนไปทำงานเป็นแม่บ้านโดยจะได้รับเงินเดือนประมาณ เดือนละ 10,000 บาท รวมค่ากินอยู่ ซึ่งตนเห็นว่าแม้เงินเดือนจะไม่มากแต่ก็น่าสนใจเพราะไม่ต้องจ่ายค่าที่พักและอาหารจึงได้ตกลงใจรับข้อเสนอ
จากนั้น ทางบริษัทก็ดำเนินการจัดส่งหญิงไทยรายนี้ไปทำงานเป็นแม่บ้านให้กับครอบครัวชาวซาอุดิอาระเบียครอบครัวหนึ่งที่พำนักอยู่ในประเทศอินเดีย เมื่อเดินทางไปถึงอินเดีย นายจ้่างก็ยึดหนังสือเดินทางไว้และใช้งานตนอย่างหนักจนทนไม่ไหว พอสบโอกาสจึงได้หลบหนีมายังสถานทูตและขอให้ช่วยเหลือส่งตัวกลับประเทศไทย
สถานทูตพิจารณาหาทางช่วยเหลือเพื่อให้หญิงไทยรายนี้ได้ค่าจ้างที่ควรได้ แต่เนื่องจากหญิงไทยรายนี้สมัครใจมาทำงานเอง ไม่มีการทำสัญญาจ้างงานที่ถูกต้อง จึงไม่สามารถเรียกร้องผลประโยชน์ต่างๆ ได้ อีกทั้งยังเดินทางเข้าประเทศอินเดียด้วยวีซ่าท่องเที่ยวซึ่งเท่ากับทำงานอย่างผิดกฎหมายในอินเดีย สถานทูตจึงจำเป็นต้องส่งตัวแม่บ้านไทยรายนี้กลับประเทศไทยโดยเร็ว เพราะหากปล่อยไว้นานจนวีซ่าหมดอายุก็จะมีปัญหากับ ตม. อินเดีย ถูกจับและปรับ โชคร้ายซ้ำซ้อนเข้าไปอีก

เรื่องนี้เป็นอุทธาหรณ์อีกเรื่องหนึ่งที่อยากให้คนที่ต้องการไปทำงานในต่างประเทศให้ดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย คือต้องมีสัญญาจ้่างงานที่ถูกต้อง มีตราประทับรับรองจากสถานทูตไทยหรือกระทรวงแรงงานของไทย และวีซ่าที่ได้รับจะต้องเป็นวีซ่าทำงาน ไม่ใช่วีซ่าท่องเที่ยว

ที่มา : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงนิวเดลี
          กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
          กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ

วันอังคารที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2555

การลักลอบเข้าเมือง: ชีวิตที่ต้องหลบซ่อน



สถานเอกอัครราชทูต ณ สิงคโปร์ได้รายงานว่า เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2555 มีชายไทย 1 คนได้เข้ามอบตัวกับ เจ้าหน้าสถานเอกอัครราชูตฯ เนื่องจากได้ลักลอบเข้าเมืองและพำนักอยู่ในสิงคโปร์อย่างผิดกฎหมายเป็นเวลากว่า 3 ปี
ชายไทยคนดังกล่าว พร้อมเพื่อนชาวไทยอีก 2 คน ได้ลักลอบเดินทางเข้าสิงคโปร์ผ่านทางเรือบรรทุกจากประเทศมาเลเซีย โดยได้ดำเนินการผ่านนายหน้าชาวไทยและเสียค่าหัวคนละ 30,000 บาท เพื่อมาเป็นแรงงานทำงานก่อสร้าง เก็บปูน ขนเหล็ก โดยได้ตกลงราคาค่าแรงไว้ เป็นเงินวันละ 30 ดอลลาร์สิงคโปร์ (ประมาณ 750 บาท) แต่ในความเป็นจริงกลับกลายเป็นว่าได้รับค่าแรงบ้าง ไม่ได้บ้าง เพื่อนอีก 2 คนที่เดินทางไปทำงานด้วยกันทนไม่ไหว จึงตัดสินใจกลับประเทศไทยไปก่อน
แต่ชายไทยคนดังกล่าวยังคงอยู่ทำงานต่อ... และได้อาศัยตึกก่อสร้างเป็นที่หลับนอนหรือใช้วิธีกางเต้นท์นอนในป่า โดยอยู่อย่างไม่มีที่พักเป็นหลักแหล่งมาเป็นเวลากว่า 3 ปี...
เมื่อชายไทยผู้นี้ประสงค์จะเดินทางกลับประเทศไทย แต่ไม่มีหนังสือเดินทาง จึงเข้ามอบตัวขอความช่วยเหลือจากสถานเอกอัครราชทูตฯ แต่ก็ยังไม่สามารถเดินทางกลับประเทศไทยได้ เนื่องจากตำรวจสิงคโปร์ได้แจ้งข้อหา ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย ต้องถูกปรับและจำคุกตามกฎหมายเสียก่อน จึงจะได้รับการอนุญาตปล่อยตัวกลับประเทศไทย
การลักลอบเข้าเมืองด้วยวิธีผิดกฎหมายนั้น เสี่ยงอันตรายมาก... 3 ปีที่อยู่สิงคโปร์ ต้องหลบซ่อน อดอยาก ในที่สุดก็ทนไม่ได้ต้องเข้ามอบตัว และยังได้รับโทษตามกฎหมายเป็นของแถม...เป็นการเสี่ยงที่ไม่คุ้มค่าอย่างยิ่ง!
ที่มากองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
                           กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ

เป็นสาวเป็นนาง “อย่าบินเดี่ยว” เที่ยวสถานบันเทิง




เมื่อเร็วๆ นี้ นายสมพงษ์ กางทอง อัครราชทูตที่ปรึกษา ประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ได้รายงานเหตุการณ์กวาดล้างจับกุมโสเภณีครั้งใหญ่กลางเมืองหลวงของประเทศมาเลเซีย ระหว่างวันที่ 11-12 กุมภาพันธ์ 2555 เจ้าหน้าที่ตำรวจปราบปรามได้บุกตรวจค้นสถานบันเทิงและร้านอาหารหลายแห่งในย่าน Bukit Bintang, Pudu และ Seda รวบตัวหญิงชาติต่างๆ ได้เกือบ 150 คน ในคราวเดียวกัน ในจำนวนนี้มีหญิงไทย 39 คน ถูกจับตัวไปด้วย
หญิงสาวที่ถูกจับกุมส่วนใหญ่ถูกตั้งข้อหาค้าประเวณี ลักลอบทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต การทำงานโดยอาศัยวีซ่านักเรียน หรือทำงานอยู่ในสถานที่ที่ไม่ตรงกับที่ระบุไว้ในใบอนุญาต
โดยเฉพาะข้อหาค้าประเวณี...พฤติกรรมการค้าประเวณีตามสถานบันเทิง ผับ บาร์ ในย่านบางแห่งที่สังเกตได้ง่ายว่า จะมีผู้หญิงนั่งดื่มเป็นกลุ่มเพื่อรอจับลูกค้า แต่เมื่อถูกตำรวจจับ ก็ปฏิเสธว่าตนแค่เข้ามาเที่ยวดื่มกิน ไม่ได้มาขายตัว... แต่ข้ออ้างอย่างนี้ ที่ประเทศมาเลเซียมีกฎหมายดักคอไว้แล้ว นั่นคือ ผู้หญิงทุกคนที่เข้าสถานบังเทิงจะต้อง ไปพร้อมกับสามี (ที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย) เท่านั้น หรือหากสามีไม่ได้ไปด้วย ก็ต้อง พกทะเบียนสมรสติดตัว มิฉะนั้นอาจถูกมองว่ามีเจตนารอค้าประเวณีได้
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ต้องเข้าใจด้วยว่ากฏหมายของมาเลเซียย่อมเคร่งครัดตามหลักศาสนาของประเทศ เรียกว่าบังคับใช้อย่างเข้มงวดในทุกรัฐในมาเลเซียและใช้กับทุกคน ไม่มีข้อยกเว้นไม่ว่าจะเป็นคนมาเลย์หรือต่างชาติก็ตาม
 สาว โสด ทั้งหลายที่นิยมเที่ยวสถานบันเทิง ต้องระวังและอย่าหลงเข้าไปปะปนใกล้ชิดกับหญิงสาวที่มีพฤติกรรมสุ่มเสี่ยงเช่นนี้ เพราะมีสิทธิถูกตำรวจจับในมาเลเซียได้ทุกเมื่อ!!

ที่มา : กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ

ค้ามนุษย์ โอละพ่อ!!




กรมการกงสุล ได้รับคำร้องเรื่องหญิงสาวชาวไทยที่อาศัยอยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย ได้โทรศัพท์หาญาติและแจ้งว่าตนเองถูกจับตัวและถูกบังคับให้ค้าประเวณีโดยที่ตนไม่เต็มใจ อีกทั้งยังให้เสพยาเสพติดด้วย จึงขอให้ญาติช่วยแจ้งทางการไทยให้รีบมาช่วยเหลือโดยเร็ว
แต่เมื่อเจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงแคนเบอร์ร่า ประเทศออสเตรเลีย ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง กลับกลายเป็นเรื่องโอละพ่อไปเสียนี่....
หญิงไทยคนดังกล่าวได้ยอมรับว่า ตนเองอยู่ในอาการมึนเมาสุราและขาดสติ และยืนยันว่าตนไม่ได้ถูกจับตัวหรือถูกบังคับให้ขายตัวแต่อย่างใด พร้อมทั้งแจ้งว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องเข้าใจผิด!!!
กรมการกงสุลจึงขอเตือนว่า อย่าพูดเล่นกับญาติเรื่องการค้ามนุษย์ เพราะการค้ามนุษย์เป็นเรื่องใหญ่ และในหลายประเทศถือเป็นเรื่องสำคัญและมีการปราบปรามอย่างจริงจัง ทางการของแต่ละประเทศอาจส่งตำรวจเข้าไปตรวจสอบจับกุม และผู้แจ้งอาจถูกจับข้อหาพูดความเท็จได้

ที่มา : กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ

เรียนหนังสือที่อินเดีย



อินเดีย เป็นอีกประเทศหนึ่งที่คนไทยนิยมส่งลูกหลานตนเองไปเรียน เนื่องจากระบบการศึกษาของอินเดียได้มาตรฐาน ค่าใช้จ่ายไม่สูงมาก ระยะทางไม่ไกลจากประเทศไทยมากนัก และที่สำคัญคือใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักในการเรียนการสอน
ในปัจจุบันมีนักเรียนไทยอยู่ที่ประเทศอินเดียประมาณ 1,500 คน โดยศึกษาอยู่ที่ บังกาลอร์ อ็อตตี้ นิวเดลี มุมไบ ปูเน่ และชิมลา ซึ่งนักเรียนไทยจะเดินทางไปศึกษาในชั้นประถม-มัธยม มหาวิทยาลัย หรือไปเรียนหลักสูตรภาษาอังกฤษแบบสั้น ซึ่งมักจะติดต่อผ่านนายหน้าแนะแนวทางการศึกษา
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูต/สถานกงสุลใหญ่ไทย ในประเทศอินเดีย มักได้รับการร้องเรียนจากนักเรียนไทยที่มาศึกษาต่อที่ประเทศอินเดีย ว่าประสบปัญหาด้านการเรียน และการปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมอินเดีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัฒนธรรมการลงโทษ การลงโทษนักเรียนส่วนมากจะใช้วิธีกักบริเวณ และโดยที่นักเรียนไทยในประเทศอินเดียส่วนใหญ่เป็นนักเรียนประจำ จึงไม่มีใครอยากทำผิดและถูกลงโทษ เพราะนั่นหมายถึงการอดออกไปเที่ยวนอกโรงเรียนในวันเสาร์-อาทิตย์
นอกจากนี้ยังมีปัญหาการถูกทำร้ายร่างกายจากนักเรียนอินเดีย รวมไปถึงการเรียนการสอนที่มักจะใช้ภาษาฮินดีควบคู่ไปกับภาษาอังกฤษ ทำให้นักเรียนไทยไม่เข้าใจบทเรียน ส่งผลให้สอบไม่ผ่าน และกลายเป็นเด็กมีปัญหาในที่สุด
ผู้ที่สนใจจะส่งลูกหลานไปเรียนที่ประเทศอินเดียควรพิจารณาให้รอบคอบ อย่าหลงเชื่อคำโฆษณาของสถาบันแนะแนวการศึกษาโดยไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริง ที่สำคัญคือควรให้นักเรียนรายงานตัวต่อสถานเอกอัครราชทูต/สถานกงสุลใหญ่ไทย ในประเทศอินเดีย เพื่อเจ้าหน้าที่จะสามารถช่วยดูแลเด็กนักเรียนได้อย่างทั่วถึงและทันท่วงที
ที่มา : กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ

หมอนวดไทย “เกือบ” ถูกหลอกในอียิปต์



เมื่อปลายปีที่แล้ว เคยเสนอข่าวเตือนภัยเกี่ยวกับหมอนวดชายถูกกลุ่มมิจฉาชีพชาวอียิปต์แอบอ้างเป็นนายหน้าหางานให้ในต่างประเทศ และหลังจากที่จ่ายเงินจ่ายทองไปเป็นค่านายหน้าให้แล้ว สุดท้ายก็ถูกกลุ่มมิจฉาชีพดังกล่าวเชิดเงินหนีไป
          มาคราวนี้ หมอนวดที่เกือบตกเป็นเหยื่อเป็นผู้หญิง และไหวตัวทันเสียก่อน...
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ ได้รับแจ้งจากหญิงไทยว่า ได้สมัครงานเป็นพนักงานสปาของโรงแรม 5 ดาวแห่งหนึ่ง ในกรุงไคโร และได้รับการตอบรับทางอีเมลจาก Mr. Adam Mohammed ซึ่งอ้างว่าเป็นผู้จัดการทั่วไปของโรงแรมดังกล่าว และแจ้งให้ผู้สมัครงานเดินทางไปกรุงไคโรด้วยวีซ่าท่องเที่ยว และให้รับผิดชอบค่าตั๋วเครื่องบินไปก่อนล่วงหน้า แต่จะจัดหาที่พักและอาหารให้ รวมทั้งยังได้แจ้งว่าหากสามารถแนะนำเพื่อนให้ร่วมเดินทางไปทำงานเป็นพนักงานสปาที่โรงแรม จะได้รับค่านายหน้าเพิ่มอีกด้วย
หมอนวดหญิงไทย จึงได้ขอให้สถานเอกอัครราชทูตฯ ตรวจสอบข้อเท็จจริงและได้ทราบว่าเป็นการหลอกลวง เนื่องจากไม่มีการเปิดรับสมัครในตำแหน่งงานดังกล่าว และไม่มีรายชื่อ Mr. Adamฯ เป็นพนักงานของโรงแรมด้วย
กรมการกงสุล จึงขอเตือนคนไทยอย่าได้หลงเชื่อคำโฆษณาของของกลุ่มมิจฉาชีพ หากไม่แน่ใจหรือมีข้อสงสัยสามารถตรวจสอบได้ที่สถานเอกอัครราชทูต/ สถานกงสุลใหญ่ หรือติดต่อกรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ ได้ที่ 02-575-1049-51 หรือ 02-203-5000
ที่มา : กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ

ปราบค้ามนุษย์ที่ออสเตรเลีย: ฝรั่งเอาจริง



เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2555 ทางการออสเตรเลียได้ส่งกำลัง จนท. ตำรวจ บุกเข้าตรวจค้นสถานที่พักอาศัยและแหล่งธุรกิจหลายแห่งในเมือง Cabramatta, Casula, Guildford และ Canley Heights ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของนครซิดนีย์ และได้จับกุมเจ้าของบ้านรายหนึ่งซึ่งใช้ที่พักของตนเป็นสถานบริการ มีหญิงไทย 3 ราย อายุประมาณ 20 ปี ถูกกักขังและบังคับให้ค้าประเวณี
หญิงไทยกลุ่มดังกล่าว ถูกหลอกให้เดินทางเข้าประเทศออสเตรเลีย ตั้งแต่ปี 2554 โดยใช้วีซ่าประเภทนักเรียน และเมื่อไปถึงถูกนายจ้างยึดหนังสือเดินทาง และบังคับให้ทำงานขายบริการ
การจับกุมสถานบริการปิดกฎหมายครั้งนี้ นับเป็นข่าวใหญ่ในสังคมฝรั่งพอสมควร เพราะเรื่องอย่างนี้ถือเป็นการค้ามนุษย์ที่มีการแสวงหาผลประโยชน์และเอาเปรียบต่อเพื่อมนุษย์ด้วยกัน ฝรั่งเขายอมรับไม่ได้
นับตั้งแต่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่สถานกงสุลใหญ่ ณ นครซิดนีย์ ได้พยายามประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจออสเตรเลีย เพื่อขออนุญาตเข้าเยี่ยมและให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้นแก่หญิงไทยทั้ง 3 ราย แต่ยังไม่ได้รับอนุญาต เพราะตำรวจฯ ต้องสอบสวนและกันตัวหญิงไทย ชเป็นพยานในศาล
งานนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจออสเตรเลียยืนยันกับเจ้าหน้าที่สถานกงสุลฯ ว่าไม่ต้องเป็นห่วง จะให้ความช่วยเหลือหญิงไทยอย่างเต็มที่ ในฐานะเหยื่อขบวนการค้ามนุษย์ โดยในขณะนี้หญิงไทยถูกส่งตัวไปอยู่ในความดูแลของสภากาชาดออสเตรเลีย เพื่อรอขึ้นศาลเป็นพยานในคดีค้ามนุษย์ และหลังจากนั้นจะได้รับการอนุญาตให้เดินทางกลับประเทศไทยได้

ที่มา : กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ

นวดไทยถูกเอาเปรียบที่เคนยา




เป็นอีกกรณีที่ยืนยันว่าธุรกิจนวดแผนไทยในปัจจุบันได้รับความนิยมล้นหลามจากทั่วทุกภูมิภาคในโลกจริงๆ ล่าสุดไปไกลถึงเคนยา ประเทศในภูมิภาคแอฟริกาตะวันออก
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงไนโรบี ประเทศเคนยา รายงานกรณีหมอนวดหญิงไทย 2 คน เดินทางไปทำงานนวดแผนไทยที่เคนยา ถูกนายจ้างชาวเคนยาใช้งานหนักและเอาเปรียบ จึงได้รายงานให้เจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตฯ ทราบ และเดินทางกลับประเทศไทย
หมอนวดทั้ง 2 คน ได้รับการชักชวนจากลูกค้าชาวเคนยาที่เคยพบกันที่ประเทศไทย ให้ไปทำงานที่ร้าน Lintons Beauty World ในกรุงไนโรบี ซึ่งนายจ้างชาวเคนยาสัญญาว่าจะรับผิดชอบค่าอาหาร-ที่พัก ค่าบัตรโดยสารเครื่องบินกรุงเทพฯ-ไนโรบี และค่าใบอนุญาตทำงาน รวมถึงเงื่อนไขที่จะให้หมอนวดไทยทั้ง 2 คน ฝึกสอนพนักงานชาวเคนยาเกี่ยวกับการนวดแผนไทยด้วย
แต่เมื่อเดินทางถึงประเทศเคนยา สิ่งที่เคยหวังกลับไม่เป็นเช่นนั้น... หมอนวดไทยทั้ง 2 คน ถูกบังคับให้เซ็นต์สัญญาตามข้อตกลงที่นายจ้างเขียนขึ้นมาเอง โดยไม่ผ่านการรับรองจากทั้งหน่วยงานไทยและเคนยา สุดท้ายจึงไม่พ้นการถูกนายจ้างเอาเปรียบ ใช้งานหนัก ไม่รับผิดชอบค่าใช้จ่ายตามที่ตกลงกันไว้ และยังไม่ได้รับเงินเดือนเท่ากับจำนวนที่เคยสัญญาไว้อีกด้วย
ผู้ที่สนใจจะเดินทางไปทำงานนวดแผนไทยในต่างประเทศ ควรดำเนินการตามกระบวนการที่ถูกต้องตามกฎหมาย โดยเฉพาะในเรื่องสัญญาจ้างงาน ต้องแจ้งผ่านกระทรวงแรงงานและให้สถานเอกอัครราชทูต/สถานกงสุลใหญ่ไทยในต่างประเทศ รับรองก่อนเริ่มทำงาน และแรงงานไทยจะต้องได้รับใบอนุญาตทำงานจากประเทศปลายทางก่อนเดินทางไปทำงานด้วย
มิฉะนั้น การถูกเอารัดเอาเปรียบจากนายจ้าง ถูกใช้งานหนัก เป็นแรงงานเถื่อน และความเสี่ยงต่อการถูกจับข้อหาลักลอบทำงาน อาจเกิดขึ้นกับตัวคุณเอง หากเพียงหลงเชื่อคำชักชวนจากเพื่อนหรือบุคคลใกล้ชิด โดยไม่ตรวจสอบให้รอบคอบเสียก่อน!

ที่มา : กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ

คนไทยต่างแดนเฮ ต่ออายุบัตร ปชช. ได้ ไม่ต้องกลับไทย





เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2555 นายยงยุทธ์ วิชัยดิษฐ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ลงนามร่วมกันในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MoU) ในการต่ออายุบัตรประชาชนให้กับคนไทยที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศ ณ สถานเอกอัครราชทูต/สถานกงสุลใหญ่ เพื่อการประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทางกลับมาดำเนินการต่ออายุบัตรประชาชนด้วยตนเองที่ประเทศไทย
การลงนามข้อตกลงดังกล่าว เป็นการแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือและการทำงานร่วมกันแบบบูรณาการระหว่างกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงมหาดไทย โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง ตามนโยบายการทูตเพื่อประชาชน
ภายในเดือนกันยายน 2555 คนไทยจะสามารถต่ออายุบัตรประชาชนที่สถานเอกอัครราชทูต/สถานกงสุลใหญ่ ในพื้นที่ 5 แห่ง ที่มีจำนวนคนไทยอาศัยอย่างหนาแน่น ได้แก่
1. สถานกงสุลใหญ่ ณ นครลอสแอนเจลิส           สหรัฐอเมริกา
2. สถานกงสุลใหญ่ ณ นครนิวยอร์ก                 สหรัฐอเมริกา
3. สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเบอร์ลิน            เยอรมันี
4. สำนักงานการค้าและเศรษฐกิจไทย               ไทเป
5. สถานกงสุลใหญ่ ณ นครซิดนีย์                   ออสเตรเลีย
กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ จะทยอยดำเนินโครงการระยะที่ 2 อีก 16 แห่ง ในปี 2556 ที่ วอชิงตัน ชิคาโก แฟรงก์เฟิร์ต สตอกโฮส์ม ออสโล โคเปนเฮเกน ลอนดอน เบิร์น บรัสเซลส์ ปารีส เวียนนา โรม เฮก ริยาด เจดดาห์ แคนเบอร์รา และปี 2557 จำดำเนินโครงการระยะที่ 3 ครอบคลุมทุกประเทศที่มีสถานเออัครราชทูต/สถานกงสุลใหญ่ไทย ตั้งอยู่
            โดยสถานเอกอัครราชทูต/สถานกงสุลใหญ่ จะให้การบริการประชาชนเฉพาะในกรณีออกบัตรประจำตัวประชาชนใหม่แทนบัตรเก่าที่หมดอายุ ชำรุด หรือสูญหายเท่านั้น

          ที่มา : กองสัญชาติและนิติกรณ์ กรมการกงสุล

เรียนต่อที่อิสราเอล




นอกจากคนไทยจะรู้จักประเทศอิสราเอลในฐานะตลาดแรงงานไทยแล้ว อิสราเอลยังขึ้นชื่อในด้านการศึกษาอีกด้วย ในภาพรวมอิสราเอลได้ชื่อว่ามีความเป็นเลิศด้านการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่ได้รับการจัดอันดับจากนิตยสาร Times ในปี 2554 ว่า 3 มหาวิทยาลัยของอิสราเอลเป็นหนึ่งใน 200 แห่งที่ดีที่สุดในโลกเลยทีเดียว
มหาวิทยาลัยของรัฐที่มีชื่อเสียงของอิสราเอลได้แก่ The Technion, The Hebrew University of Jerusalem, Ben Gurion Univerity of the Negev และ Tel Aviv University ระบบการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่จะเนินการค้นคว้าวิจัย โดยหลักสูตรปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยต่างๆ ของอิสราเอล จะใช้ภาษาฮิบรูในการเรียนการสอน โดยจะใช้เวลาเรียนตั้งแต่ 3-5 ปี แล้วแต่หลักสูตรของแต่ละสาขา
ปัจจุบัน ประเทศไทยและอิสราเอลมีความร่วมมือในด้านการศึกษาระดับอุดมศึกษาอย่างเป็นรูปธรรม ภายใต้การดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกอุดมศึกษาแห่งชาติกับ Council for Higher Education ของอิสราเอล โดยนักเรียนที่จบระดับมัธยมศึกษาตอนปลายของไทย จะต้องผ่านหลักสูตรเตรียมความพร้อมของมหาวิทยาลัย (เรียก Mechina) เป็นเวลา 1 ปี จึงจะได้รับการพิจารณาให้เข้าเรียนในระดับปริญญาตรี
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าอิสราเอลจะเป็นประเทศที่มีสภาพแวดล้อมและคุณภาพชีวิตที่ดี แต่ปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ โดยเฉพาะปัญหาชายแดนและปัญหาความมั่นคงกับปาเลสไตน์ ยังคงมีอยู่และเป็นข่าวใหญ่ให้ทราบกันอยู่บ่อยครั้ง
ผู้ที่สนใจจะส่งลูกหลายไปเรียน หรือส่งตัวเองไปทำงานที่อิสราเอล ควรจะต้องสามารถปรับตัวให้เข้ากับวิถีชีวิต สังคม และวัฒนธรรม โดยเฉพาะความเชื่อทางประวัติศาสตร์และศาสนาของชาวอิสราเอล รวมถึงเตรียมพร้อมต่อความกดดันในสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศได้ด้วย

ที่มา : กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
        กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ


วันพุธที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2555

เตือนหญิงไทย อย่าไปเลย มาเลเซีย




ปัญหาซึ่งเป็นที่ปวดสมองของทั้งทางการมาเลเซียและสถานทูตไทยที่มาเลเซียอยู่ขณะนี้คือปัญหาช่องโหว่ของกฎหมายที่มีการจัดให้หญิงต่างชาติจดทะเบียนสมรสอำพรางกับชายชาวมาเลย์เพื่อขอวีซ่าคู่สมรสแล้วทำงานผิดกฎหมาย (อย่างถูกกฎหมาย) ในมาเลเซีย

เมื่อเร็วๆ นี้ มาเลเซียได้เปิดเผยรายงานตีแผ่ขบวนการที่อาศัยช่องโหว่ของกฎหมายเข้าเมืองและระเบียบการให้วีซ่าของมาเลเซีย นำหญิงต่างชาติเข้าไปจดทะเบียนสมรสและขายบริการทางเพศ โดยหญิงต่างชาติที่เป็นกลุ่มเป้าหมายจะเป็นหญิงมาจากชาติในเอเชีย ซึ่งแน่นอน รวมทั้งหญิงไทยด้วย พอจดทะเบียนสมรสแล้ว หญิงเหล่านี้ก็จะเข้าสู่วังวนนรก ต้องไปขายบริการทางเพศ และตกเป็นหนี้โดยไม่มีวันชดใช้หมด หญิงไทยรายหนึ่งที่ได้รับการช่วยเหลือจากสถานทูตให้ปากคำว่า พวกตนจะถูกรีดไถจากสามีในนามเป็นรายเดือนๆ ละ 300-500 ริงกิต (ประมาณ 3,000-5,000 บาท) โดยนายจ้างจะหักจากค่าแรงไว้ให้่ทุกเดือน และเมื่อสิ้นปีต้องให้สามีไปลงนามยืนยันการเป็นภรรยาเพื่อต่อวีซ่าก็จะต้องจ่ายเงินให้อีก 3,000 ริงกิต (ประมาณ 30,000 บาท) ถ้าคิดรวมๆ หญิงไทยจะต้องจ่ายเงินตลอดปีให้ชายชั่ว และนายจ้างเลว ไม่ต่ำกว่า 5,000 ริงกิต (ประมาณ 50,00 บาท) และถ้าต้องการจะหย่าก็จะต้องจ้างทนายให้ดำเนินเรื่องให้อีกคนละ 5,000 ริงกิต และจะใช้เวลาฟ้องหย่าประมาณ 6 เดือน

ที่ว่ามายังสาหัสไม่พอ ถ้าใครคิดหนี พวกนี้ก็ได้วางมาตรการไว้แล้ว โดยบังคับให้เพื่อนหญิงไทยอีกคนหนึ่งทำสัญญาค้ำประกันซึ่งกันและกันไว้ คนหนึ่งหนีไป อีกคนต้องจ่ายเงินให้พวกชั่วแทน บางรายนายจ้างชั่วจะหักเงินประกันการหลบหนีไว้ล่วงหน้าประมาณ 8,000-10,000 ริงกิต (ประมาณ 80,000-100,000 บาท)

สถานทูตไทยก็ได้พยายามทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้หญิงไทยต้องตกอยู่ในมหันตภัยแห่งชีวิตแบบนี้ ได้ทำงานร่วมกับฝ่ายมาเลเซียอย่างใกล้ชิดซึ่งทางมาเลเซียเองก็ต้องปวดหัวไม่แพ้กัน เพราะเรื่องนี้เป็นปัญหาช่องว่างทางกฎหมาย กล่าวคือ เหยื่อทุกคนมีทะเบียนสมรสและเอกสารต่างๆ ถูกต้อง เจ้าหน้าที่ไม่สามารถบุกเข้าไปช่วยเหลือได้หากไม่ปรากฎชัดเจนว่ามีการค้าประเวณีหรือเข้าข่ายการค้ามนุษย์ และเหยื่อจะถูกข่มขู่ให้ตอบคำถามเจ้าหน้าที่ว่าทุกคนเต็มใจอยู่ทำงาน นายจ้างเป็นคนดี

ก็ขอฝากเตือนหญิงไทยมาอีกครั้ง ถ้าไม่อยากตกนรกทั้งเป็น ก็อย่าได้แม้แต่จะคิดไปทำงานอย่างว่าในมาเลเซีย อย่าไปหลงเชื่อคำพูดหวานๆ อย่าไปโลภกับจำนวนค่าจ้างสูงๆ ที่พวกนี้มาหว่านล้อม อย่าหลงกล อย่าหลอกตัวเอง จะได้ไม่ตกอยู่ในวงจรอุบาทว์ เหมือนอย่างที่เพื่อนหญิงไทยร่วมชาติของท่านหลายคนกำลังประสบอยู่

ด้วยความปราถนาดี จาก สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์
                                        กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ กรมการกงสุล
                                        กระทรวงการต่างประเทศ

 

อียิปต์เข้มงวดการเข้าเมือง






อียิปต์เข้ม ประกาศจะไม่ออกใบอนุญาตทำงานให้แก่ผู้ที่เดินทางเข้าอียิปต์ด้วยวีซ่าท่องเที่ยวอีกต่อไป หวังลดปัญหาการค้ามนุษย์และการลักลอบเข้ามาทำงานในอียิปต์โดยผิดกฎหมายของชาวต่างชาติ

สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ รายงานด้วยว่า อัตราการว่างงานในอียิปต์สูงร้อยละ 12.4 ซึ่งถือว่าสูงสุดในรอบ 10 ปี  และเป็นผู้ที่จบปริญญาตรีถึงร้อยละ 36 ขณะที่หลายฝ่ายคาดว่าอัตราการว่างงานที่แท้จริง รวมทั้งว่างงานแฝงน่าจะสูงกว่าสถิติของทางการเป็นอันมาก โดยประมาณว่าเฉพาะในเยาวชนอายุระหว่าง 15-29 ปี (ซึ่งมีประมาณ 24 ล้านคน) มีการว่างงานประมาณร้อยละ 20-25ทางการอียิปต์ได้แจ้งเวียนไปยังสถานทูตต่างๆ ในไคโร ขอให้แจ้งต่อคนชาติของตนที่อยู่ในประเทศอียิปต์ว่าให่ปฏิบัติตามกฎหมายอียิปต์อย่างเคร่งครัด และย้ำว่าผู้ที่จะเข้ามาทำงานในอียิปต์จะต้องได้รับวีซ่าทำงาน ไม่ใช่วีซ่าประเภทอื่นโดยเฉพาะวีซ่าท่องเที่ยว

ก่อนหน้านี้ ชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าไปในอียิปต์ด้วยวีซ่าท่องเที่ยวสามารถไปขออนุญาตทำงานได้หากนายจ้างเป็นผู้ดำเนินเรื่องให้ ซึ่งเป็นเหตุให้มีคนไทยหลายรายเดินทางเข้ามาในอียิปต์โดยได้รับคำมั่นจากนายจ้างว่าเมื่อเดินทางมาถึงก็จะดำเนินเรื่องเพื่อขอใบอนุญาตให้ แต่เมื่อไปถึงนายจ้างบางรายก็ไม่ได้ดำเนินเรื่องให้ ทำให้แรงงานไทยต้องหลบทำงานในอียิปต์อย่างผิดกฎหมาย ซึ่งที่ผ่านมาหากถูกจับได้ก็จะถูกเนรเทศกลับไทยโดยไม่ต้องถูกจำคุก ส่วนคนไทยที่อยู่เกินกำหนดวีซ่า ก็จะถูกปรับเพียง 200-300 ปอนด์อียิปต์ (ประมาณ 1,000.- บาท) ก็สามารถเดินทางกลับประเทศไทยได้ และแม้บางคนจะถูกขึ้นบัญชีดำห้ามเดินทางเข้าอียิปต์ไว้ แต่หากกลับไปเปลี่ยนชื่อก็สามารถเดินทางเข้าอียิปต์ได้อีก

การออกมาตรการห้ามคนต่างชาติที่มีวีซ่าท่องเที่ยวทำงานในอียิปต์นี้ จะส่งผลกระทบต่อคนไทยในอียิปต์อย่างแน่นอน เพราะในอียิปต์มีคนไทยที่ยังคงอาศัยและทำงานอย่างผิดกฎหมายอยู่จำนวนหนึ่ง ทางสถานทูตก็มิได้นิ่งนอนใจ ได้ประชาสัมพันธ์บอกกล่าวให้คนไทยเหล่านี้ได้รับทราบและรีบไปดำเนินการให้เรียบร้อยก่อนที่จะถูกจับและปรับและอาจต้องถูกจำคุกด้วย สถานทูตยังขอฝากข่าวนี้ให้คนไทยที่คิดจะเดินทางเข้าไปทำงานในประเทศอียิปต์ให้ระวังให้ดี

เรื่องนี้ กระทรวงการต่างประเทศขอย้ำอีกครั้ง ย้ำอย่างแรงว่า คนไทยที่จะเดินทางไปทำงานในต่างประเทศ ขอให้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ทั้งกฎหมายของไทยที่กำหนดให้คนที่ี่จะเดินทางไปทำงานต่างประเทศจะต้องดำเนินการผ่านกระทรวงแรงงาน/กระทรวงการต่างประเทศ เท่านั้น และย้ำ ยืนยัน นั่งยัน นอนยัน ว่า อย่าไปเชื่อใครก็ตามที่บอกว่าให้เดินทางไปถึงก่อนแล้วจะดำิเนินการให้ เพราะร้อยทั้งร้อยไม่มีใครทำให้ตามสัญญา เหตุผลก็เพราะว่า การที่นายจ้่างจะขออนุญาตให้คนต่างชาติเข้าไปทำงานได้นั้น แทบทุกประเทศจะมีนโยบายกีดกันต่างชาติโดยจะกำหนดขั้นตอนและเงื่อนไขมากมายจนนายจ้่างไม่สามารถปฏิบัติได้ เช่นกรณีของอียิปต์ กฎหมายกำหนดให้ผู้ประกอบการที่ประสงค์จะจ้างชาวต่างชาติทำงาน จะต้องจ้างชาวอียิปต์ในอัตราส่วน ชาวต่างชาติ 1 คน ต่อชาวอียิปต์ 9 คน ลองคิดดูก็แล้วกันว่า นายจ้่างที่ไหนจะปฏิบัติได้ สมมติว่าร้านอาหารแห่งหนึ่งประสงค์จะจ้างคนไทยไปเป็นพ่อครัวในร้านอาหารเล็กๆ เพียง 1 ตำแหน่ง ซึ่งถ้าปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด เจ้าของร้านจะต้องจ้างคนอียิปต์อีก 9 คน เข้ามาทำงานในร้านเล็กๆ นี้ ด้วย เมื่อทำไม่ได้ เจ้าของกิจการ (ซึ่งในอียิปต์ส่วนใหญ่จะเป็นร้านอาหาร และร้านนวดสปา) ก็จะใช้วิธีเดิมๆ คือ ให้คนงานเข้าอียิปต์โดยวีซ่าท่องเที่ยวแล้วพอเข้าอียิปต์แล้วก็ไม่ได้ดำเนินการอะไรให้ พอวันดีคืนดีถูกตำรวจจับก็จ่ายใต้โต๊ะให้ตำรวจ ตัวเองก็รอดไป ส่วนแรงงานก็ต้องรับเคราะห์ถูกจับกุมและเนรเทศกลับไทย

ที่มา : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงไคโร
         กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ กรมการกงสุล
         กระทรวงการต่างประเทศ

วันจันทร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2555

กงสุลไทยช่วยคนงานในดูไบ







หลังจากที่ได้มีความพยายามในการส่งเสริมและสร้างมาตรฐานให้กับการนวดแผนไทยเพื่อสร้างความเข้าใจและเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของการนวดแผนไทยในเมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองดูไบ ยังคงติดตามจัดระเบียบหมอนวดไทยอย่างต่อเนื่อง โดยการเข้าถึงตัวหมอนวดที่มีปัญหากับนายจ้าง เช่น ถูกทำร้ายร่างกาย (โดนแทง) และต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลเสียค่าใช้จ่ายในอัตราสูง สถานกงสุลก็ได้เจรจากับนายจ้่างให้ช่วยรับผิดชอบค่าใช้จ่ายด้วย หรือที่พบมากที่สุดคือการถูกบังคับให้บริการทางเพศและถูกลวนลามทางเพศ รวมทั้งถูกทำร้ายร่างกายเนื่องจากไม่ยินยอมทำตามที่นายจ้่างต้องการ สถานกงสุลก็ได้ช่วยเจรจากับนายจ้างให้จ่ายเงินค้างจ่ายและช่วยเหลือส่งตัวกลับประเทศไทยในที่สุด อีกปัญหาที่พบมากคือการปลอมแปลงเอกสารโดยพบว่าส่วนใหญ่นายหน้าหรือนายจ้างจะเป็นผู้ดำเนินการเรื่องเอกสารให้คนงานแต่จะเป็นการใช้เอกสารปลอมหรือทำวีซ่าผิดประเภทให้คนงาน คนงานไทยจึงมักถูกจับกุมในข้อหาเอกสารปลอมกันมาก

สถานกงสุลที่ดูไบ แจ้งว่า คนงานไทยที่มาร้องเรียนที่สถานกงสุล นับตั้งแต่เดือน ม.ค. ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน (มี.ค. 55) มีประมาณ 60-70 ราย ร้อยละ 95 เป็นพนักงานนวดของร้านที่มีเจ้าของเป็นคนจีน และเดินทางเข้าดูไบโดยใช้วีซ่าท่องเที่ยว จากนั้นายจ้างจะยื่นเรื่องขอเปลี่ยนเป็นวีซ่าทำงานให้ในภายหลัง แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ดำเนินการให้และยังยึดหนังสือเดินทางไว้ ทำให้กลายเป็นคนทำงานโดยผิดกฎหมาย ขณะเดียวกันก็ไม่สามารถเดินทางกลับประเทศไทยได้ พนักงานนวดที่มาร้องเรียนที่สถานกงสุลแทบทุกรายไม่ต้องการให้นำไปแจ้งความกับตำรวจดูไบเพื่อดำเนินคดีกับนายจ้าง เพราะเกรงจะถูกจับกุมดำเนินดคี และมักต้องการเพียงค่าแรงค้างจ่าย และค่าเสียหายเท่านั้น

ที่สำคัญคือ พวกนายหน้าเถื่อนยังไม่ไดัถูกจับกุมดำเนินคดี ทุกวันนี้ยังคงมีการหลอกลวงคนไทยรายอื่นๆ ต่อไป เพราะฉะนั้น ขอให้ผู้ที่ประสงค์จะไปทำงานนวดสปาในต่างประเทศให้ระมัดระวังให้ดี เพราะท่านอาจถูกหลอกแบบเดียวกับที่คนไทยที่ดูไบโดนมาแล้ว เสียเงิน เสียตัว แล้วยังต้องเสียใจ ไม่ได้อะไรเลย ถ้าพบการหลอกลวงหรือมีผู้มาหว่านล้อมให้ท่านไปทำงานนวดสปาในต่างประเทศขอให้ตั้งข้อสงสัยไว้ก่อน แล้วตรวจสอบกับกระทรวงแรงงานให้แน่ใจ การเดินทางไปทำงานในต่างประเทศนั้น จะต้องดำเนินเรื่องผ่านกระทรวงแรงงานและกระทรวงการต่างประเทศเท่านั้น ถ้ามีผู้กล่าวอ้างว่าให้ทำวีซ่าท่องเที่ยวไปก่อน พอไปถึงแล้วค่อยเปลี่ยนเป็นวีซ่าทำงานก็อย่าเพิ่งไปเชื่อ เพราะส่วนใหญ่การจะเข้าไปทำงานที่ต่างประเทศจะต้องมีวีซ่าประเภททำงานเท่านั้น ไม่ใช่ประเภทท่องเที่ยว

ที่มา : สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองดูไบ

สถานการณ์ล่าสุดในซีเรีย




ตามที่มีเหตุระเบิดรุนแรงขึ้น 2 ครั้ง ในกรุงดามัสกัส ประเทศซีเรีย และมีการเสนอข่าวออกไปทั่วโลก นั้น

สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงริยาด ซึ่งมีเขตอาณารับผิดชอบดูแลประเทศซีเรียด้วย ได้ตรวจสอบไปยังคนไทยซึ่งพำนักอยู่ในกรุงดามัสกัส ทราบว่า คนไทยทุกคนปลอดภัยดี ไม่มีใครได้รับผลกระทบจากเหตุระเบิดดังกล่าว จุดที่ระเบิดเป็นเขตที่ไม่มีคนไทยอาศัยอยู่ นอกจากนี้ คนไทยทุกคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาไม่ได้รู้สึกตื่นตระหนกต่อเหตุระเบิดและยังมีความเชื่อว่าเหตุระเบิดจะยังไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตในกรุงดามัสกัสมากนัก สถานศึกษายังคงเปิดการเรียนการสอนเป็นปกติและนักศึกษาไทยทุกคนยังต้องการเรียนหนังสือให้จบภาคการศึกษานี้

นักศึกษาไทยยังให้ข้อมูลด้วยว่า เมื่อวันที่ 15 มี.ค. ที่ผ่านมา ได้มีการเดินขบวนประท้วงครั้งใหญ่ไปตามถนนสายหลักในกรุงดามัสกัสโดยกลุ่มผู้สนับสนุนประธานาธิบดี Assad สถานทูต จึงได้ย้ำให้นักศึกษาให้ระมัดระวังและคอยติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด ตลอดจนหลีกเลี่ยงที่จะสัญจรไปในสถานที่ๆ มีการชุมนุมหรือเคลื่อนไหวทางการเมือง อีกทั้งขอให้ติดต่อกับสถานกงสุลกิตตมศักดิ์ไทยเป็นระยๆ ด้วย

นอกจากนี้ นักศึกษาไทยยังให้ข้อคิดเห็นว่า ข่าวเกี่ยวกับเหตุรุนแรงในซีเรียที่เสนอโดยสื่อไทยมีความคลาดเคลื่อนและเิกินจริง คนไทยในดามัสกัสทุกคนไม่ได้มีคามรู้สึกถึงความรุนแรงหรือน่ากลัวของสถานการณ์ความมั่นคงในกรุงดามัสกัสตามที่สื่อได้สะท้อนเลย ยิ่งไปกว่านั้น การดำเนินชีวิตในกรุงดามัสกัสยังคงเป็นปกติสุข เหตุกาณ์ความรุนแรงที่เกิดจากการปราบปรามฝ่ายต่อต้านรัฐบาลมีอยู่ตามต่างจังหวัดเท่านั้น  เหตุระเบิดที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นเหตุการณ์เฉพาะ

ที่มา : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงริยาด

เบลเยี่ยมเตรียมเนรเทศหญิงไทย





สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยี่ยมรายงานว่าทางการเบลเยี่ยมกำลังจะดำเนินการเพื่อส่งตัวหญฺงไทย 1 ราย กลับประเทศไทย โดยอ้างว่า หญิงไทยรายดังกล่าวโดยแจ้งข้อหาว่าหญิงไทยรายนี้เข้าเมืองและลักลอบทำงานโดยผิดกฎหมาย

หญิงไทยให้ปากคำว่า เป็นชาวอุตรดิถ์ แต่งงานกับชาวลาวและเดินทางไปประเทศฝรั่งเศสตั้งแต่ปี ค.ศ. 2007 ต่อมาหย่าร้างกันและมาอยู่กินกับชายไทยอีกคนหนึ่งโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน และยังย้ำว่า ตนมีบัตรประจำตัวสำหรับผู้่มีถิ่นพำนักในฝรั่งเศสแต่หมดอายุลงตั้งแต่ปี ค.ศ. 2009 และยังไม่ได้ต่ออายุ
ต่อมาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ได้เดินทางมาที่เมืองอันตเวิร์ป ประเทศเบลเยี่ยมเพื่อเยี่ยมเพื่อนคนไทยที่เปิดร้านอาหารอยู่โดยไม่ได้นำหนังสือเดินทางไทยติดตัวไปด้วยแต่ทิ้งไว้ที่บ้านที่ฝรั่งเศส ตำรวจเบลเยี่ยมได้เข้าตรวจร้านอาหารแห่งนี้เมื่อวันที่ 26 ก.พ. ตนจึงถูกควบคุมตัวไว้เนื่องจากไม่มีเอกสารหลักฐานการเข้าเมืองที่ถูกกฎหมาย และตนไม่อยากถูกส่งตัวกลับประเทศไทยและต้องการไปอยู่ประเทศฝรั่งเศส

สถานทูตได้ขอให้ ตม. ผ่อนปรนดดยชะลอการส่งตัวหญิงไทยรายนี้กลับประเทศไทยเพื่อให้ได้มีโอกาสนำหลักฐานมาแสดงต่อไป ซึ่ง ตม. เบลเยี่ยมให้เวลาอีก 1 สัปดาห์ หากยังไม่สามารถนำหลักฐานมาแสดงก็จะนำตัวส่งกลับประเทศไทยต่อไป

เรื่องนี้เป็นอุทธาหรณ์ให้เราต้องพกพาเอกสารประจำตัวติดตัวไว้เสมอเวลาอยู่ต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือเดินทาง บัตรประจำตับัตรอนุญาตมีถิ้นพำนักถาวร เอกสารเหล่านี้ต้องยังไม่หมดอายุด้วย มิฉะนั้น หากเคราะห์ไม่ดีโดนตรวจพบก็อาจถูกตัวกลับประเทศไทยดังเช่นกรณีของหญิงไทยรายนี้


ที่ีมา : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบร้สเซลส์



วันศุกร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2555

ศาลมาเลเซียตัดสินประหารชีวิต 3 คนไทยข้อหามีอาวุธร้ายแรง





สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย รายงานว่า เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2555 ศาลมาเลเซียได้ตัดสินประหารชีวิตคนไทย 3 คน เป็นชาย 2 คน และหญิง 1 คน ในข้อหามีอาวุธและเครื่องกระสุนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต

นักโทษไทยทั้ง 3 คน ถูกจับกุมพร้อมด้วยชาวมาเเลเซียอีก 1 คน เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2550 พร้อมอาวุธและเครื่องกระสุนในห้องพักโรงแรมแห่งหนึ่ง การตัดสินโทษครั้งนี้เป็นไปตามความผิดสูงสุดของข้อกล่าวหาครอบครองอาวุธร้ายแรง ตาม พ.ร.บ.ความมั่นคง ซึ่งจำเลยยังมีสิทธิที่จะยื่นอุทธรณ์ได้อีก แต่เนื่องจากนักโทษไทยกลุ่มนี้ยังถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในคดีปล้นร้านทองและยิงเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยถึงแกความตายอีกคดีหนึ่งด้วย ซึ่งเป็นคดีที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2550 วันเดียวกับที่ทั้งหมดถูกจับกุม เนื่องจากการปล้นครั้งนั้น คนร้ายคนหนึ่งซึ่งเป็นคนไทยถูกตำรวจยิงเสียชีวิตในที่เกิดเหตุด้วยและในตัวคนร้ายตำรวจพบคีย์การ์ดของโรงแรมที่พักจึงได้พากันมาจับกุมคนร้ายที่เหลือได้

สถานทูตไทยกำลังประสานกับทนายความในเรื่องของคดี แต่เนื่องจากคดีนี้มีพยานหลักฐานแน่นหนา นักโทษไทยจึงไม่น่าจะหลุดพ้นบทลงโทษสูงสุดไปได้เพราะมาเลเซียดำเนินการตามกฎหมายอย่างเข้มงวดลงโทษรุนแรง ช่องทางเดียวที่จะช่วยนักโทษไทยทั้งหมดได้คือต้องรอให้คดีถึงที่สุดในชั้นศาลฎีกา ซึ่งหากยังยืนคำพิพากษาตามศาลชั้นต้นคือประหารชีวิตก็จะขอพระราชทานอภัยโทษด้วยเหตุผลทางมนุษยธรรมต่อไป

ที่มา : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์

คนไทยถูกปล้นในมาดากัสการ์



สถานกงสุลใหญ่ ณ กรุงอันตานานาริโว ประเทศมาดากัสการ์ รายงานสถานการณ์ความไม่ปลอดภัยในประเทศมาดากัสการ์ว่า นับตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2555 เป็นต้นมา สถานการณ์ในประเทศมาดากัสการ์มีแนวโน้มที่มีความไม่ปลอดภัยมากขึ้น มีการจี้ ปล้น เรียกค่าไถ่ ถี่ขึ้นเรื่อยๆ และคนต่างชาติก็ตกเป็นเหยื่อมากขึ้นด้วย

ล่าสุด เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ร้านอาหารไทยชื่อสวัสดี ตั้งอยู่ในเมืองหลวงก็ถูกปล้นในเวลาประมาณ 22.00 น. ระหว่างที่กำลังจะปิดร้าน โดยมีคนร้ายชาวมาดากัสการ์ 6 คน พร้อมอาวุธ และคลุมใบหน้าเข้าจี้บังคับพนักงานของร้านที่เป็นผู้คนไทย 5 คน และทำร้ายร่างกายเพื่อให้บอกที่เก็บเิงิน คนร้ายได้ทรัพย์สินไปประมาณ 200,000 บาท โชคดีที่คนไทยทั้งหมดไม่ได้รับอันตราย

ในเรื่องนี้ กงสุลไทยได้เข้าพบกับอธิบดีกรมตำรวจและกระทรวงการต่างประเทสของมาดากัสการ์เพื่อแจ้งเรื่องนี้ให้ทราบและขอให้ช่วยเหลือดูแลคนไทยที่พำนักและประกอบธุรกิจอยู่ในกรุงอันตานานาริโว พร้อมทั้งยังได้เรียกประชุมคนไทยเพื่อปรึกษาหารือถึงการรักษาความปลอดภัยและเป็นกำลังใจให้กับพนักงานร้านอาหารสวัสดีที่ถูกปล้น

สถานการณ์ความปลอดภัยในมาดากัสการ์เลวร้ายลงเนื่องจากปัญหาด้านการเมืองที่ส่งผลถึงเศรษฐกิจ ค่าครองชีพที่สูงขึ้น และสาธารณูปโภคพื้นฐานพากันปรับขึ้นราคา ประกอบกับมีความขัดแย้งกันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจกับผู้พิพากษาที่ยังไม่ยุติ ทำให้ผู้พิพากษาประท้วงหยุดงานไม่ทำหน้าที่ตัดสินคดีความ ตำรวจจึงต้องปล่อยตัวผู้กระทำผิดเป็นจำนวนมาก

ที่มา : สถานกงสุลใหญ่ ณ กรุงอันตานานาริโว

วันพุธที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2555

เอาอีกแล้ว ...หญิงไทยถูกหลอกขนยาเสพติด ถูกจับที่เปรู




เรื่องราวที่คนไทยถูกหลอกให้ขนยาเสพติดข้ามชาติที่มีการเสนอข่าวกันมาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดที่เปรู ก็มีสาวใหญ่วัย 45 ปี คนหนึ่งถูกจับกุมตัวข้อหาเดิมอีกแล้ว คือมีสารเสพติดในครอบครอง ( โคเคน นำหนักถึง 2,274 กรัม)
ร้อนถึงกงสุลไทยประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงลิมา ประเทศเปรู ต้องเข้าไปดูแลให้ความช่วยเหลือเท่าที่จะทำได้ จากการให้ปากคำของหญิงไทยรายนี้เธอเล่าให้ฟังว่า เดิมมีอาชีพเป็นพนักงานขายอุปกรณ์เกี่ยวกับการตรวจสอบคุณภาพเพชรในบริษัทแห่งหนึ่งย่านสีลม กรุงเทพฯ ต่อมาลาออกและรู้จักกับชายไทยคนหนึ่งผ่านทางอินเตอร์เน็ต จนกระทั่งสนิทสนมและนัดเจอกัน โดยชายคนดังกล่าวอ้่่างว่ามีเพื่อนเป็นชาวแอฟริกาใต้ ต้องการจะส่งเพชรมายังประเทศไทย แต่เพื่อหลบเลี่ยงภาษีจึงต้องการคนที่จะรับจ้างนำเพชรขนส่งผ่านเปรูเข้ามายังไทย และได้หว่านล้อมให้ตนช่วยรับที่จะเป็นผู้ขนส่งเพชรให้เพราะเห็นว่าเคยทำงานอยู่ในวงการเพชรมานานและพูดภาษาอังกฤษได้บ้าง โดยเสนอให้ค่าจ้าง 1,500-2,000 ดอลลาร์สหรัฐ   ตนจึงตกลงทำให้
หญิงไทยรายนี้ใช้เส้นทางบินยอดฮิตในหมู่นักค้ายาเสพติด คือจากเอเชีย (กรุงเทพฯ/มาเลเซีย) ผ่านตุรกี เข้าไปยังอเมริกาใต้ (กรณีนี้คือเปรู) พอไปถึงเปรูก็ตบตาเจ้าหน้าที่เปรูโดยทำเป็นไปเที่ยวที่เมืองกุสโก (เป็นหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวยอดฮิตของเปรู) อยู่ 4 วัน จึงกลับมาที่กรุงลิมาเพื่อรับของจากชายชาวเปรูคนหนึ่งตามที่ได้นัดหมายไว้ โดยหญิงไทยรายนี้อ้างว่า ชายชาวเปรูได้นำกระเป๋าแบบที่ใช้บรรจุคอมพิวเตอร์แบบ laptop มาให้ซึ่งตนคิดว่ามีเพชรบรรจุอยู่ด้านในจึงได้นำกระเป๋านี้ใส่เข้าไปในกระเป๋าเดินทางใบใหญ่และเดินทางไปสนามบินเพื่อกลับประเทศไทยแต่ถูกตำรวจเปรูตรวจค้นและจับกุมได้เสียก่อน

กงสุลสอบถามหญิงไทยว่าได้เปิดกระเป๋า laptop ดูก่อนหรือไม่ เธอตอบว่าเปิดดูแล้ว แต่ไม่พบอะไรจึงคิดไปเองว่าเพชรคงจะถูกซุกซ่อนอยู่ด้านใน จึงบรรจุลงในกระเป๋าเดินทางใบใหญ่

งานนี้ ไม่รู้ใครหลอกใคร หรือว่าเต็มใจให้หลอกก็ไม่รู้เหมือนกันนะ แต่ที่แน่ๆ โดนไปอีก 1 ราย สำหรับคนไทยที่ถูกจับกุมในข้อหายาเสพติด

ที่มา : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงลิมา
        กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
        กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ

เรียนต่ออิสราเอล



นอกจากคนไทยจะรู้จักประเทศอิสราเอลในฐานะตลาดแรงงานไทยแล้ว อิสราเอลยังขึ้นชื่อในด้านการศึกษาอีกด้วย ในภาพรวมอิสราเอลได้ชื่อว่ามีความเป็นเลิศด้านการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่ได้รับการจัดอันดับจากนิตยสาร Times ในปี 2554 ว่า 3 มหาวิทยาลัยของอิสราเอลเป็นหนึ่งใน 200 แห่งที่ดีที่สุดในโลกเลยทีเดียว
มหาวิทยาลัยของรัฐที่มีชื่อเสียงของอิสราเอลได้แก่ The Technion, The Hebrew University of Jerusalem, Ben Gurion Univerity of the Negev และ Tel Aviv University ระบบการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่จะเนินการค้นคว้าวิจัย โดยหลักสูตรปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยต่างๆ ของอิสราเอล จะใช้ภาษาฮิบรูในการเรียนการสอน โดยจะใช้เวลาเรียนตั้งแต่ 3-5 ปี แล้วแต่หลักสูตรของแต่ละสาขา
ปัจจุบัน ประเทศไทยและอิสราเอลมีความร่วมมือในด้านการศึกษาระดับอุดมศึกษาอย่างเป็นรูปธรรม ภายใต้การดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกอุดมศึกษาแห่งชาติกับ Council for Higher Education ของอิสราเอล โดยนักเรียนที่จบระดับมัธยมศึกษาตอนปลายของไทย จะต้องผ่านหลักสูตรเตรียมความพร้อมของมหาวิทยาลัย (เรียก Mechina) เป็นเวลา 1 ปี จึงจะได้รับการพิจารณาให้เข้าเรียนในระดับปริญญาตรี
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าอิสราเอลจะเป็นประเทศที่มีสภาพแวดล้อมและคุณภาพชีวิตที่ดี แต่ปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ โดยเฉพาะปัญหาชายแดนและปัญหาความมั่นคงกับปาเลสไตน์ ยังคงมีอยู่และเป็นข่าวใหญ่ให้ทราบกันอยู่บ่อยครั้ง
ผู้ที่สนใจจะส่งลูกหลายไปเรียน หรือส่งตัวเองไปทำงานที่อิสราเอล ควรจะต้องสามารถปรับตัวให้เข้ากับวิถีชีวิต สังคม และวัฒนธรรม โดยเฉพาะความเชื่อทางประวัติศาสตร์และศาสนาของชาวอิสราเอล รวมถึงเตรียมพร้อมต่อความกดดันในสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศได้ด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2555

สถานกงสุลใหญ่ดูไบ จัดระเบียบร้่านนวดไทย








ของดีประเทศไทยที่โ้ด่งดังข้ามโลกนอกจากอาหารไทยแล้ว ปัจจุบันการนวดแผนไทยก็กำำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงในต่างประเทศ ทั้งภาครัฐและเอกชนของไทยได้ดำเนินความพยายามสนับสนุนในเรื่องนี้กันมาก และเป็นธรรมดาที่จะต้องประสบปัญหาต่างๆ มากมาย ปัญหาสำคัญของการนวดแผนไทยคือเรื่องของภาพลักษณ์ที่มักถูกมองว่ามีบริการแอบแฝง ซึ่งบางครั้งก็ต้องยอมรับว่ามีสถานบริการบางแห่งมีบริการแอบแฝงอยู่จริง ปัญหาอีกประการหนึ่งของการนวดแผนไทยก็คล้ายกับปัญหาของร้านอาหารไทย กล่าวคือมีคนต่างชาติแอบอ้างเปิดร้านนวดโดยใช้ชื่อเป็นการนวดแผนไทยแต่บริการไม่ได้มาตรฐานและหลายแห่งมีบริการแฝงด้วย ทำให้ชาวต่างชาติที่มาใช้บริการได้รับประสบการณ์ที่ไม่ดีและภาพลักษณ์การนวดแผนไทยต้องเสียหาย

ที่เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ การนวดแผนไทยได้รับความนิยมอย่างสูง มีชาวต่างชาติรวมทั้งนักธุรกิจชาวไทยไปเปิดให้บริการนวด สปาแผนไทยกันหลายแห่ง และก็ต้องประสบปัญหาดังที่กล่าว มีร้่่านนวดเล็กๆ เปิดโดยนักธุรกิจต่างชาติที่ไม่ใช่คนไทยบางแห่งมีบริการแอบแฝงจนทำให้ภาพลักษณ์การนวดแผนไทยต้องเสียหายอย่างมาก ทางการท้องถิ่นก็เพ่งเล็งว่าเป็นเรื่องผิดกฎหมาย ทางสถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองดูไบ ตระหนักต่อปัญหานี้จึงได้พยายามแก้ปัญหาโดยได้ร่วมมือกับกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และหน่วยงานของทีมประเทศไทย ทั้ง ท.ท.ท. การบินไทย รวมทั้งนักธุรกิจผู้ให้บริการนวดแผนไทย จัดโครงการจัดทำคู่มือแนะนำร้านนวดและสปาไทยในดูไบ "The Selected Thai Massage and Spa 2012" โดยจัดพิมพ์คู่มือแนะนำร้านนวดสปาไทย จำนวน 10 แห่ง ในดูไบและรัฐทางตอนเหนือ จำนวน 3,000 เล่ม เป็นภาษาอังกฤษและอาหรับ ซึ่งเป็นสถานประกอบการนวดแผนไทยที่ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการตรวจสอบแล้วว่ามีมาตรฐานตามที่กำหนดและที่สำคัญไม่มีบริการแอบแฝงแน่นอน นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมเสริมอีกหลากหลายเพื่อประชาสัมพันธ์โครงการอีกด้วย ทั้งการทำคูปองส่วนลดแทรกอยู่ในคู่มือแนะนำร้าน จัดแถลงข่าวและจัดเลี้ยงที่โรงแรมดุสิตธานี ดูไบ และการสาธิตการนวดไทยและการแสดงผลิตภัณฑ์สปาไทยด้วย งานนี้มีผู้สนใจเข้าร่วมกว่า 2,000 คน และยอดขายสินค้าพุ่งสูงกว่าร้อยละ 50 ของยอดขายปกติ และที่สำคัญคือ ชาวต่างชาติได้เห็นถึงการนวดและสปาแผนไทยของแท้ เกิดความเชื่อมั่นในการใช้บริการ มากขึ้น  

ที่มา : สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองดูไบ

ระเบียบใหม่ทางการจีน ห้ามนำเข้ารังนกและยาที่ทำจากสัตว์











จีนได้ประกาศรายการสินค้าต้องห้ามนำเข้าฉบับใหม่ล่าสุด ระบุว่า ห้ามนำเข้ารังนก ยาทีทำจากสัตว์ และผลิตภัณฑ์ดัดแปลงพันธุกรรม ซึ่งเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลจีนจัดรายการสินค้าอย่างรังนก ยาที่ทำจากสัตว์ และผลิตภัณฑ์ดัดแปลงพันธุกรรม เป็นรายการสินค้าต้องห้าม
นสพ. Morning Post รายงานเมื่อวันที่ 27 ก.พ. 2555 ว่า กระทรวงเกษตรจีนได้ร่วมกับสำนักตรวจสอบคุณภาพสินค้าแห่งชาติจีนปรับแก้และประกาศ "รายการสินค้าต้องห้ามประเภทสัตว์ พืช และของที่ต้องรับการตรวจอื่นๆ โดยการนำพาของนักท่องเทียวและการนำเข้าทางพัสดุภัณฑ์แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน"
กฎระเบียบใหม่ฉบับนี้ระบุว่า บุคคลที่เดินทางเข้ามาประเทศจีน สามารถนำสัตว์เลี้ยงขนาดเล็ก อาทิ สุนัข แมว ติดตัวเข้าประเทศจีนได้เพียงตัวเดียวเท่านั้น และจะต้องมีหนังสือรับรองสุขภาพสัตว์และใบรับรองการฉีดวัคซีน ที่ออกโดยสัตวแพทย์ของประเทศนั้นๆ อย่างเป็นทางการ
รายการต้องห้ามฉบับปรับแก้นี้ได้แบ่งสินค้าต้องห้ามเป็น 3 ประเภทใหญ่ รวมทั้งหมด 16 รายการ โดยสินค้าต้องห้ามประเภทสัตว์และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากสัตว์นั้น ได้แก่
  • สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม นก ปลา สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ สัตว์เลื้อยคลาน แมลง สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง และส่วนพันธุกรรมสัตว์ทุกประเภท
  • เนื้อ(สุกหรือดิบ)และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากเนื้อ(รวมถึงเครื่องใน)
  • ผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำ
  • นมสัตว์และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม ซึ่งรวมถึงนมดิบ นมสด นมเปรี้ยว ครีมสัตว์ เนย ชีส และผลิตภัณฑ์นมอื่นๆ ที่ยังไม่ได้รับการฆ่าเชื้อในอุณหภูมิสูง
  • ไข่และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากไข่ ซึ่งรวมถึงไข่สด ไข่เยี่ยวม้า ไข่เค็ม ของเหลวจากไข่ เปลือกไข่ มายองเนสและผลิตภัณฑ์ไข่อื่นๆ ที่ยังไม่ได้รับการฆ่าเชื้อในอุณหภูมิสูง เป็นต้น
นอกจากนี้ สินค้าต้องห้ามยังรวมถึงรังนก (ยกเว้นรังนกกระป๋อง) อีกด้วย
สินค้าต้องห้ามประเภทพืชและผลิตภัณฑ์ที่ทำจากพืช ได้แก่ผลไม้สด ผัก ใบยาสูบ (ไม่รวมถึงเส้น ยาสูบ) เป็นต้น
สินค้าต้องห้ามประเภทของต้องรับการตรวจอื่นๆ รวมถึงศพของสัตว์ ตัวอย่างสัตว์ ของเสียที่มาจากสัตว์และผลิตภัณฑ์ดัดแปลงพันธุกรรม เป็นต้น
ชาวไทยที่จะเดินทางเข้าประเทศจีนพร้อมกับสินค้าที่ปรากฏในรายการต้องห้ามเหล่านี้ควรเตรียมพร้อมในการปฏิบัติตามกฎระเบียบใหม่ด้วย

ที่มา : สถานเอกอัครราชทูต  ณ  กรุงปักกิ่ง

วันพฤหัสบดีที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2555

การเปลี่ยนแปลงระบบการลงทะเบียนและบัตรประจำตัวผู้พำนักอาศัยในญี่ปุ่น



 สถานกงสุลใหญ่ ณ นครโอซากา ได้รายงานเกี่ยวกับการปรับปรุงระบบบริหารจัดการเกี่ยวกับการพำนักอาศัยในประเทศญี่ปุ่น รายละเอียดตามนี้ครับ

วัตถุประสงค์

เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรวบรวมและควบคุมข้อมูลชาวต่างชาติที่พำนักอาศัยในญี่ปุ่นระยะกลางถึงระยะยาว

ประโยชน์ที่ได้รับ

ชาวต่างชาติจะได้รับความสะดวกมากขึ้นโดย
1. เพิ่มระยะเวลาพำนักอาศัยในญี่ปุ่นจาก สูงสุด 3 ปี เป็น 5 ปี
2. เพิ่มระยะเวลาพำนักอาศัยในญี่ปุ่นจากสูงสุด 2 ปี 3 เดือน เป็น 4 ปี 3 เดือน สำหรับผู้มีสถานะพำนัก
    อาศัยประเภทศึกษาต่อ (เริ่มตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2552)
3.  อนุญาตให้ชาวต่างชาติที่มีสถานะพำนักอาศัยในญี่ปุ่นถูกต้อง เดินทางกลับเข้าญี่ปุ่นโดยไม่ต้องขอ
     อนุญาตเดินทางเข้าญี่ปุ่นอีก (Re-entry Permit) หากเดินทางออกและเข้าญี่ปุ่นภายในระยะเวลา 1 ปี
4. ระยะเวลาที่ได้อนุญาตให้เดินทางเข้าญี่ปุ่นได้อีก (Re-entry Permit) เพิ่มจากสูงสุด 3 ปี เป็น 5 ปี
   วันเริ่มบังคับใช้บัตรประจำตัวผู้พำนักอาศัยฯ
   ภายในวันที่ 15 กรกฎาคม 2555

ผู้เข้าข่ายต้องขอรับบัตรประจำตัวผู้พำนักอาศัยฯ

ชาวต่างชาติทุกคนที่พำนักอาศัยในญี่ปุ่นตั้งแต่ระยะกลางถึงระยะยาวจะต้องเข้าขอรับบัตรประจำตัวผู้พำนักอาศัยฯ ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองท้องถิ่นที่พำนักอาศัยอยู่ ยกเว้น
ผู้ที่ได้รับอนุญาตให้อาศัยอยู่ในญี่ปุ่นน้อยกว่า 3 เดือน
ผู้ที่ได้รับสถานะพำนักอาศัยประเภทระยะสั้น
ผู้ที่ได้รับสถานะพำนักอาศัยประเภทการทูตและประเภทราชการ
ผู้ที่กระทรวงยุติธรรมญี่ปุ่นลงความเห็นว่ามีคุณสมบัติเช่นเดียวกับบุคคลข้างต้นตาม
กฎกระทรวงฯ
    5.  ผู้ได้รับสถานพำนักอาศัยถาวรแบบพิเศษ
    6.  ผู้ที่ไม่มีสถานะพำนักอาศัย

บุคคลที่เข้าข่ายสามารถขอรับบัตรประจำตัวผู้พำนักอาศัยฯ จะได้รับบัตรประจำตัวผู้พำนักอาศัยฯเมื่อได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้าประเทศที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองในสนามบินเมื่อเดินทางเข้าประเทศ หรือเมื่อได้รับอนุญาตให้เปลี่ยนสถานะพำนักอาศัยใหม่ หรือขยายระยะเวลาการพำนักอาศัย ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองท้องถิ่น

เมื่อใดควรไปขอรับบัตรประจำตัวผู้พำนักอาศัยฯ

เมื่อมีประกาศบังคับใช้บัตรประจำตัวผู้พำนักอาศัยฯ แล้วนั้น ผู้เข้าข่ายต้องขอรับบัตรประจำตัวผู้พำนักอาศัยฯ ไม่จำเป็นต้องติดต่อสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองท้องถิ่นทันที เพื่อขอรับบัตรประจำตัวผู้พำนักอาศัยฯ ทั้งนี้

1. ผู้มีสถานะพำนักอาศัยอื่นๆ นอกเหนือจากสถานะพำนักอาศัยประเภทถาวร จะได้รับบัตรประจำตัวผู้พำนักอาศัยฯ เมื่อยื่นขอรับสถานะพำนักอาศัยใหม่ หรือเมื่อขอยื่นขยายระยะเวลาพำนักอาศัยที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองท้องถิ่น

2. ผู้ที่มีสถานะพำนักอาศัยประเภทถาวรจะต้องยื่นขอรับบัตรประจำตัวผู้พำนักอาศัยฯ ภายใน 3 ปีหลังจากมีประกาศให้บังคับใช้บัตรประจำตัวผู้พำนักอาศัยฯ

ข้อมูลในบัตรประจำตัวผู้พำนักอาศัยฯ

บัตรประจำตัวผู้พำนักอาศัยฯ บรรจุชิพเพื่อป้องกันการปลอมแปลงและแก้ไข ข้อมูลที่ปรากฏบนตัวบัตรประจำตัวผู้พำนักอาศัยฯ จะน้อยกว่าบัตรประจำตัวคนต่างด้าวฯ (บัตรปัจจุบัน) โดยจะไม่ระบุชื่อเจ้าบ้าน จังหวัดเกิด หมายเลขหนังสือเดินทาง อาชีพ ชื่อและที่อยู่ของหน่วยงานที่ผู้ถือบัตรสังกัด แต่จะระบุข้อมูลผู้ถือบัตร ดังนี้

ชื่อ-สกุล วันเดือนปีเกิด เพศ สัญชาติ พื้นที่ทีสังกัด
ที่อยู่อาศัย
ประเภทสถานะพำนักอาศัย ระยะเวลาที่อนุญาตให้พำนักอาศัย วันสถานะพำนักอาศัยสิ้นสุด
ประเภทการขอรับสถานะพำนักอาศัย วันที่ได้รับสถานะพำนักอาศัย
จำนวนบัตรประจำตัวผู้พำนักอาศัยฯ วันออกบัตร วันหมดอายุบัตร
ข้อมูลว่าได้รับอนุญาตให้ทำงานหรือไม่
ข้อมูลว่าได้รับอนุญาตให้สามารถทำกิจกรรมอื่นนอกเหนือจากที่สถานะพำนักอาศัยอนุญาต
หรือไม่

อายุบัตรประจำตัวผู้พำนักอาศัยฯ

ผู้มีสถานะพำนักอาศัยประเภทถาวรและมีอายุมากกว่า 16 ปี บัตรจะหมดอายุหลังจากวันออกบัตร 7 ปี
ผู้มีสถานะพำนักอาศัยอื่นนอกจากประเภทถาวรและมีอายุมากกว่า 16 ปี  บัตรจะหมดอายุเมื่อสถานะพำนักอาศัยของผู้ถือบัตรสิ้นสุด
ผู้มีสถานะพำนักอาศัยประเภทถาวรและมีอายุน้อยกว่า 16 ปี บัตรจะหมดอายุเมื่อผู้ถือบัตรมีอายุครบ 16 ปีบริบูรณ์
ผู้มีสถานะพำนักอาศัยอื่นนอกจากประเภทถาวรและมีอายุน้อยกว่า 16 ปี บัตรจะหมดอายุเมื่อผู้ถือบัตรมีอายุครบ 16 ปีบริบูรณ์ หรือเมื่อสถานะพำนักอาศัยของผู้ถือบัตรสิ้นสุด (ใช้เกณฑ์ที่มาถึงก่อน)

การเปลี่ยนแปลงอื่นๆ

1. ยุบรวมสถานะพำนักอาศัยประเภทนักศึกษาระดับอาชีวะและมหาวิทยาลัย (College Students) และประเภทนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย และโรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่น (Pre-college students) เป็นประเภท College Students อย่างเดียว
2. อนุญาตให้ผู้ที่มีสถานะพำนักอาศัยถูกต้องและกำลังยื่นขอรับสถานะพำนักอาศัยใหม่หรือยื่นขอขยายระยะเวลาพำนักอาศัยเดิม สามารถอาศัยอยู่ในญี่ปุ่นได้อีก 2 เดือนหลังจากกำหนดวันสถานะพำนักอาศัยที่มีอยู่สิ้นสุด หรือจนกระทั่งผลการขอรับสถานะพำนักอาศัยใหม่ออก (เริ่มบังคับใช้ตั้งแต่ 15 กรกฎาคม 2552)
3. ลูกเรือจะต้องแสดงใบอนุญาตให้เดินทางเข้าประเทศ พร้อมกับแสดงบัตรประจำตัวพนักงานหรือหนังสือเดินทางที่มีรูปถ่ายใบหน้าต่อเจ้าหน้าที่กองตรวจคนเข้าเมือง ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถตรวจสอบรูปถ่ายใบหน้ากับตัวจริงว่าเป็นบุคคลเดียวกัน

4. เพิ่มบทลงโทษที่เกี่ยวกับการจัดการและควบคุมผู้พำนักอาศัยในญี่ปุ่น

  4.1  เกณฑ์การเพิกถอนสถานะพำนักอาศัย

  4.1.1   หากบุคคลนั้นได้รับสถานะพำนักอาศัยมาโดยการมิชอบ

  4.1.2   หากผู้ที่มีสถานะพำนักอาศัยประเภทคู่สมรสล้มเหลวในการประพฤติตนให้เหมาะสมในฐานะคู่สมรสเป็นระยะเวลา 6 เดือน ระหว่างอาศัยอยู่ในญี่ปุ่น (ยกเว้นสามารถพิสูจน์ได้ว่ามีเหตุผลสมควร)

  4.1.3  หากแจ้งที่อยู่เท็จ  หรือไม่ดำเนินการแจ้งที่อยู่ต่อหน่วยงานท้องถิ่นประจำเขต อำเภอ ตำบล หรือหมู่บ้านที่อาศัยอยู่ ภายใน 14 วันหลังจากได้รับอนุญาตให้เข้าประเทศ หรือเมื่อเปลี่ยนที่อยู่พำนักอาศัยในญี่ปุ่น

4.2  เกณฑ์การเนรเทศกลับประเทศ

  4.2.1  หากทำการปลอมแปลงหรือแก้ไขบัตรประจำตัวผู้พำนักอาศัยฯ

  4.2.2  หากได้รับโทษจำคุกหรือโทษขั้นหนักอื่นๆ ฐานแจ้งข้อมูลเท็จเกี่ยวกับข้อมูลในบัตรประจำตัวผู้พำนักอาศัยฯ  ฐานฝ่าฝืนไม่ยื่นเรื่องขอรับบัตรประจำตัวผู้พำนักอาศัยฯ และฐานไม่สามารถแสดงบัตรต่อเจ้าหน้าที่พนักงานเมื่อขอเรียกตรวจ

4.3  บทลงโทษ

4.3.1  ได้รับโทษหากแจ้งข้อมูลเท็จเกี่ยวกับข้อมูลในบัตรประจำตัวผู้พำนักอาศัยฯ  และไม่ยื่นเรื่องขอรับบัตรประจำตัวผู้พำนักอาศัยฯ และไม่ปฎิบัติตามกฎที่บังคับให้พกบัตรติดตัวตลอดเวลาและต้องสามารถแสดงบัตรต่อเจ้าหน้าที่พนักงานเมื่อขอเรียกตรวจ

4.3.2  ทบทวนบทลงโทษเกี่ยวกับกับการส่งเสริมให้มีการจ้างแรงงานผิดกฎหมาย

4.3.3  เพิ่มบทลงโทษที่เกี่ยวข้องกับการปลอมแปลงหรือแก้ไขบัตรประจำตัวผู้พำนักอาศัยฯ

 ข้อมูลเพิ่มเติม

http://www.immi-moj.go.jp/newimmiact/newimmiact.html

Tokyo Regional Immigration Bureau (Tel: 03-5796-7111)

ที่มา :
แผ่นพับตม.ญี่ปุ่น เรื่อง Changes to the Immigration Control Act (Outline of the 2009 Partial Amendment to the Immigration Control and Refugee Recognition Act and other statutes)