วันพฤหัสบดีที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2553

กรมการกงสุลจัดประชุมญาติผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเพื่อชี้แจงเรื่องสิทธิประโยชน์ที่พึงได้

บรรยากาศห้องประชุมกรมการกงสุลในวันนั้น
เจ้าหน้าที่อาวุโสจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมธุรกิจประกันภัย กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย และกลุ่มงานนิติการ สำนักงานปลัดกระทรวงเข้าร่วมการประชุมชี้แจงข้อซักถามของญาติผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บด้วย
คุณวิทิต เภาวัฒนาสุข (เสื้อขาว) เจ้าหน้าที่การทูตชำนาญการบันทึกประเด็นต่างๆที่ผู้เข้าร่วมประชุมยกขึ้น
นางสาวมธุรพจนา อิทธะรงค์ รองอธิบดีกรมการกงสุล ประธานการประชุมและนายประสิทธิพร เวชย์ประสิทธิ์ผู้อำนวยการกองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศกำลังชี้แจงตอบข้อซักถามของผู้เข้าร่วมการประชุม
อาคารกรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ ถนนแจ้งวัฒนะ



กรมการกงสุลจัดประชุมญาติผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเพื่อชี้แจงเรื่องสิทธิประโยชน์ที่พึงได้

เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2553 เวลา 10.00 น. กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศได้เชิญญาติของผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์รถทัวร์ของนักท่องเที่ยวไทยประสบอุบัติเหตุที่เมืองอีโปห์ รัฐเประ ประเทศมาเลเซีย จำนวนประมาณ 60 คน รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ของไทย มาประชุมเพื่อชี้แจงเกี่ยวกับความคืบหน้าการดำเนินการของกระทรวงการต่างประเทศและสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ในการเรียกร้องสิทธิประโยชน์อันพึงมีพึงได้จากบริษัทประกันภัยมาเลเซีย และขั้นตอนการดำเนินการในการรับคืนทรัพย์สินมีค่าของผู้เคราะห์ร้ายคืน ณ ห้องประชุมกรมการกงสุล ถนนแจ้งวัฒนะ โดยมีนางสาวมธุรพจนา อิทธะรงค์ รองอธิบดีกรมการกงสุล เป็นประธาน

รองอธิบดีกรมการกงสุล ได้กล่าวแสดงความเสียใจต่อญาติของผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บ และแจ้งว่ากระทรวงการต่างประเทศจักได้ประสานกับสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดในพื้นที่ของญาติผู้เคราะห์ร้ายเพื่อให้การดูแลทุกครอบครัวที่ประสบปัญหาแล้ว นอกจากนี้ กรมการกงสุลจะว่าจ้างที่ปรึกษาทางกฏหมายในมาเลเซียเพื่อศึกษาเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัย และช่องทางต่าง ๆ ในการเรียกร้องสิทธิประโยชน์ที่เกี่ยวข้อง และสำหรับใบมรณบัตรที่ญาติยังไม่ได้รับนั้น ขณะนี้ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ กำลังรอรายงานอุบัติเหตุจากทางการมาเลเซีย ก่อนที่จะทำการออกใบมรณบัตรของผู้เสียชีวิตทุกคนต่อไป


ทั้งนี้ในส่วนของจำนวนผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บล่าสุดนั้น สรุปยอดผู้เสียชีวิตจำนวน 26 ศพ บาดเจ็บและได้ส่งกลับรักษาตัวที่ประเทศไทยแล้ว 8 ราย คงเหลือรักษาตัวที่มาเลเซีย อีก 1 ราย ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศได้สั่งการให้สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ และสถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองปีนัง ให้การดูแลผู้บาดเจ็บอย่างใกล้ชิด

กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
กรมการกงสุล
29 ธันวาคม 2553

วันพุธที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ชาวไทยและชาวบราซิลร่วมถวายพระพรวันเฉลิมฯ 83 พรรษา ณ กรุงบราซิเลีย 5 ธ.ค.53

นิทรรศการพระราชกรณียกิจพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ท่านทูตจักริน ฉายะพงศ์กล่าวถวายพระพร


ชาวไทยและชาวบราซิลร่วมถวายพระพรวันเฉลิมฯ 83 พรรษา ณ กรุงบราซิเลีย 5 ธ.ค.53

เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 83 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วันที่ 5 ธันวาคม 2553 สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้จัดงานเลี้ยงรับรองที่โรงแรม Royal Tulip Brasilia Alvorada กรุงบราซิเลีย เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2553 ระหว่างเวลา 12.30- 14.00 น. โดยมีคณะทูตานุทูตในกรุงบราซิเลีย ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐและเอกชนของบราซิล ตลอดจนชาวไทยที่พำนักในบราซิลเข้าร่วมงานประมาณ 200 คน

ในงานดังกล่าว นายจักริน ฉายะพงศ์ เอกอัครราชทูตฯ ได้กล่าวถวายพระพร โดยกล่าวถึงความสำคัญของวันเฉลิมพระชนมพรรษาซึ่งถือเป็นวันชาติไทย บทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์และพระราชภารกิจ สัมพันธไมตรีระหว่างประเทศไทยกับสหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล และกิจกรรมความร่วมมือระหว่างประเทศทั้งสอง รวมทั้งการเสด็จเยือนบราซิลของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ในเดือนกันยายน 2553 หลังจากนั้นได้เปิดเพลงชาติบราซิลและเพลงสรรเสริญพระบารมี และเชิญชวนแขกผู้มาร่วมงานดื่มถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ในการจัดงานเฉลิมพระชนมพรรษาครั้งนี้ สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้จัดแสดงนิทรรศการพระราชกรณียกิจพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อให้ผู้เข้าร่วมงานได้รับทราบข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ จัดการแสดงศิลปะการแกะสลักผลไม้ไทย จัดเตรียมอาหารไทยชนิดต่าง ๆ รวมทั้งเผยแพร่หนังสือเรื่อง “ประเทศไทย” ซึ่งเป็นโครงการร่วมระหว่างสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบราซิเลีย กระทรวงการต่างประเทศบราซิลเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประเทศไทยในหมู่ประชาชนบราซิล ซีดีประชาสัมพันธ์และสอนวิธีทำอาหารไทยซึ่งจัดทำโดยสถานเอกอัครราชทูตฯ ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ นครเซาเปาโล พร้อมทั้งของที่ระลึกพวงกุญแจรูปลายไทยต่าง ๆ และเอกสารส่งเสริมการท่องเที่ยวประเทศไทย แจกจ่ายให้ผู้เข้าร่วมงานซึ่งได้รับความสนใจและความชื่นชมอย่างมาก

สิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำในบราซิล


สิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำในบราซิล
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบราซิเลียประเทศบราซิลได้จัดทำคำแนะนำสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำสำหรับนักท่องเที่ยวไทยเมื่ออยู่ในบราซิลดังนี้

ข้อแนะนำ
• สอบถามโรงแรมเรื่องความปลอดภัยของสถานที่ที่ต้องการจะไปท่องเที่ยว
• เก็บสิ่งของมีค่า รวมทั้งเครื่องประดับ หนังสือเดินทางและเงินไว้ในตู้เซฟของโรงแรม
• มีเพื่อนในการเดินทาง โดยเฉพาะในเวลากลางคืน
• ขอความช่วยเหลือจากตำรวจ หากจำเป็นหรือเกิดเหตุฉุกเฉิน
• นำสิ่งของติดตัวเท่าที่จำเป็นหากจะไปเดินชายหาด/ออกข้างนอกที่พัก
• ปฏิบัติตนเหมือนเป็นนักเดินทางที่มีประสบการณ์ ไม่ให้เหมือนว่าเป็นนักท่องเที่ยว
• วางกระเป๋าเดินทางและสิ่งของมีค่าอื่น ๆ ไว้ในที่ซึ่งไม่มีผู้ใดสามารถหยิบฉวยไปได้และอยู่ในสายตาตลอดเวลา

ข้อที่ไม่ควรกระทำ
• เก็บสิ่งของมีค่าไว้ในกระเป๋าหลัง หรือนอกกระเป๋าเสื้อ หรือนอกกระเป๋าถือ
• แต่งกายด้วยเครื่องประดับเพชรพลอย หรือสิ่งของที่มีราคาแพง เช่น แว่นตา นาฬิกายี่ห้อที่มีชื่อเสียง เดินในท้องถนน
• เดินทางไปในที่ ๆ ไม่คุ้นเคย หรือไปในพื้นที่ที่เสี่ยงอันตรายเพียงลำพัง
• นำเงินออกมาแสดงให้คนเห็นอย่างเปิดเผย เมื่อจับจ่ายซื้อของ
• วางสิ่งของไว้โดยไม่เอาใจใส่ดูแล
• คิดว่าจะไม่เกิดอะไรขึ้นกับตน
• เกี่ยวข้องกับการกระทำที่ผิดกฎหมาย
• นำกล้องถ่ายรูปและสิ่งของอื่น ๆ ใส่ไว้ในกระเป๋ากล้องถ่ายรูป หรือแขวนไว้ที่คอ


ที่มา : เว็บไซต์สถานเอกอัรราชทูต ณ กรุงบราซิเลีย http://www.thaiembassybrazil.com/index.php?option=com_content&view=article&id=65:2010-04-17-17-17-32&catid=46:2010-04-17-08-55-21&Itemid=84

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศพบชุมชนไทยในนครอิสตันบูล


รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศพบชุมชนไทยในนครอิสตันบูล


เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2553 นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้พบกับชุมชนไทยในนครอิสตันบูล โดยประธานสมาคมคนไทยในนครอิสตันบูลได้แจ้งว่า ปัจจุบัน ชาวไทยในนครอิสตันบูลมีจำนวนประมาณ 200 คน ซึ่งประกอบด้วย นักศึกษา พ่อครัว พนักงานสปา และชาวไทยที่สมรสกับชาวตุรกี ในการนี้ รัฐมนตรีว่าการฯ ได้รับฟังปัญหาและอุปสรรคเกี่ยวกับการดำรงชีพในนครอิสตันบูล อาทิ การขาดแคลนล่าม (ไทย- ตุรกี) และทนายความในกรณีที่คนไทยตกทุกข์ได้ยากและปัญหาในการขอรับใบอนุญาตทำงาน เป็นต้น นอกจากนี้ ได้มีข้อเสนอเกี่ยวกับการขอรับการสนับสนุนจากภาครัฐในการจัดตั้งสมาคมนักเรียนไทยในนครอิสตันบูล หรือการจัดฝึกอบรมการปรุงอาหารไทยให้แก่พ่อครัว/แม่ครัวที่จะเดินทางมาทำงานในต่างประเทศ

รัฐมนตรีว่าการฯ ได้แจ้งว่า หนึ่งในภารกิจหลักของกระทรวงการต่างประเทศคือการดูแลคนไทยในต่างประเทศ โดยในชั้นนี้ กำลังดำเนินการร่วมกับกระทรวงมหาดไทยเพื่อให้คนไทยในต่างประเทศสามารถต่ออายุ หรือทำบัตรประชาชนได้ในต่างประเทศ ในเรื่องปัญหาการขอรับใบอนุญาตทำงานในตุรกีนั้น ขอให้ชาวไทยทุกคนปฎิบัติการตามกฎหมายท้องถิ่นอย่างเคร่งครัด โดยขอให้ดำเนินการให้ถูกต้องตั้งแต่ก่อนเดินทางไปทำงานในต่างประเทศ

ส่วนเรื่องการจัดตั้งสมาคมนักเรียนไทยนั้น รัฐมนตรีว่าการฯ แจ้งว่า กระทรวงการต่างประเทศพร้อมสนับสนุนการจัดตั้งสมาคมฯ เพื่อให้เป็นศูนย์รวมของนักศึกษาในการดำเนินกิจกรรมร่วมกันและให้คำปรึกษาในด้านการเรียนและการใช้ชีวิตในนครอิสตันบูล ในชั้นนี้ ในกรณีที่ชาวไทยในนครอิสตันบูลต้องการความช่วยเหลือหรือตกทุกข์ได้ยากขอให้ติดต่อกงสุลกิติมศักดิ์ของไทย ซึ่งประจำอยู่ที่นครอิสตันบูล หรือสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอังการา ได้ทุกเมื่อ ทั้งนี้ ในอนาคตกระทรวงฯ มีดำริที่จะแต่งตั้งเจ้าหน้าที่มาประจำที่นครอิสตันบูล เพื่อให้การบริการทางกงสุลแก่ชุมชนไทยและประสานกับฝ่ายตุรกีในการส่งเสริมความสัมพันธ์โดยเฉพาะทางด้านธุรกิจต่อไป

นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการฯ ได้แจ้งให้ทราบเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองไทย โดยยืนยันว่า ประเทศไทยมีพัฒนาการที่ดี ซึ่งดูได้จากตัวเลขเศรษฐกิจไทยที่มีพัฒนาการเชิงบวกตั้งแต่ช่วงต้นปี

27 ธันวาคม 2553 09:39:12

ที่มา: ข่าวสารนิเทศ กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ 27 ธันวาคม 2553

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมาเลเซียส่งหนังสือแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์รถทัวร์นักท่องเที่ยวไทยประสบอุบัติเหตุในมาเลเซีย


รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมาเลเซียส่งหนังสือแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์รถทัวร์นักท่องเที่ยวไทยประสบอุบัติเหตุในมาเลเซีย

ตามที่ได้เกิดเหตุการณ์รถทัวร์นักท่องเที่ยวไทยประสบอุบัติเหตุในประเทศมาเลเซีย อันเป็นเหตุให้มีคนไทยเสียชีวิตจำนวนทั้งหมด ๒๖ คน และมีจำนวนผู้ได้รับบาดเจ็บที่ยังคงรักษาอาการบาดเจ็บจำนวน ๙ คน นั้น

ในการนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมาเลเซียได้มีหนังสือแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ดังกล่าวมายังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ โดยรัฐมนตรีว่าการฯ ก็ได้ส่งหนังสือแสดงความขอบคุณรัฐบาลมาเลเซียที่ได้ประสานงานให้ความช่วยเหลือแก่รัฐบาลไทยเป็นอย่างดีภายหลังเกิดอุบัติเหตุดังกล่าวเช่นกัน

นอกจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศได้รับรายงานจากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์เพิ่มเติมว่า ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายกงสุลประสานงานกับโรงพยาบาลหาดใหญ่ สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองปีนัง และด่านชายแดนเพื่ออำนวยความสะดวกในการส่งตัวผู้บาดเจ็บอีกหนึ่งราย (รวม ๘ ราย) ซึ่งแพทย์อนุญาตให้เดินทางกลับมารักษาตัวในประเทศไทยต่อได้ ดังนั้น จำนวนผู้บาดเจ็บชาวไทยที่ยังคงรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลอิโปห์ในขณะนี้ จึงเหลือเพียง ๑ คน โดยสถานเอกอัครราชทูตฯ ได้ประสานกับบริษัทประกันภัยเพื่อรับผิดชอบค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลแล้ว

28 ธันวาคม 2553 13:28:31


ที่มา: ข่าวสารนิเทศ กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ 28 ธันวาคม 2553

สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมัสกัต ติดตามให้ความช่วยเหลือลูกเรือไทยกรณีโจรสลัดโซมาเลียยึดเรือบรรทุกสินค้าสัญชาติไทยอย่างใกล้ชิด



สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมัสกัต ติดตามให้ความช่วยเหลือลูกเรือไทยกรณีโจรสลัดโซมาเลียยึดเรือบรรทุกสินค้าสัญชาติไทยอย่างใกล้ชิด



ตามที่กระทรวงการต่างประเทศได้รายงานเกี่ยวกับการดำเนินการให้ความช่วยเหลือเรือสินค้าสัญชาติไทยและลูกเรือไทยจำนวนทั้งหมด 27 คน ซึ่งถูกโจรสลัดโซมาเลียจับตัวไป ตั้งแต่เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2553โดยกระทรวงการต่างประเทศได้ประสานกับกองทัพเรือเพื่อติดต่อไปยังหมู่เรือปราบปรามโจรสลัด (มปจ.) ของไทย และประสานหน่วยงานท้องถิ่นทั้งของประเทศโอมานและไนโรบีอย่างใกล้ชิดแล้ว นั้น

ล่าสุด สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมัสกัต รายงานว่าได้ประสานกับหัวหน้าศูนย์ประสานการปฏิบัติของ มปจ. ในพื้นที่เมืองซาลาลาห์ ประเทศโอมาน และได้รับทราบว่า ขณะนี้ มปจ.ประกอบด้วยเรือรบหลวงสิมิลันและเรือรบหลวงปัตตานี ได้เข้าไปในพื้นที่และเฝ้าติดตามเรือดังกล่าวแล้ว โดยจะพยายามสกัดกั้นไม่ให้โจรสลัดโซมาเลียสามารถนำเรือไทยเข้าฝั่งโซมาเลียได้ เนื่องจากอาจเพิ่มความยากลำบากในการให้ความช่วยเหลือ นอกจากนี้ สถานเอกอัครราชทูตฯ ยังได้ประสานไปยังทางการของประเทศโอมานและประเทศเยเมนเพื่อขอความช่วยเหลือแก่เรือไทยและลูกเรือไทยทั้งหมดต่อไป

28 ธันวาคม 2553 11:37:48


ที่มา: ข่าวสารนิเทศ กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ 28 ธันวาคม 2553

กงสุลใหญ่ ณ เมืองเจดดาห์ เดินทางไปเยี่ยมนักศึกษาไทยที่เมืองมาดีนะห์

คณะ นักศึกษาไทยมหาวิทยาลัยอิสลามแห่งเมืองมาดีนะห์ถ่ายภาพหมู่ร่วมกับท่านกงสุลใหญ่ชาลีฯ ไว้เป็นที่ระลึก
ผู้แทนนักศึกษาไทยมอบของที่ระลึกแก่ท่านกงสุลใหญ่ชาลีฯ ในโอกาสที่เดินทางมาเยี่ยม
นักศึกษาไทยระหว่างรับฟังโอวาทของท่านกงสุลใหญ่ชาลีฯ
ท่านกงสุลใหญ่ชาลีฯ ให้โอวาทแก่นักศึกษาและแนะนำข้าราชการสถานกงสุลใหญ่ฯ ให้คณะนักศึกษารู้จัก
ประธานชมรมนักศึกษาไทยมหาวิทยาลัยอิสลาม ณ เมืองมาดีนะห์กล่าวต้อนรับท่านกงสุลใหญ่ชาลีฯ และคณะ และรายงานกิจกรรมของชมรมฯ ต่อท่านกงสุลใหญ่
นักศึกษาให้การต้อนรับท่านกงสุลใหญ่ชาลี สกลวารี และคณะเมื่อเดินทางไปถึง



กงสุลใหญ่ ณ เมืองเจดดาห์ เดินทางไปเยี่ยมนักศึกษาไทยที่เมืองมาดีนะห์

เมื่อวันที่ 9 – 10 ธันวาคม 2553 นายชาลี สกลวารี กงสุลใหญ่ ณ เมืองเจดดาห์ พร้อมด้วยคณะข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นของสถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองเจดดาห์ ได้เดินทางไปเยี่ยมนักศึกษาไทยที่เมืองมาดีนะห์ (อยู่ห่างจากเมืองเจดดาห์ไปทางทิศเหนือประมาณ 400 กิโลเมตร) โดยกลุ่มนักศึกษาไทยดังกล่าวซึ่งมีจำนวน 48 คน กำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยอิสลามแห่งเมืองมาดีนะห์ ในระดับเตรียมภาษา ปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก ในสาขาวิชาด้านการศาสนา

ในการเดินทางไปในครั้งนี้ กงสุลใหญ่และคณะยังได้เข้าร่วมในงานเลี้ยงรับน้องใหม่ โดยชมรมนักศึกษาไทยมหาวิทยาลัยอิสลาม ณ เมืองมาดีนะห์ ได้จัดขึ้น ซึ่งในปีนี้มีนักศึกษาใหม่จำนวน 20 คน ซึ่งเพิ่งเดินทางมาศึกษาที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ และในโอกาสเดียวกันนี้ กงสุลใหญ่ได้ทำการแนะนำตัวข้าราชการสถานกงสุลใหญ่ฯ ตลอดจนสอบถามถึงความเป็นอยู่ สาระทุกข์สุข ตลอดจนปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ของนักศึกษาไทยกลุ่มดังกล่าว ซึ่งส่วนใหญ่มีความเป็นอยู่สุขสบาย และไม่มีปัญหาหรืออุปสรรคใดๆ

ในโอกาดังกล่าวกงสุลใหญ่ได้มอบเงินจำนวน 3,000 ริยาลเพื่อสนับสนุนกิจกรรมของชมรมฯ ด้วย นักศึกษาไทยได้แสดงความขอบคุณกงสุลใหญ่ที่ได้เดินทางไปเยี่ยม แสดงความห่วงใยในสวัสดิภาพความเป็นอยู่ของพวกตน และให้การสนับสนุนกิจกรรมของชมรมฯ สำหรับปี 2554

ที่มา: ภาพและเรื่องจากสถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองเจดดาห์

วันอังคารที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2553

การดำเนินการให้ความช่วยเหลือคนงานไทยในประเทศญี่ปุ่น


การดำเนินการให้ความช่วยเหลือคนงานไทยในประเทศญี่ปุ่น

◉ ในกรณีที่มีการร้องเรียนว่านายจ้างมิได้ปฏิบัติตามกฎหมายมาตรฐานแรงงานทำให้ลูกจ้างเสียสิทธิประโยชน์ตามที่ลูกจ้างร้องทุกข์ ในเบื้องต้นสำนักงานแรงงานในประเทศญี่ปุ่นจะตรวจสอบข้อเท็จจริงจากนายจ้างตามที่ลูกจ้างได้ชี้แจงไว้ โดยพิจารณาจากหลักฐานประกอบคำร้องทุกข์หรือพยานบุคคลและพยายามเจรจาประนีประนอมให้มากที่สุด เพื่อให้นายจ้างชดเชยเงินส่วนที่ลูกจ้างเสียสิทธิประโยชน์เพื่อให้เรื่องจบลงโดยเร็ว หากนายจ้างให้ความร่วมมือก็จะขอร้องให้ชดเชยเงินส่วนที่ลูกจ้างเสียสิทธิประโยชน์ให้แก่ลูกจ้าง เมื่อลูกจ้างได้รับเงินดังกล่าวแล้ว ถือว่าได้ดำเนินการเรื่องเสร็จสิ้น แต่หากนายจ้างปฏิเสธไม่ให้ความร่วมมือทั้งที่มีหลักฐานชี้ชัดว่านายจ้างละเมิดสิทธิของลูกจ้าง และไม่สามารถไกล่เกลี่ยตกลงกันได้ ก็จะรวบรวมหลักฐานที่มีอยู่และพาลูกจ้างไปยื่นคำร้องทุกข์ต่อสำนักงานมาตรฐานแรงงานญี่ปุ่นในเขตที่ที่ทำงานตั้งอยู่ เพื่อให้ดำเนินการตรวจสอบต่อไป โดยมีการประสานงานติดตามเรื่องกับสำนักงานมาตรฐานแรงงานญี่ปุ่น และแจ้งความคืบหน้าให้คนงานทราบเป็นระยะๆจนกว่าเรื่องจะสิ้นสุด แต่ในกรณีข้อมูลที่ลูกจ้างร้องทุกข์ไม่มีมูลความจริง สำนักงานแรงงานฯ จะขอร้องให้นายจ้างส่งเอกสารเพื่อยืนยันข้อเท็จจริง และชี้แจงให้ลูกจ้างทราบต่อไป

สำหรับสิทธิประโยชน์ที่คนงานไทยพึงได้รับในกรณีต่างๆ จำแนก ได้ดังนี้

1. กรณีเจ็บป่วย ประสบอันตรายหรือเสียชีวิตจากการทำงานไม่ว่าลูกจ้างจะมีวีซ่าทำงาน อยู่อย่างถูกต้องตามกฎหมาย หรือไม่มีวีซ่าก็ตาม นายจ้างมีหน้าที่ต้องจัดทำประกันอุบัติเหตุจากการทำงานให้แก่ลูกจ้าง ซึ่งลูกจ้างจะได้รับการคุ้มครองตามระบบประกันอุบัติเหตุจากการทำงาน ดังนี้

1.1 เงินชดเชยค่ารักษาพยาบาล จะจ่ายเงินชดเชยค่ารักษาพยาบาล ให้แก่ลูกจ้างที่เจ็บป่วยหรือได้รับอุบัติเหตุจากการทำงานจนกว่า จะหมดความจำเป็นที่ต้องได้รับการรักษา ค่าชดเชย ได้แก่ ค่ารักษา พยาบาล ค่ายา ค่าผ่าตัด ค่าอุปกรณ์ในการรักษา ค่าเครื่องมือแพทย์ ตลอดจนค่าใช้จ่ายในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย เป็นต้น

1.2 เงินชดเชยในระหว่างหยุดงานเพื่อพักรักษาตัว ลูกจ้างมีสิทธิได้รับ เงินชดเชยในอัตราร้อยละ 60 ของอัตราค่าจ้างพื้นฐานเฉลี่ยรายวันนับตั้งแต่ วันที่ 4 ที่ต้องหยุดงานเนื่องจากเจ็บป่วยและหากหยุดงานเพื่อรักษาตัวไปจนครบปีครึ่งแล้ว แต่อาการยังไม่ดีขึ้น จะจ่ายเงินทดแทนให้เป็นเงินรายปี ในอัตราเท่ากับค่าจ้างพื้นฐานเฉลี่ยรายวันระหว่าง 245 ถึง 313 วัน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของอาการ

1.3 เงินชดเชยกรณีสูญเสียอวัยวะหรือทุพพลภาพ หากได้รับอุบัติเหตุจากการทำงานและการรักษาสิ้นสุดลงแล้ว แต่ลูกจ้างต้องสูญเสียอวัยวะหรือทุพพลภาพ จะมีการตีระดับของการสูญเสียหรือทุพพลภาพว่าอยู่ในระดับใด (ระดับ 1 ถึง 14) ในระดับ 1 ถึง 7 จะได้รับเงินชดเชยเป็นเงินรายปี ในอัตราเท่ากับรายได้เฉลี่ยรายวัน ระหว่าง 131 ถึง 313 วัน และในระดับ 8 ถึง 14 จะได้รับเงินชดเชยเป็นเงินก้อนครั้งเดียวเท่ากับรายได้เฉลี่ยรายวันระหว่าง 56 ถึง 503 วัน

1.4 เงินชดเชยให้แก่ทายาทกรณีลูกจ้างเสียชีวิตเนื่องจากได้รับอุบัติเหตุจากการทำงาน ทายาทของผู้เสียชีวิตต้องมีคุณสมบัติเข้าข่ายตามเงื่อนไขที่กำหนดในกฎหมายประกันอุบัติเหตุจากการทำงานเรียงลำดับทายาท ดังนี้
1.4.1 คู่สมรสที่อยู่กินฉันสามีภรรยา (แม้ว่าจะไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน)
1.4.2 บิดามารดา
1.4.3 บุตรหลาน ที่มีอายุน้อยกว่า 18 ปีบริบูรณ์
1.4.4 ปู่ ย่า ตา ยาย ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี
1.4.5 พี่น้องที่มีอายุน้อยกว่า 18 ปี หรือมากกว่า 60 ปี กรณีบุตรที่อยู่ในครรภ์ภรรยา ในขณะที่สามีถึงแก่ความตาย เมื่อคลอดแล้วก็จะเป็นผู้มีสิทธิได้รับค่าทดแทนด้วย

1.5 เงินค่าใช้จ่ายในการจัดการศพหากลูกจ้างถึงแก่ชีวิต ทายาทหรือผู้จัดการศพมีสิทธิจะได้เงินค่าจัดการศพ จำนวน 315,000 เยนพร้อมกับรายได้เฉลี่ยรายวันอีกจำนวน 30 วัน หรือได้รับเงินรายได้เฉลี่ยรายวัน จำนวน 60 วัน แล้วแต่จำนวนใดจะมากกว่า

หมายเหตุ กรณีที่ลูกจ้างประสบอุบัติเหตุ หรือได้รับบาดเจ็บระหว่างเดินทางไปกลับระหว่างที่พักและที่ทำงานก็จะได้รับผลประโยชน์จากการคุ้มครองเช่นเดียวกับ การได้รับอุบัติเหตุจากการทำงาน

2. กรณีเจ็บป่วย ประสบอันตรายหรือเสียชีวิตนอกเวลาทำงานผู้ที่เข้าร่วมระบบประกันสุขภาพของญี่ปุ่นจะได้รับการคุ้มครองเจ็บป่วย หรือประสบอันตรายนอกเวลาทำงาน ซึ่งระบบนี้เปิดให้เฉพาะผู้ที่อยู่ ในประเทศญี่ปุ่นอย่างถูกต้องเท่านั้น มีคนไทยที่ไม่มีวีซ่าเพียงส่วนน้อย เท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมทำประกันสุขภาพของรัฐได้ ผู้เข้าร่วม ระบบประกันสุขภาพนี้จะได้รับสิทธิประโยชน์ ดังนี้

2.1 ค่ารักษาพยาบาลเงินชดเชยเมื่อบาดเจ็บ หรือเจ็บป่วยโดยมิได้มีสาเหตุจากการทำงานและเข้ารับการรักษาจากสถานพยาบาลลูกจ้างรับผิดชอบจ่ายค่ารักษาพยาบาลเพียงร้อยละ 30 ส่วนที่เหลือ(อีกร้อยละ 70) สถานพยาบาลจะรับจากรัฐบาล นอกจากนี้ ยังได้รับการช่วยเหลือค่ายา และหากจำเป็นต้องรับการรักษาที่บ้าน หรือเข้าโรงพยาบาล ค่าเตียง ค่าอาหาร หรือค่าอื่นๆ ตามที่กำหนดก็จ่ายในอัตราเพียงร้อยละ 30 เช่นกัน

2.2 เงินอุดหนุนระหว่างหยุดพักรักษาตัว หากเจ็บป่วยหนักจนไม่สามารถไปทำงานได้และไม่ได้รับค่าจ้าง ประกันจะจ่ายเงินอุดหนุนให้ในอัตราร้อยละ 60 ของค่าจ้างนับตั้งแต่วันที่สี่ที่หยุดงานเป็นระยะเวลาปีครึ่ง

2.3 เงินอุดหนุนระหว่างลาเพื่อไปคลอดบุตร กรณีที่ลาเพื่อไปคลอดบุตรมิได้ทำงาน ขาดรายได้ ประกันก็จะจ่ายเงินอุดหนุนขณะลาคลอดให้ในอัตราร้อยละ 60 ของค่าจ้าง จำนวน 42 วันก่อนคลอด(กรณีลูกแฝด จ่ายร้อยละ 60 ของค่าจ้าง 98 วัน) และอีกร้อยละ60 ของค่าจ้าง จำนวน 56 วันหลังคลอด

2.4 เงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายในการคลอดบุตร จะได้รับเงินอุดหนุนค่าคลอดบุตร 300,000 เยน ต่อบุตร 1 คน

2.5 เงินอุดหนุนค่าจัดการศพในกรณีที่ลูกจ้างเสียชีวิต ทายาทหรือ ผู้ที่รับผิดชอบจัดงานศพจะได้รับเงินอุดหนุนเท่ากับเงินเดือนเฉลี่ยของผู้ตาย จำนวน 1 เดือน (ไม่น้อยกว่า 100,000 เยน)

3. กรณีนายจ้างค้างจ่ายค่าจ้างเงินทำงานล่วงเวลา ไม่จ่ายเงินชดเชยกรณีเลิกจ้างกระทันหัน สามารถยื่นคำร้องโดยระบุรายละเอียดบันทึกปากคำ พร้อมแนบเอกสาร ดังนี้
3.1 หลักฐานประจำตัว ได้แก่ หนังสือเดินทางไทย บัตรประจำตัวประชาชนไทย หรือบัตรประจำตัวคนต่างด้าว (Gaikokujin Torokushomeisho) (ที่หมดอายุแล้วก็ใช้ได้)
3.2 หลักฐานการจ้างงาน เช่น สัญญาการจ้างงาน ใบรับเงินเดือน หรือใบลง เวลาทำงาน
3.3 ชื่อ/ที่อยู่/หมายเลขโทรศัพท์บริษัทและชื่อนายจ้าง

ที่มา: เว็บไซต์สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว http://www.thaiembassy.jp/rte3/index.php?option=com_content&view=article&id=660:2009-10-30-01-13-09&catid=28:2009-10-30-00-58-49&Itemid=52

หมู่เรือปราบปรามโจรสลัด ให้การต้อนรับ ผบ.CTF 151

ผบ. หมู่เรือฯ มอบของที่ระลึกแก่ผู้บัญชาการกองกำลังเรือนานาชาติที่ 151
ผบ. หมู่เรือฯ นำผู้บัญชาการกองกำลังทางเรือนานาชาติ ที่ 151 และคณะเข้ารับฟังบรรยายสรุปและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกับผู้บังคับบัญชาระดับสูงของหมู่เรือ
พลจัตวา อับดุล อารีม ผู้บัญชาการกองกำลังทางเรือนานาชาติที่ 151 และคณะเดินทางมาถึงเรือรบหลวงสิมิลัน พล.ร.ต. ไชยยศ สุนทรนาค ผบ. หมู่เรือฯ ให้การต้อนรับบริเวณดาดฟ้าเฮลิคอปเตอร์ วันที่ 20 ธันวาคม 2553 เวลา 14.30 น.



หมู่เรือปราบปรามโจรสลัด ให้การต้อนรับ ผบ.CTF 151


ในวันที่ 20 ธ.ค.53 เวลา 14.30 น.ตามเวลาท้องถิ่น หรือตรงกับเวลา 17.30 น. ตามเวลาในประเทศไทย พลจัตวา อับดุล อารีม ผู้บัญชาการกองกำลังทางเรือนานาชาติที่ 151 หรือ CTF151 (Combined Task Force 151) ซึ่งเป็นนายทหารเรือประเทศปากีสถาน และคณะจำนวน 4 คน ประกอบด้วย ผู้บังคับการเรือ HMS CORNWALL ของราชนาวีอังกฤษ นายทหารปฏิบัติหน้าที่ Battle watch Leader จากประเทศแคนาดา และนายทหาร Battle watch จากปากีสถาน เยี่ยมชมการปฏิบัติภารกิจของหมู่เรือปราบปรามโจรสลัด ทั้งบนเรือหลวงสิมิลัน และ เรือหลวงปัตตานี ตามคำเชิญของ พล.ร.ต. ไชยยศ สุนทรนาค ผู้บังคับหมู่เรือฯ ของไทย ในระหว่างลาดตระเวนในพื้นที่ในอ่าวเอเดน

โดยใช้ ฮ. Bell 212 ของหน่วยบินหมู่เรือฯ ทำการรับและส่งคณะทั้งหมดจากเรือ HMS CORNWALL มายัง ร.ล.สิมิลัน โดยผู้บังคับหมู่เรือฯ และผู้บังคับบัญชาระดับสูง ได้ให้การต้อนรับบริเวณดาดฟ้าเฮลิคอปเตอร์ จากนั้นเข้าไปรับฟังการบรรยายสรุปผลการปฏิบัติของหมู่เรือที่ผ่านมา และสนทนาแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการปฏิบัติงานในพื้นที่ ต่อมาเวลาประมาณ 15.30 น. ผบ.CTF 151 และคณะได้ชมการรับ – ส่งน้ำมันกลางทะเลระหว่าง ร.ล.สิมิลัน กับ ร.ล.ปัตตานี ซึ่งผลการปฏิบัติเป็นที่น่าพอใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากสภาพคลื่นลมที่แปรปรวน คลื่นในทะเลมีความสูงมากกว่า 3 เมตร เรือรบทั้งสองลำยังสามารถปฏิบัติการรับ – ส่งน้ำมันได้ ต่อจากนั้นได้ชมการสาธิต Static Display ของชุดปฏิบัติการพิเศษ โดยคณะได้ให้ความสนใจเป็นอย่างยิ่ง

ต่อมาเวลา 16.30 น. พลจัตวา อับดุล อารีม พร้อมคณะได้เดินทางไปยัง ร.ล.ปัตตานี โดยเฮลิคอปเตอร์ของหมู่เรือฯ ซึ่งประจำอยู่บน ร.ล.ปัตตานี เมื่อเดินทางถึง น.อ.ทิวา ดาราเมือง รอง ผบ.หมู่เรือฯ และ น.ท.สาทิพ จิตนาวา ผบ.ร.ล.ปัตตานี ได้ให้การต้อนรับ พร้อมทั้งรับฟังการบรรยายสรุปผลการปฏิบัติของ ร.ล.ปัตตานี และสนทนาแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการปฏิบัติงานในพื้นที่ จนกระทั่งเวลา 17.30 น. ผบ.CTF 151 และคณะจึงได้เดินทางกลับโดยเฮลิคอปเตอร์ของหน่วยบินหมู่เรือฯ ซึ่งประจำอยู่ที่ ร.ล.ปัตตานี นำคณะไปส่งยัง HMS CORNWALL

เป็นที่ภาคภูมิว่า หน่วยบินหมู่เรือฯ จากเรือทั้งสองลำ ได้มีโอกาสนำอากาศยาน ลงจอดในเรือรบราชนาวีอังกฤษ ถือได้ว่าเป็นที่ยอมรับในศักยภาพของราชนาวีไทย ที่มีความเป็นสากลเทียบเท่ากับกองทัพเรือของอารยประเทศ ซึ่งมีขีดความสามารถในการปฏิบัติงานร่วมกันได้เป็นอย่างดียิ่ง

ที่มา: ภาพและเรื่องจากเว็บไซต์หมู่เรือปราบปรามโจรสลัด กองทัพเรือ http://rtncptu.fleetpx.com/rtncptu-daily-news/42-news-and-activities/322--ctf-151.html

สถานทูตที่เกาหลีจัดกิจกรรมกงสุลสัญจรครั้งที่ 2 ณ เมือง คิมโพ

บรรยากาศเป็นกันเองมาก บริการกงสุลสัญจรที่เมืองคิมโปครั้งนี้เป็นบริการที่สถานทูตมอบให้กับพี่น้องคนไทยในเกาหลีส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่
บริการทำหนังสือเดินทาง รับรองเอกสาร และรับปรึกษาปัญหาที่ทำงาน นอกจากเป็นการนำบริการของภาครัฐมาถึงประตูบ้านแล้วยังเป็นโอกาสเยี่ยมเยียนไต่ถามสารทุกข์สุกดิบกันตามประสาคนไทยในต่างแดน
สถานที่กว้างขวาง ด้วยความร่วมมือจากศูนย์ช่วยเหลือแรงงานอีอุด ซารี และโรงเรียนมัธยมแดโกด เมืองคิมโป


สถานทูตที่เกาหลีจัดกิจกรรมกงสุลสัญจรครั้งที่ 2 ณ เมือง คิมโพ

เมื่อ วันอาทิตย์ที่ 12 ธันวาคม 2553 สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้เดินทางไปจัดกิจกรรมกงสุลสัญจร เพื่อให้บริการงานด้านกงสุล แก่ชาวไทยที่อาศัยอยู่ ณ เมืองคิมโป โดยสถานเอกอัครราชทูตฯ ได้รับความร่วมมือจากศูนย์ช่วยเหลือแรงงาน อีอุด ซารี และ โรงเรียนมัธยมแดโกด ให้ใช้สถานที่ในการจัดกิจกรรม รวมทั้งประชาสัมพันธ์ให้ชาวไทยในพื้นที่รับทราบการจัดกงสุลสัญจรในครั้งนี้

กิจกรรมกงสุลสัญจรครั้งนี้ มีชาวไทยประมาณ 50 กว่าคน เข้ามาติดต่อขอทำหนังสือเดินทาง รับรองเอกสาร และงานนิติกรณ์อื่นๆ รวมทั้งขอรับคำปรึกษาปัญหาที่เกิดขึ้นในการทำงาน นอกจากกิจกรรมด้านกงสุลแล้ว สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้ประชาสัมพันธ์และชักชวนชาวไทยลงทะเบียนขอใช้สิทธิเลือกตั้งนอกราชอาณาจักรอีกด้วย

ตลอดเวลาที่ผ่านมา สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้จัดหน่วยกงสุลสัญจรไปยังพื้นที่ต่างๆ ในเกาหลีอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกแก่ชาวไทยที่อยู่ห่างไกลซึ่งประสบปัญหาในการเดินทางมาติดต่อราชการที่สถานเอกอัครราชทูตฯ ที่กรุงโซล กงสุลสัญจรที่จัดขึ้นในครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ที่จัดขึ้นในปีงบปรนะมาณ 2554
ที่มา: เรื่องและภาพจากเว็บไซต์สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล http://www.thaiembassy.or.kr/bd/view.php?id=than&no=48

การทำงานในรัสเซีย


การทำงานในรัสเซีย

ก่อนจะทำงานในรัสเซียต้องผ่านขั้นตอนหลักๆ 3 ขั้น ดังนี้
1. ขออนุญาตทำงานกับทางการรัสเซีย
2. ขอวีซ่าประเภททำงาน
3. เซ็นสัญญาทำงาน

ขั้นที่ 1 ขออนุญาต
1. บริษัททำเรื่องขอจ้างงานบุคคลต่างด้าว แก่ศูนย์การจ้างงานรัสเซีย (Центр занятости) ในอำเภอหรือท้องที่ที่บริษัทผู้จ้างนั้นตั้งอยู่ โดยระบุสาเหตุที่จำเป็นต้องจ้างบุคคลต่างชาติ ตำแหน่ง รายละเอียดและเงื่อนไขการจ้างงาน เงินเดือน ซึ่งมีแบบฟอร์มให้ผู้จ้างนั้นกรอกอยู่แล้ว

2. ส่งเรื่องต่อไปยังหน่วยบริหารท้องที่นั้นที่บริษัทตั้งอยู่ เพื่อขอคำพิจารณาการรับบุคคลต่างด้าวมาทำงานในท้องที่ดังกล่าว

3. หน่วยบริหารท้องที่นั้นส่งเรื่องต่อไปที่กรมจัดหางาน Департамент Федеральной государственной службы занятости населения (Department of Federal State service for population profession) เพื่อสรุปผลเป็นขั้นสุดท้าย อ้างอิงตามความเห็นของ ศูนย์การจ้างงานรัสเซีย (ข้อ 1.) และหน่วยบริหารท้องที่ (ข้อ 2.) ว่าเห็นสมควรอนุญาตบุคคลต่างด้าวนั้นมาทำงานหรือไม่ เพื่อคงสมดุลยภาพระหว่างแรงงานท้องถิ่นและแรงงานต่างด้าวทั่วทั้งประเทศรัสเซีย เมื่ออนุมัติแล้ว (ภายใน 3 วัน) หน่วยงานดังกล่าวจะส่งคำอนุมัติแก่บริษัทผู้จ้าง

4. บริษัทส่งเรื่องพร้อมคำอนุมัติการจ้างงานบุคคลต่างด้าวจากกรมจัดหางาน ไปยังกองตรวจคนเข้าเมืองФедеральная миграционная служба (Federal Migration Services) หรือ ФМС (FMS) หน่วยงานดังกล่าวจะออกเอกสาร 2 ฉบับ คือ
1. ใบอนุญาตจ้างงานแก่ผู้จ้าง เพื่ออนุญาตบุคคลต่างด้าวเข้ามาทำงานในรัสเซีย

2. ใบอนุญาตแก่ผู้รับจ้าง เป็นบัตรพลาสติก มีตราของ ФМС (FMS) ออกให้ 1 คน ต่อบัตร 1 ใบ บัตรนี้มีอายุ 1 ปีเท่านั้น บัตรใช้เพื่ออ้างอิง 1) การทำ Registration หรือการลงทะเบียนถิ่นพำนักชั่วคราวในท้องที่อาศัยของผู้รับจ้าง และ 2) การขอวีซ่าของผู้รับจ้างเพื่อเข้าประเทศรัสเซียด้วย ในวีซ่าจะระบุชื่อบริษัทผู้จ้างที่ตรงกับในบัตรพลาสติกนี้

5. กองอนุญาตเข้าเมืองกระทรวงมหาดไทย (Управление по делам миграции ГУВД г. Москвы) จะรับข้อมูลจากกองตรวจคนเข้าเมืองนี้ เพื่อทำใบเชิญในการขอวีซ่าเข้ารัสเซีย เป็นกระดาษสีเหลือง ระบุวันเดือนปีที่จะเดินทางเข้ารัสเซีย ชื่อบริษัทผู้จ้าง เลขหนังสือเดินทางผู้รับจ้าง ชื่อผู้รับจ้างเป็นภาษาอังกฤษและภาษารัสเซีย จุดผ่านเข้าเมือง (เช่น กรุงเทพฯ – มอสโก หรือ กรุงเทพฯ – เซนต์ปีเตอร์-สเบิร์ก) วันหมดอายุใบเชิญ และอื่นๆ

เอกสารที่ใช้ในการยื่นขอคำอนุญาตเชิญบุคคลต่างด้าวเข้ามาทำงาน
• สำเนาการจดทะเบียนบริษัท รับรองโดย Notary Public 2 ชุด
• สำเนาการเสียภาษีนิติบุคคลประจำปี รับรองโดย Notary Public 2 ชุด
• สำเนาใบประกอบกิจการธุรกิจ รับรองโดย Notary Public 2 ชุด
• สำเนาใบอนุญาตจ้างบุคคลที่ 3 เพื่อประกอบอาชีพ จากกองรับรองการจดทะเบียนของรัฐ 1 ชุด
• สำเนารายได้สุทธิประจำปีของบริษัท (มากกว่า 6 เดือน) เซ็นโดยเจ้าของบริษัท และเจ้าหน้าที่การคลัง และประทับตราของบริษัทนั้น 1 ชุด
• โครงสร้างตำแหน่งงานของบริษัท 1 ชุด
• สำเนาสัญญาจ้างงานกับผู้รับจ้าง 1 ชุด
• สำเนาหน้าหนังสือเดินทางของผู้รับจ้าง 1 ชุด
• ใบรับรองแพทย์ ตรวจผ่านโรค เอดส์ วัณโรค ซิฟิลิส ไทกอ ฯลฯ

ขั้นที่ 2 ขอวีซ่า
เมื่อจะทำงานในรัสเซีย ก็ต้องมี “วีซ่าเพื่อการทำงาน” เท่านั้น
ตามกฎหมายของรัสเซีย จะสามารถขอรับวีซ่าและเดินทางมาทำงานในรัสเซียได้ ก็ต่อเมื่อได้รับใบอนุญาตทำงาน คือ “บัตรพลาสติกประจำตัวผู้รับจ้าง” ซึ่งก็คือ “Work-Permit” การขอใบอนุญาตดังกล่าว ผู้จ้างของคุณ (ไม่ว่าจะเป็นบริษัทรัสเซียหรือบริษัทต่างชาติที่จดทะเบียนถูกต้องรัสเซีย) เป็นผู้เตรียมเอกสารและดำเนินการกับหน่วยงานรัฐของรัสเซียเอง เมื่อได้รับใบอนุญาตมาทำงานแล้ว คุณจึงจะเดินทางมาทำงานได้

เอกสารสำคัญเพื่อขอวีซ่าทำงาน...
1. หนังสือเดินทาง มีอายุใช้งานไม่ต่ำกว่า 1 ปี 6 เดือน
2. บัตรพลาสติกประจำตัวผู้รับจ้าง หรือ Work-Permit ออกโดย Федеральная миграционная служба (Federal Migration Services) หรือ ФМС (FMS)
3. หนังสือเชิญ ออกโดยกระทรวงมหาดไทย
4. ใบรับรองการตรวจเอดส์และโรคอื่นๆ เฉพาะในกรณีที่เอกสารหนังสือเชิญ (ข้อ 3.) มีอายุเกินกว่า 3 เดือน ณ วันที่ยื่นเอกสารขอวีซ่านั้น
เอกสารในข้อ 2., ข้อ 3. ผู้จ้างเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินเอกสารทั้งหมดเพื่อขออนุญาตให้คุณมาทำงานอย่างถูกต้องในรัสเซีย ผู้รับจ้างไม่สามารถดำเนินการด้วยตนเองได้

วีซ่าที่สามารถออกให้เพื่อเข้ามาทำงานนั้น เป็นประเภท Working Visa มีอายุไม่เกิน 1 ปี ส่วนใหญ่ออกให้ 3 เดือน เพื่อเข้ามาต่ออายุเป็นปีต่อปีในประเทศรัสเซีย ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของสถานทูตรัสเซีย

การต่อวีซ่า เมื่อเข้ามาทำงานในรัสเซียโดยวีซ่าเพื่อการทำงานนั้นแล้ว สามารถต่อวีซ่าได้ปีต่อปี โดยไม่ต้องออกนอกประเทศ บริษัทผู้จ้างนั้นเป็นผู้ดำเนินการ

เมื่อเดินทางมาแล้ว ผู้รับจ้างแค่มอบหนังสือเดินทางและเอกสารการเข้าเมืองอื่นๆ (บัตร Migration Card และใบ Registration ลงทะเบียนพำนักในรัสเซีย) เพื่อให้ผู้จ้างดำเนินการรีจิสเตอร์ตามกฎหมาย ผู้รับจ้างดำเนินการเองมิได้
ขั้นที่ 3 สัญญาจ้างงาน

สัญญาการจ้างงาน คือ การตกลงหรือเห็นพ้องระหว่างทั้งสองฝ่าย ได้แก่ ผู้จ้าง และผู้รับจ้าง ผู้จ้างมีหน้าที่มอบหมายงานและจ่ายค่าตอบแทนการทำงานแก่ผู้รับจ้างตามที่ตกลงเงื่อนไขในสัญญา ส่วนผู้รับจ้างมีหน้าที่ปฏิบัติงานตามระเบียบและขั้นตอนในองค์กร หรือตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมายจากผู้จ้าง

สัญญาที่ดี (ส่วนที่ 3 บทที่ 10 มาตราที่ 57 / часть 3, глава 10, статья 57, ТК РФ) ควรมีรายละเอียด ดังนี้
• ชื่อ นามสกุลจริงของผู้รับจ้างและผู้จ้าง
• เอกสารหลักฐานประกอบ แสดงความเป็นตัวตนของผู้รับจ้างและผู้จ้างนั้นๆ เช่น พาสปอร์ตสำหรับใช้ในประเทศสำหรับผู้จ้างชาวรัสเซีย หรือบัตรประชาชนสำหรับผู้รับจ้างชาวไทย รวมทั้งเอกสารอื่นๆ ซึ่งสามารถยืนยันได้ว่า ผู้จ้างนั้นเป็นบุคคลที่ประกอบธุรกิจโดยชอบตามกฎหมาย และมีสิทธิจ้างบุคคลต่างชาติเข้ามาทำงาน)
• สถานที่ทำงานรับจ้าง
• วัน เวลาที่ลงนามในสัญญา
• วันที่สัญญาเริ่มมีผลบังคับใช้และยุติ
• ตำแหน่งหน้าที่ของผู้รับจ้างให้ปฏิบัติงาน ซึ่งระบุในกฎหมายว่าบุคคลต่างด้าวนั้นสามารถทำได้ พร้อมสิทธิและข้อจำกัดต่างๆ ตามหน้าที่นั้น
• สิทธิที่พึงได้ และ ข้อบังคับที่ต้องปฏิบัติ สำหรับผู้จ้าง
• สิทธิที่พึงได้ และ ข้อบังคับที่ต้องปฏิบัติ สำหรับผู้รับจ้าง
• เงื่อนไขการปฏิบัติงาน และค่าชดเชยตามลักษณะงานนั้น
• เงื่อนไขชั่วโมงทำงาน วันทำงาน และวันหยุดประจำสัปดาห์
• เงื่อนไขการจ่ายค่าตอบแทนการปฏิบัติงาน ตามตำแหน่งงาน บำเหน็จรางวัล โบนัสประจำเดือนหรือปี และข้อเสนอรางวัลต่างๆ
• ประกันสังคม ตามลักษณะงานนั้น
• เงื่อนไขอื่นๆ เช่น ช่วงเวลาการทดลองงาน สัญญาการไม่แพร่งพรายความลับ เงื่อนไขการปฏิบัติงานหลังจากการฝึกสอนงาน (อาจมี หรือไม่มีก็ได้) ฯลฯ ทั้งนี้ เงื่อนไขนั้นๆจะต้องไม่เป็นการลด กีดกัน จำกัดสิทธิต่างๆที่ผู้รับจ้างมีสิทธิได้ตามสัญญานั้นๆ

สัญญาต้องมีลักษณะ (ส่วนที่ 3 บทที่ 11 มาตราที่ 67 / часть 3, глава 11, статья 67, ТК РФ)
1) จัดทำเป็นลายลักษณ์อักษร
2) จัดทำเป็น 2 ฉบับ รายละเอียดทุกส่วนครบถ้วนทั้งสองฉบับเหมือนๆ กัน ลงนามรับรองข้อตกลงในสัญญาโดยทั้งฝ่าย นายจ้างและผู้รับจ้าง ฉบับหนึ่งต้องให้แก่ผู้รับจ้าง อีกฉบับหนึ่งเก็บไว้โดยนายจ้างเอง

เมื่อเกิดการตกลงว่าจ้างงาน หากผู้รับจ้างตกลงทำงาน โดยไม่มีสัญญาลงนามไว้ก่อนนั้น การว่าจ้างงานนั้นก็ยังมีผล และผู้รับจ้างต้องทำงานตามนั้น และตามกฎหมาย ฝ่ายผู้จ้างเองจะต้องทำสัญญาที่ถูกต้องเป็นลายลักษณ์อักษรแก่ผู้รับจ้างภายในระยะเวลา 3 วัน นับจากวันที่ผู้รับจ้างเข้าทำงานจริง

หากนายจ้างไม่ยอมทำสัญญาจ้างงานที่ถูกต้อง ผู้รับจ้างมีสิทธิยื่นฟ้องขอความเป็นธรรมได้กับหน่วยงานตรวจสอบแรงงานรัฐหรือศาลได้

การเปลี่ยนแปลงรายละเอียดในสัญญาจ้างงาน
ผู้จ้างจะต้องแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรให้ผู้รับจ้างรับทราบรายละเอียดการเปลี่ยนแปลงจากสัญญาจ้างงานเดิม ภายในระยะเวลา 2 เดือน ก่อนการเปลี่ยนแปลงจะเริ่มมีผล (ส่วนที่ 3 บทที่ 12 มาตราที่ 73 / часть 3, глава 12, статья 73, ТК РФ)

การปรับลด/เพิ่มค่าตอบแทนหรือเงินเดือน ก็ถือเป็นหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดสัญญาจ้างงาน เมื่อจะปรับหรือลด ควรทำสัญญาใหม่ พร้อมระบุอัตราใหม่ โดยยินยอมกันทั้งสองฝ่ายและลงนามรับรองเป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจนทั้งผู้จ้างและผู้รับจ้าง (มาตราที่ 72 ของกฎหมายแรงงานรัสเซีย / статья 72, ТК РФ)

กรณีที่ทั้งสองฝ่ายต้องการยกเลิกสัญญา
การยุบ แยก รวม เปลี่ยนชื่อบริษัท ฯลฯ มักนำไปสู่การปลด และการยุติสัญญาระหว่างผู้จ้างและผู้รับจ้าง ในกรณีนี้ ทั้งสองฝ่าย คือ ผู้จ้างและผู้รับจ้างต้องยินยอมต่อกันและกันแล้วเท่านั้น ตามหลักแล้ว ในกรณีที่ยกเลิกสัญญาก่อนกำหนด ตามปกติ ผู้จ้างมักเสนอค่าตอบแทนส่วนหนึ่งตามแต่ตกลงกันได้ทั้งสองฝ่าย เพื่อแลกกับการยุติสัญญาอันเป็นผลพวงจากการยุบ รวมบริษัทนั้นๆ เป็นต้น

การขยายบริษัท – รวมบริษัท – รวมหุ้น – แยกบริษัท – เปลี่ยนชื่อบริษัท และการเปลี่ยนแปลงใดๆอันมีผลให้เงื่อนไขในสัญญาเปลี่ยนไป ถือว่าเข้าข่ายที่สามรรถยกเลิกสัญญาเดิมได้ หากผู้รับจ้างไม่ประสงค์จะทำงานต่อกับบริษัทเดิม สัญญาเก่าถือเป็นอันยกเลิกได้ และไม่มีผลบังคับใช้อีกต่อไป (มาตราที่ 77 ของบทที่ 6 ของกฎหมายแรงงานรัสเซีย / часть 6, статья 77, ТК РФ)

โดยสรุปแล้ว ก่อนตกลงใจจะทำงาน ควรศึกษารายละเอียดของสัญญาให้เข้าใจครบถ้วน และเมื่อพอใจแล้วจึงเซ็นสัญญา เมื่อเซ็นแล้ว ผู้รับจ้างจะต้องตระหนักว่า ทุกสิ่งที่ระบุในสัญญา ล้วนเป็นพันธะทางกฎหมาย ทั้ง สิทธิ ที่พึงได้ตามกฎหมาย และ ข้อบังคับ ที่พึงปฏิบัติอย่างครบถ้วนของทั้งสองฝ่าย การละเมิดกรณีใดๆก็ตามที่ผิดไปจากในสัญญาโดยฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ถือเป็นการกระทำผิดทางกฎหมายได้ และสามารถนำไปสู่บทลงโทษตามกฎหมายทั้งสิ้น

การจ่ายค่าแรงในรัสเซีย
การจ่ายเงินค่าแรงในรัสเซีย ตามกฎหมาย ผู้จ้างจ่ายไม่ต่ำกว่าทุกครึ่งเดือน โดยจ่าย ณ วันที่ตกลงไว้ในสัญญาจ้างงาน กรณีที่จ่ายเป็นรายเดือนไม่ถือว่าผิด แต่ให้ระบุในสัญญาและลงนามตามเห็นชอบทั้งฝ่ายผู้จ้างและผู้รับจ้าง (มาตราที่ 136 บทที่ 6 / часть 6, статья 136, ТК РФ)

ผู้จ้างไม่มีสิทธิใดๆ ทั้งสิ้นที่จะไม่จ่ายเงินหรือจ่ายเงินล่าช้าแก่คุณ และไม่มีสิทธิอ้างปัญหาการดำเนินเอกสารของผู้รับจ้างไม่ครบ เพื่อจ่ายค่าแรงล่าช้าหรือไม่จ่ายค่าแรง กรณีนี้ ผู้รับจ้างสามารถฟ้องร้องได้

กรณีที่ผู้จ้างจ่ายเงินล่าช้ากว่า 15 วันขึ้นไป นับจากวันที่ควรได้รับ ผู้รับจ้างสามารถหยุดทำงาน หลังจากที่แจ้งเตือนผู้จ้างเรื่องการค้างจ่ายค่าแรงเป็นลายลักษณ์อักษรแล้ว (กฎหมายมาตราที่ 142 บทที่ 2 / часть 2, статья 236, ТК РФ) แต่ต้องกลับมาทำงานตามปกติในทันทีเมื่อผู้จ้างจ่ายเงินแล้ว หรือหลังจากวันที่ได้รับคำมั่นสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรจากผู้จ้างว่าจะจ่ายค่าตอบแทนแน่นอน

การค้างจ่ายค่าแรง คือ การที่ไม่ได้รับค่าตอบแทนจากผลการทำงาน ตามสิทธิที่ควรได้ ทั้งเต็มมูลค่า หรือกึ่งหนึ่งของมูลค่าที่พึงได้ (มาตราที่ 145.1 / статья 145.1, ТК РФ) การค้างจ่ายค่าแรงเกิดขึ้นเมื่อไม่ได้รับค่าตอบแทนเป็นระยะเวลามากกว่า 2 เดือนขึ้นไปนับแต่วันที่พึงได้รับนั้น

การยุติสัญญา
ปัญหาที่มักเกิดขึ้นบ่อยครั้งในรัสเซีย คือ การขอยุติสัญญาก่อนกำหนด เนื่องจากไม่พอใจเงื่อนไขสัญญา หรืออยากให้ผู้จ้างแก้ไขสัญญาเป็นอย่างที่ต้องการ ซึ่งเมื่อผู้จ้างและผู้รับจ้างตกลงกันไม่ได้ ก็มักจบลงด้วยการยุติสัญญา

ในประเทศรัสเซีย สัญญาจ้างงานสามารถยุติและยกเลิกได้ (ประมวลกฎหมายแรงงาน บทที่ 13 มาตราที่ 77 / глава 13, статья 77, ТК РФ) ตามเหตุผล ดังนี้
1. เห็นชอบกันทั้งผู้จ้างและผู้รับจ้าง (มาตราที่ 78 / глава 13, статья 78, ТК РФ)
2. สัญญาหมดอายุตามที่ระบุไว้ (ข้อที่ 2 มาตราที่ 58 / пункт 2, статья 58, ТК РФ)
3. การขอยุติสัญญาโดยการลาออก ตามความประสงค์ของผู้รับจ้าง (มาตราที่ 80 / статья 80, ТК РФ)
4. การขอยุติสัญญาโดยการไล่ออก ตามความประสงค์ของผู้จ้าง (มาตราที่ 81 / статья 81, ТК РФ)
5. การเปลี่ยนแปลงลักษณะงาน ตำแหน่ง หรือหน้าที่ตามความประสงค์ของผู้รับจ้าง หรือตามความสมัครใจของผู้รับจ้าง
6. การปฏิเสธที่จะทำงานต่อของผู้รับจ้าง จากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างบริหารงานในบริษัท (มาตราที่ 75 / статья 75, ТК РФ)
7. การปฏิเสธที่จะทำงานต่อของผู้รับจ้าง จากการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดและ/หรือเงื่อนไขในสัญญาจ้างงานเดิม (มาตราที่ 73 / статья 73, ТК РФ)
8. การปฏิเสธที่จะทำงานต่อของผู้รับจ้าง เพราะถูกสั่งย้ายงานตามสาเหตุทางสุขภาพของผู้รับจ้าง บนพื้นฐานของคำวินิจฉัยโรคแพทย์ (มาตราที่ 72 / статья 72, ТК РФ)
9. การปฏิเสธที่จะทำงานต่อของผู้รับจ้าง เนื่องจากการย้ายสถานที่ทำงานของผู้จ้าง (มาตราที่ 72 / статья 72, ТК РФ)
10. สถานการณ์สังคมและการเมือง ซึ่งอยู่นอกเหนือจากความประสงค์ของทั้งผู้จ้างและผู้รับจ้าง (มาตราที่ 83 / статья 83, ТК РФ)
11. การละเมิดกฎหมายแรงงานหรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับสภาพการทำงาน อันเป็นผลให้ไม่สามารถปฏิบัติงานตามสัญญาต่อได้ (มาตราที่ 84 / статья 84, ТК РФ)

กรณีการยกเลิกกิจการของบริษัท ผู้รับจ้างจะต้องได้รับเงินชดใช้ค่าเสียหายตามกฎหมาย เป็นจำนวนเงินเทียบเท่าเงินเดือนเฉลี่ยต่อ 1 เดือน และจ่ายชดเชยแก่ผู้รับจ้าง เป็นระยะเวลารวมไม่เกิน 2 เดือน ในช่วงระหว่างที่ผู้รับจ้างนั้นหางานใหม่อยู่ นับจากวันที่ถูกยุติสัญญาด้วยเหตุผลดังกล่าว

การลาออก
สิทธิขอลาออกจากบริษัทเป็นของผู้รับจ้าง สัญญาจ้างงานยกเลิกและยุติได้เมื่อผู้รับจ้างแจ้งให้ผู้จ้างรับทราบก่อนล่วงหน้าเป็นระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 2 สัปดาห์ล่วงหน้า หรือตามระยะเวลาที่อาจระบุในเงื่อนไขพิเศษในสัญญาที่ทำกับบริษัท ระยะเวลาสองสัปดาห์ดังกล่าวนั้น หากผู้จ้างอนุญาต ผู้รับจ้างก็มีสิทธิไม่ต้องทำงานต่อจนครบวันที่ขอลาออกได้ (ประมวลกฎหมายแรงงานรัสเซียมาตราที่ 80 / статья 80, ТК РФ)

นอกจากนี้ ถ้าผู้รับจ้างไม่สามารถปฏิบัติงานในช่วงเวลาที่เหลือได้ เพราะเหตุผลทางสุขภาพ เป็นต้น จะต้องแสดงหลักฐานได้จริงว่าไม่สามารถปฏิบัติงานได้ตามปกติ

การไล่ออก
ผู้รับจ้างพึงระลึกไว้เสมอว่า กฎหมายของรัสเซียก็เปิดโอกาสให้ผู้จ้างไล่พนักงานของตนออกจากงานได้ ตามเหตุผลต่างๆ (ประมวลกฎหมายแรงงานมาตราที่ 81 / статья 81, ТК РФ) ดังนี้
1. ยกเลิกกิจการโดยบริษัท หรือการเลิกกิจการโดยบุคคลธรรมดา
2. การลดจำนวนพนักงานในบริษัท
3. หมดสมรรถภาพการทำงาน ตามความเห็นของแพทย์ หรือไม่สามารถดำเนินงานได้ตามที่ระบุในสัญญา โดยมีสาเหตุจากคุณสมบัติของตัวผู้รับจ้างเอง และมีใบรับรองว่าเป็นจริง (เช่น เป็นโรคเรื้อรัง ฯลฯ)
4. หมดประสิทธิภาพการทำงาน ตามการทดสอบความสามารถ
5. การเปลี่ยนเจ้าของกิจการ
6. การที่ผู้รับจ้างไม่ปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากผู้จ้าง โดยขาดเหตุผลที่น่าเคารพ และยังคงไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ต่อไป แม้ว่าจะได้รับการตัดเตือน ถูกปรับ ลงโทษตามสัญญา แล้วก็ตาม
7. การที่ผู้รับจ้างกระทำการ ดังนี้
o ผู้รับจ้างไม่มาปฏิบัติงานเกินระยะเวลาที่กำหนดให้โดยผู้จ้าง และ/หรือไม่ได้รับอนุญาตจากผู้จ้าง
o ผู้รับจ้างไม่อยู่ในสถานที่ปฏิบัติงานในเวลาที่ต้องปฏิบัติงาน โดยขาดเหตุผลที่น่าเคารพ เป็นระยะเวลามากกว่า 4 ชม. ติดต่อกัน
o การดื่มสุรา เสพสารเสพติดต่างๆ หรืออยู่ในอาการมึนเมาจากสุรา หรือสารเสพติดนั้นๆ ในเวลาปฏิบัติงานหรือในสถานที่ปฏิบัติงาน
o การแพร่งพรายความลับของผู้จ้าง ที่ผู้รับจ้างรู้มาจากการปฏิบัติงาน
o การยักยอก ขโมย ทรัพย์สินในที่ปฏิบัติงานหรือทรัพย์สินของผู้จ้าง ตลอดจนทำทรัพย์สินให้เสียหาย หรือจงใจทำลายทรัพย์สินนั้นๆ ในกรณีดังกล่าว ผู้จ้างสามารถดำเนินคดีเพื่อเรียกร้องส่วนที่เสียหายได้ที่หน่วยงานหรือองค์กรที่เกี่ยวข้องได้
8. การบกพร่องในหน้าที่อันเป็นผลจากการละเลย หรือการกระทำในขณะปฏิบัติงานที่ผิดของผู้รับจ้าง อันนำมาซึ่งความเสียหายแก่ผู้จ้าง 9. การทำอนาจาร หรือประพฤติตนไม่เหมาะสมหรือสอดคล้องกับหลักศีลธรรม ตลอดจนสร้างความเสื่อมเสียให้แก่ชื่อเสียงของบริษัทหรือตัวผู้จ้างเอง โดยไม่ขึ้นอยู่กับว่าผู้รับจ้างจะกำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่หรือไม่
10. การตัดสินใจด้วยตนเองโดยพลการ หรือละเมิด ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งหรือการตัดสินใจจากผู้จ้างหรือหัวหน้าผู้บริหารงาน ตลอดจนผู้อำนวยการ หรือรองผู้อำนวยการ หรือหัวหน้าสาขา หรือหัวหน้าสายงาน จนก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้จ้างอย่างรุนแรง แม้เพียงครั้งเดียว
11. การที่ตัวแทนผู้บริหารหรือตัวแทนของผู้จ้าง ที่มีอำนาจตามหน้าที่ละเมิดการเก็บรักษาทรัพย์สินของบริษัท หรือใช้ทรัพย์สินต่างๆในทางที่ไม่เหมาะสม
12. การปฏิบัติหน้าที่ไม่เหมาะสมแก่ผู้จ้างซ้ำหลายครั้ง
13. การแจ้งเอกสารเท็จแก่ผู้จ้าง หรือปลอมแปลงเอกสารเพื่อทำสัญญาจ้างงาน
14. การทำให้ความลับของทางการรั่วไหล
15. การละเมิดข้อตกลงในสัญญาจ้างงาน
16. การละเมิดส่วนหนึ่งส่วนใดในประมวลกฎหมายแรงงานสหพันธรัฐรัสเซีย

ทั้งนี้ การยกเลิกสัญญาจ้างตามเหตุผลดังที่ได้กล่าวข้างต้นนั้น มีวิธีและรูปแบบการดำเนินการที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับความเห็นพ้องต่อกันระหว่างทั้งฝ่ายผู้จ้างกับผู้รับจ้างเอง

หากถูกไล่ออกอย่างไม่เป็นธรรม ผู้รับจ้างนั้นมีสิทธิฟ้องศาลได้ภายในช่วงระยะเวลา 1 เดือนนับจากวันที่ถูกไล่ออกอย่างไม่เป็นธรรม (ประมวลกฎหมายแรงงานรัสเซียมาตราที่ 392 บทที่ 1 / часть 1, статья 392, ТК РФ)

หากศาลปฏิเสธที่จะรับฟังคำร้องของผู้รับจ้างนั้นไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม สามารถยื่นเรื่องต่อสำนักงานตรวจสอบแรงงานรัฐ (Государственная инспекция труда) หรือสำนักงานอัยการรัฐได้

อนึ่ง แม้ว่าผู้รับจ้างที่มีสิทธิขอลาพักร้อน คือผู้รับจ้างที่ทำงานเกินกว่า 6 เดือนในปีแรกของสัญญาจ้างงาน กระนั้น ค่าชดเชยสำหรับจำนวนวันพักร้อนนี้ ผู้จ้างก็ต้องจ่ายแก่ผู้รับจ้างงาน แม้ว่าบุคคลนั้นจะยังทำงานได้ไม่เกิน 6 เดือนในปีแรกของสัญญาจ้างงาน

การทำงานล่วงเวลา
การทำงานล่วงเวลา คือ งานที่เกิดขึ้นและปฏิบัติโดยผู้รับจ้าง ตามความประสงค์ของผู้จ้าง ภายในช่วงเวลาที่เกินกว่าเวลาต่อเนื่องตามที่ระบุในสัญญาว่าเป็นเวลาทำงานปกติ ไม่ว่าจะตามวัน หรือตามชั่วโมง หรือเป็นกะเวร การทำงานล่วงเวลายังรวมถึงการปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญา ในวันที่ไม่ได้ระบุในสัญญาว่าเป็นวันทำงานปกติ (ประมวลกฎหมายแรงงานรัสเซียมาตราที่ 99 / статья 99, ТК РФ)

บุคคลที่ไม่สามารถทำงานล่วงเวลาได้ ตามประมวลกฎหมายแรงงานรัสเซีย:
• ผู้หญิงตั้งครรภ์
• บุคคลอายุต่ำกว่า 18 ปี
• คนพิการ
• ผู้หญิง ที่มีลูกอายุต่ำกว่า 3 ขวบ

การทำงานล่วงเวลา ทำได้ไม่เกิน 4 ชั่วโมง ต่อระยะเวลา 48 ชั่วโมง และคิดเป็นจำนวนทั้งหมดไม่เกิน 120 ชั่วโมง ต่อ 1 ปี
การเดินทางออกจากรัสเซียเพื่อไปฝึกงานหรือทำงานตามที่ได้รับมอบภารกิจในต่างประเทศ

การเดินทางออกนอกประเทศในเขตปกครองของสหพันธรัฐรัสเซียตามที่บุคคลต่างด้าวผู้นั้นได้รับอนุญาตให้ทำงาน เพื่อการฝึกงานหรือปฏิบัติภารกิจตามมอบหมาย จะต้องไม่เกินระยะเวลา 10 วัน ตราบที่สิทธิการทำงานในรัสเซียยังมีผลตามกฎหมาย และ/หรือ ในกรณีที่บุคคลต่างด้าวผู้นั้นได้รับอนุญาตให้พำนักชั่วคราวนั้น จะต้องไม่เกินระยะเวลา 40 วัน ภายในช่วงเวลา 12 เดือนติดต่อกันในปฏิทิน (รัฐกำหนดของสหพันธรัฐรัสเซีย ลงวันที่ 17 ก.พ. 2007 ฉบับที่ 97 / Постановление Правительства РФ от 17 февраля 2007 № 97


ที่มา: เว็บไซต์สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมอสโก http://th.thaiembassymoscow.com/info/?section=s2#การทำงานในรัสเซีย

การเปิดร้านอาหารไทยในกรุงมอสโกและนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก


การเปิดร้านอาหารไทยในกรุงมอสโกและนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก

แนวโน้มตลาด
• ร้านอาหารเป็นตลาดขายปลีกที่เติบโตมากที่สุดสาขาหนึ่ง ในปี 2007 เติบโต 29% แต่การบริโภคยังอยู่ระดับต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศตะวันตก และมีช่องว่างที่จะเติบโตได้อีกมาก จึงเป็นสาขาที่ น่าลงทุน

• ตลาดร้านอาหารทั้ง 3 ประเภทคือ อาหารจานด่วน อาหารระดับธรรมดา (casual) และอาหารระดับหรู มีอัตราเติบโตอย่างมาก

• กรุงมอสโกเป็นตลาดสำหรับการรับประทานอาหารนอกบ้านที่ใหญ่ที่สุด มีส่วนแบ่ง 22% ของตลาดทั้งประเทศ มีค่าใช้จ่ายในการรับประทานอาหารนอกบ้านคนละ 400 ดอลลาร์สหรัฐในปี 2007 ตลาดมีขนาดใหญ่กว่านครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก 2-3 เท่า มอสโกมีร้านอาหารและร้านกาแฟประมาณ 4,200 ร้าน รายได้เฉลี่ยของร้านอาหารเท่ากับ 8.4 แสนดอลลาร์สหรัฐในปี 2006 และคาดว่าจะมากกว่า 1 ล้านดอลลาร์ในปี 2008

• เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กเป็นตลาดที่เติบโตอย่างมีพลวัต และมีอุปสรรคในการเข้าตลาดน้อยกว่ามอสโก ราคาอสังหาริมทรัพย์อยู่ในระดับ 1 ใน 3 ของมอสโก

• พัฒนาการที่ควรนำมาพิจารณามากที่สุดในการเปิดร้านอาหารไทยในมอสโก คือ(1) ราคาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งอาจจะเพิ่มได้ถึง 40-50% ต่อปี โดยเจ้าของจะสามารถเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขในสัญญาและเพิ่มค่าเช่าเป็นรายปี เนื่องจากส่วนใหญ่สัญญามีระยะเวลา 1 ปี นอกจากนี้ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากเงินเฟ้อ ทำให้เจ้าของจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงรูปแบบธุรกิจและราคา ซึ่งจะมีผลกระทบต่อการให้บริการลูกค้า (2) รูปแบบของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง โดยชาวรัสเซียเริ่มนิยมรับประทานนอกบ้านเป็นประจำ และให้ความสำคัญกับปัจจัยที่ไม่ใช่ราคา (non-price factors) มากยิ่งขึ้น ซึ่งได้แก่ คุณภาพอาหาร ชื่อเสียงของร้าน ทำเลที่ตั้ง การตกแต่งภายใน นโยบายการตลาด (3) การก่อสร้างศูนย์การค้าที่มีศูนย์อาหารมากขึ้นเรื่อย ๆ ร้านอาหารและร้านกาแฟจะเป็นส่วนหนึ่งของ retail concept ในลักษณะ “retailtainment” และ (4) ความสนใจใน exotic food โดยอาหารจีนและญี่ปุ่นเป็นที่นิยมในหมู่ชนชั้นกลาง

• อาหาร exotic ที่เป็นตลาดใหญ่ที่สุดในรัสเซียสำหรับการรับประทานนอกบ้าน คือ อาหารญี่ปุ่น ซึ่งมีอยู่ถึง 500 ร้าน สร้างรายได้ 3.5 แสนล้านดอลลาร์ แต่นักวิจัยบางรายระบุว่าขณะนี้ความนิยมในร้านอาหารญี่ปุ่นได้เริ่มลดลง และผู้บริโภคมีการร้องเรียนเรื่องคุณภาพอาหารญี่ปุ่นในรัสเซียมากขึ้น อย่างไรก็ตาม เจ้าของธุรกิจ รวมทั้งที่เป็น chain กำลังรุกหนักที่จะเปิดร้านอาหารญี่ปุ่นในมอสโกและภูมิภาคอื่นมากขึ้น โดยมองว่าอาหารญี่ปุ่นยังมีศักยภาพที่จะเติบโตได้อีกมากในตลาดรัสเซีย

• ชาวรัสเซียค่อนข้างจะยืดหยุ่นในเรื่องประเภทและรสชาติของอาหาร ซึ่งเป็นสิ่งดีสำหรับผู้เข้ามาในตลาดรายใหม่ที่จะเสนอสิ่งใหม่และน่าสนใจให้ชาวรัสเซีย

โอกาสและความเสี่ยง
โอกาสของบริษัทของไทยในการเปิดร้านอาหารในรัสเซียคือ (1) รายได้ผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น การเติบโตของตลาดทุกสาขา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ร้านอาหารระดับธรรมดา และอาหารจานด่วน (2) ความสนใจในประเทศไทยและอาหารไทย ซึ่งเป็นผลมาจากความนิยมท่องเที่ยวไทย (3) ตลาด niche สำหรับอาหาร exotic คุณภาพสูงและดั้งเดิมจากประเทศตะวันออกไกล และ (4) การขาดแคลนการให้บริการที่มีความรวดเร็ว

ความเสี่ยงและภัยคุกคามสำหรับร้านอาหารไทยในมอสโกและเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กคือ (1) ราคาอสังหาริมทรัพย์ และต้นทุนอื่น ๆ (เช่นบุคลากร และเครื่องปรุงอาหาร) ที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ (2) ชื่อเสียงร้านอาหารญี่ปุ่นที่แย่ลง (3) การแข่งขันที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ (4) การขาดแคลนเครื่องปรุงและผลิตภัณฑ์อาหารที่เป็นของดั้งเดิม และ (5) กฎระเบียบที่เข้มงวดของหน่วยงานของรัฐ
ขั้นตอนการเปิดร้านอาหารไทยในมอสโกและเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก

การจัดตั้งธุรกิจในรัสเซียเป็นกระบวนการที่ซับซ้อน ซึ่งอาจจะมีความแตกต่างระหว่างกฎระเบียบที่เป็นทางการ กับหลักปฏิบัติอย่างไม่เป็นทางการ ซึ่งขอแนะนำให้บริษัทที่จะทำธุรกิจในรัสเซียใช้บริการที่ปรึกษาด้านกฎหมาย การเงินและอุตสาหกรรม

ขั้นตอนการเปิดร้านอาหารในรัสเซียได้แก่ (1) จัดทำแผนธุรกิจของร้านอาหาร (2) จัดตั้งวิสาหกิจ (3) ยื่นขอรับใบอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (4) หาสถานที่ และลงนามสัญญาเช่า (5) ว่าจ้างผู้บริหารและบุคลากรด้านบริการ (6) โลจิสติกส์และการจัดหาเครื่องปรุง วัสดุและอุปกรณ์การผลิตอื่น ๆ (7) พิธีเปิดร้านอาหาร การตลาดและประชาสัมพันธ์

การประมาณรายรับ รายจ่าย กำไร ขาดทุน และการลงทุนเบื้องต้น
รายรับ ต้นทุน และกำไรสำหรับการจัดตั้งร้านอาหารระดับกลางในกรุงมอสโก ซึ่งเป็นการประมาณการคร่าว ๆ

ร้านอาหารระดับกลางที่มีรายรับระหว่าง 500,000 – 800,000 ดอลลาร์/ปี จะต้องใช้เงินลงทุนเบื้องต้นระหว่าง 700,000 – 1,100,000 ดอลลาร์สหรัฐ หากเป็นการเช่าสถานที่

โครงสร้างของกิจการ
เจ้าของกิจการรายใหญ่ในตลาดนี้จะยื่นขอเปิดบริษัทในลักษณะ (1) บริษัทถือหุ้นในกิจการ (holding company) ในประเทศไซปรัส หรือประเทศอื่น ๆ (offshore) (2) บริษัท offshore ที่มีวัตถุประสงค์พิเศษสำหรับบริษัทที่เป็นเจ้าของตราสินค้า/franchise/สินทรัพย์ และ (3) บริษัทจำกัดที่เป็นนิติบุคคลดำเนินธุรกิจร้านอาหาร ซึ่งโครงสร้างเหล่านี้ถือว่าเหมาะสมที่สุดสำหรับการเสียภาษีและช่วยแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับสิทธิการเป็นเจ้าของ

ราคาอสังหาริมทรัพย์
ราคาอสังหาริมทรัพย์ในมอสโกและเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กสูงมากและมีอัตราเติบโตปีละมากกว่า 30% (ในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งเป็นภัยคุกคามหลักต่อการดำเนินธุรกิจร้านอาหาร เนื่องจากค่าเช่าที่สูงขึ้นในลักษณะควบคุมไม่ได้เป็นผลเสียอย่างมากต่อกำไร การหลีกเลี่ยงความเสี่ยงของราคาอสังหาริมทรัพย์คือ บริษัทควรจะพิจารณาความเป็นไปได้ในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ หรือเช่าพื้นที่ในศูนย์การค้า ซึ่งค่าเช่าและเงื่อนไขดีกว่าและสมเหตุสมผลกว่าร้านที่ตั้งอยู่เดี่ยว ๆ ในใจกลางมอสโกและเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก

ลักษณะสำคัญสำหรับการเปิดร้านอาหาร

- การหาบุคลากรที่มีคุณภาพสำหรับร้านอาหารในมอสโกและเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กเป็นเรื่อง ท้าทายอีกประการหนึ่ง ระดับการว่างงานในมอสโกเกือบเท่ากับศูนย์ และอัตราค่าจ้างเติบโตประมาณ 20-30% ต่อปี (ในรูปเงินดอลลาร์)

- บริษัทควรพิจารณาร้านอาหารทั้ง 3 ประเภทคือ อาหารจานด่วน อาหารระดับธรรมดา และอาหารระดับหรู เนื่องจากแต่ละประเภทมีทั้งข้อดีและข้อเสีย

- ร้านอาหารบริการด่วนเป็นทางเลือกที่น่าสนใจที่สุด เนื่องจากเติบโตเร็วที่สุดและยังอิ่มตัวน้อยที่สุด อาหารระดับธรรมดามีทางเลือกหลากหลาย อาทิ ด้านทำเลที่ตั้ง ขนาด และประเภทของอาหาร อาหารชั้นดี (ระดับบนสำหรับอาหารระดับธรรมดา) มีโอกาสที่น่าสนใจเช่นเดียวกัน

- กิจการร้านอาหารที่ตั้งใหม่ควรจะมีแผนส่งเสริมการตลาดอย่างดี ในปีแรก ร้านอาหารระดับธรรมดาอาจจะต้องใช้งบประมาณเพื่อการประชาสัมพันธ์และกิจกรรมส่งเสริมการตลาดประมาณ 1 – 1.5 หมื่นดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน

- ร้านอาหารระดับธรรมดาในมอสโกและเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กอาจจะมีกำไรต่ำมาก โดยเฉพาะในปีแรก ซึ่งการเปิดสาขาเพิ่มขึ้นจะช่วยให้เกิดการประหยัดต่อขนาด (economy of scale)

Franchising
ระบบแฟรนไชส์ในธุรกิจร้านอาหารกำลังเติบโต โดยเฉพาะร้านอาหารที่เป็นเครือข่าย นอกจากนี้ ร้านอาหารหลายแห่งใช้การจ่ายเงินสำหรับแฟรนไชส์เป็นเครื่องมือทางกฎหมายเพื่อโอนกำไรไปต่างประเทศ

ประโยชน์ของแฟรนไชส์ คือมีรายได้มากขึ้น ลดความเสี่ยง แบ่งต้นทุนกับเจ้าของ Franchise และโอกาสในการขายอาหารและเทคโนโลยีไปยังภูมิภาคอื่นในรัสเซีย

ผลเสียและความเสี่ยง คือ ระบบแฟรนไชส์จะได้ผลดีสำหรับเครือข่ายร้านอาหารขนาดใหญ่ ในขณะที่ร้านอาหารไทยยังไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลายในตลาด จึงจำเป็นต้องตั้งร้านอาหารให้เป็นที่รู้จักก่อน ระบบแฟรนไชส์ได้ผลดีสำหรับอาหารราคาถูกและปานกลาง และร้านอาหารที่มี simple concept (เรื่องอาหารและการตกแต่งร้าน) การเป็นแฟรนไชส์มีต้นทุนและค่าใช้จ่ายสูง หากคุณภาพของการเป็นแฟรนไชส์ไม่ดี จะทำให้ตราสินค้าเสียชื่อเสียง

การเป็นหุ้นส่วนกับธุรกิจของรัสเซีย
ตลาดของร้านอาหารในมอสโกมีการกระจุกตัวของตลาด (market concentration) ต่ำมาก โดย Rosinter ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำมี่ส่วนแบ่งตลาดน้อยกว่า 17%

หุ้นส่วนรัสเซียที่เหมาะสมที่สุดน่าจะเป็นธุรกิจขนาดกลางที่มีร้านอาหารระดับกลางส่วนหนึ่งอยู่แล้วในมอสโกหรือเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก
บริษัทของไทยควรจะพิจารณาหุ้นส่วนที่มีคุณสมบัติดังนี้ : มีประวัติยาวนานและดี มีโครงสร้างกิจการและกฎหมายที่ดี มีชื่อเสียงดีในสายตาสื่อมวลชนและผู้เชี่ยวชาญ เว็บไซต์ของบริษัทมีรายละเอียดของผู้จัดการและเจ้าของ

การจัดทำความตกลงกับหุ้นส่วนรัสเซีย อาจแบ่งได้เป็น 3 แบบ (1) ความตกลงแฟรนไชส์ (2) บริษัทไทยเป็นเจ้าของส่วนใหญ่ (3) หุ้นส่วนรัสเซียเป็นเจ้าของส่วนใหญ่ ขอแนะนำให้ใช้บริการของบริษัทที่ปรึกษากฎหมายและการควบและซื้อกิจการ (M&A) เมื่อทำความตกลงกับหุ้นส่วนรัสเซีย

หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการเปิดและดำเนินธุรกิจร้านอาหาร
ประกอบด้วยหน่วยงานต่อไปนี้
- ด้านการจดทะเบียน
- ด้านการขออนุญาตและควบคุม
- บริษัทที่ปรึกษาด้านธุรกิจร้านอาหาร
- บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์
- บริษัทที่ปรึกษากฎหมาย
- หน่วยงานรับสมัครบุคลากรที่ชำนาญด้านธุรกิจร้านอาหาร
(หมายเหตุ: ข้อมูลนี้ได้จากตัวเลขการสำรวจปี 2550 เป็นฐาน)

ที่มา : เว็บไซต์สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมอสโก http://th.thaiembassymoscow.com/info/?section=s2#การทำงานในรัสเซีย

กิจกรรมเทิดพระเกียรติและถวายพระพรแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 83 พรรษา ในสหพันธรัฐรัสเซีย

ท่านทูตและภริยาถ่ายภาพร่วมกับคนไทย ที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก
ท่านทูตและภริยากำลังชมหนังสือ King Chulalongkorn in Russia ที่ท่านกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์จัดพิมพ์
ที่งาน"ค่ำคืนแห่งเพลงพระราชนิพนธ์"
ท่านทูตกล่าวเปิดงาน"ค่ำคืนแห่งเพลงพระราชนิพนธ์" โดยนายเสกข์ ทองสุวรรณ นักศึกษาวิชาดนตรีเดี่ยวเปียโนเพลงพระราชนิพนธ์
คนไทยที่ไปร่วมงานวันที่ 5 ธันวาคม 2553 เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2553 ท่านทูตกล่าวนำถวายพระพร เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2553 ในงานเทอดพระเกียรติและพิธีถวายพระพร ณ ทำเนียบเอกอัครราชทูต






กิจกรรมเทิดพระเกียรติและถวายพระพรแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 83 พรรษา ในสหพันธรัฐรัสเซีย


เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 83 พรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวันที่ 5 ธันวาคม 2553 สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมอสโก และสถานกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ ณ นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ได้จัดกิจกรรมเทิดพระเกียรติและถวายพระพร ดังนี้

1. การจัดงานที่กรุงมอสโก
1.1 กิจกรรมร่วมกับชุมชนชาวไทย

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 5 ธันวาคม 2553 นายเฉลิมพล ทันจิตต์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงมอสโกและนางสุธิดา ทันจิตต์ ภริยา พร้อมด้วยข้าราชการสถานเอกอัครราชทูต ฯ ทีมประเทศไทย และครอบครัว ได้ร่วมกันจัดงานเทิดพระเกียรติและพิธีถวายพระพร ณ ทำเนียบเอกอัครราชทูต โดยมีประชาชนชาวไทยในสหพันธรัฐรัสเซียพร้อมครอบครัว จำนวนประมาณ 300 คน เข้าร่วมงาน ซึ่งมีกิจกรรมต่าง ๆ ดังนี้
1. การลงนามถวายพระพรแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

2. การถวายราชสดุดีด้วยการกล่าวคำถวายพระพรพร้อมกัน พร้อมร่วมร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีและเพลงสดุดีมหาราชาสดุดีมหาราชา

3. การจัดนิทรรศการเคลื่อนที่เกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อเผยแพร่พระเกียรติคุณและพระราชกรณียกิจในด้านต่างๆ

4. การประกาศผลการตัดสินพร้อมการแจกรางวัลแก่ผู้ชนะการประกวดเรียงความ หัวข้อ “พ่อของแผ่นดิน"

1.2 งานเลี้ยงรับรอง “ค่ำคืนแห่งเพลงพระราชนิพนธ์”

เมื่อวันพฤหัสที่ 9 ธันวาคม 2553 เอกอัครราชทูต ณ กรุงมอสโกและภริยา พร้อมด้วยข้าราชการสถานเอกอัครราชทูต ฯ ทีมประเทศไทยและครอบครัว ได้ร่วมกันจัดงานเลี้ยงรับรองเทิดพระเกียรติและถวายพระพรแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ โรงแรม Baltchug Kempinski โดยมีคณะทูตานุทูต ข้าราชการจากหน่วยงานทางการของรัสเซีย นักธุรกิจรัสเซีย และ Friends of Thailand ในรัสเซีย จำนวนประมาณ 300 คน ร่วมงาน ทั้งนี้ เอกอัครราชทูตเฉลิมพลฯ ได้กล่าวถวายราชสดุดีและถวายพระพรแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นภาษารัสเซียและภาษาอังกฤษ สำหรับกิจกรรมอื่น ๆ ในงาน “ค่ำคืนแห่งเพลงพระราชนิพนธ์” มีดังนี้

1. การบรรเลงเพลงพระราชนิพนธ์ด้วยการเดี่ยวเปียโน โดยนายเสกข์ ทองสุวรรณ นักศึกษาไทยที่กำลังศึกษาวิชาดนตรี ณ St. Petersburg State Conservatoire

2. การลงนามถวายพระพรแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

3. การจัดนิทรรศการเคลื่อนที่เกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อเผยแพร่พระเกียรติคุณและพระราชกรณียกิจในด้านต่างๆ

4. การสาธิตการแกะสลักผักและผลไม้ และการสาธิตการประกอบขนมไทย โดยช่างฝีมือจากประเทศไทย ด้วยการสนับสนุนจากสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ณ กรุงมอสโก

5. นิทรรศการผลไม้ไทย ด้วยการสนับสนุนจากสำนักงานส่งเสริมการค้าไทยในต่างประเทศ ณ กรุงมอสโก

6. การมอบดอกกล้วยไม้ไทยให้กับแขกผู้เข้าร่วมงาน สนับสนุนโดยบริษัทการบินไทย สำนักงานมอสโก

2. งานเลี้ยงรับรองที่นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก

เมื่อวันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม 2553 นาย Yuri Kovalchuk กงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ ณ นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก และนาง Tatiyana Kovalchuk ภริยา เป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงรับรองเนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 83 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ โรงแรม Grand Hotel Europe โดยมีแขกเกียรติยศ อาทิ นาง Valentina Matvienko ผู้ว่าการนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก, นาย Iliya Klebanov ผู้แทนผู้มีอำนาจเต็มของประธานาธิบดีรัสเซียประจำเขตปกครองเลนินกราด, นาย Andrey Fursenko รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการศึกษาธิการสหพันธรัฐรัสเซีย, นาย Sergey Kirienko หัวหน้าสำนักงานด้านปรมาณูและพลังงานสหพันธรัฐรัสเซีย รวมทั้งมีคณะทูตานุทูต ข้าราชการ นักธุรกิจ Friends of Thailand และนักศึกษาไทย ในนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ร่วมงานประมาณ 250 คน ทั้งนี้ เอกอัครราชทูต ณ กรุงมอสโก และภริยา พร้อมด้วยนางสาวอรทัย ภูบุญลาภ เลขานุการโท ได้เดินทางไปร่วมงานด้วย โดยเอกอัครราชทูตเฉลิมพลฯ ได้ร่วมกล่าวสุนทรพจน์เทิดพระเกียรติและถวายพระพรแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นภาษารัสเซียด้วย

ในโอกาสนี้ สถานกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ ณ นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กได้จัดพิมพ์หนังสือ “King Chulalongkorn in Russia” เป็นภาษารัสเซียและอังกฤษควบกันและแจกจ่ายในงานอีกด้วย

ที่มา : ภาพและเรื่องจากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมอสโกhttp://th.thaiembassymoscow.com/activities/?artid=66

การประท้วงของกลุ่มชาตินิยมหัวรุนแรงที่กรุงมอสโกและนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก


การประท้วงของกลุ่มชาตินิยมหัวรุนแรงที่กรุงมอสโกและนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก

นายจักร บุญ-หลง อธิบดีกรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ แถลงว่าตามที่เกิดเหตุการณ์ประท้วงของกลุ่มชาตินิยมหัวรุนแรงในกรุงมอสโกและนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กจนเกิดการปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเหตุการณ์ลุกลามมีการทำร้ายชาวต่างชาติติดตามมานั้น เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2553 สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมอสโกได้ออกประกาศแจ้งเตือนกลุ่มคนไทยในรัสเซียดังนี้

"จากเหตุการณ์ประท้วงของกลุ่มชาตินิยมหัวรุนแรงที่เกิดขึ้นในกรุงมอสโกและนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กเมื่อวันที่ 5 ธันวาคมที่ผ่านมา จนเกิดการปะทะกันกับฝ่ายตำรวจ โดยมีเหตุการณ์ทำร้ายชาวต่างชาติตามมาด้วยนั้น สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมอสโก มีความห่วงใยในความปลอดภัยของคนไทยทุกคนในรัสเซีย และขอให้คนไทยทุกคนโปรดใช้ความระมัดระวังในการเดินทางและใช้ชีวิตประจำวัน และให้หลีกเลี่ยงบริเวณพื้นที่ของการชุมนุมและมีการเคลื่อนไหว โดยให้ติดตามข่าวสารจากสื่ออย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ หากท่านหรือเพื่อนๆ คนไทยได้รับผลกระทบจากการชุมนุมและการเคลื่อนไหวดังกล่าว ขอให้ติดต่อกับสถานเอกอัครราชทูตฯ หมายเลขฉุกเฉิน +7926 5843719"

อธิบดีกรมการกงสุลกล่าวว่า ขณะนี้สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้ประสานงานกับทางการรัสเซีย กลุ่มคนไทยและนักศึกษาไทยในกรุงมอสโกและนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กแล้วทราบว่า ไม่มีบุคคลสุญชาติไทยได้รับผลกระทบโดยตรงจากเหตุการณ์ไม่สงบในครั้งนี้ และกรมการกงสุลขอเตือนนักธุรกิจและนักท่องเที่ยวชาวไทยที่ประสงค์จะเดินทางไปกรุงมอสโกและนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กในระหว่างนี้โปรดใช้วิจารณญาณก่อนตัดสินใจเดินทาง และขอให้ตรวจสอบข่าวจากอินเตอร์เนตหรือสำนักข่าวต่างประเทศเกี่ยวกับพัฒนาการของเหตุการณ์ดังกล่าวก่อนการเดินทาง ทั้งนี้เพื่อสวัสดิภาพและความปลอดภัยของท่านเอง สำหรับท่านที่มีญาติกำลังเดินทางอยู่ในประเทศรัสเซียขณะนี้ หากประสบปัญหาและได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวสามารถติดต่อขอความช่วยเหลือจากสถานเอกอัครราชทูตฯ ได้ตามหมายเลขโทรศัพท์ฉุกเฉินข้างต้น

วันจันทร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2553

สถานทูตที่สิงคโปร์วางแผนเยี่ยมนักโทษไทยที่เรือนจำชางงีประจำปี 2554

เรือนจำชางงี ประเทศสิงคโปร์

สถานทูตที่สิงคโปร์วางแผนเยี่ยมนักโทษไทยที่เรือนจำชางงีประจำปี 2554


สถานเอกอัครราชทูต ณ สิงคโปร์รายงานว่าในปี 2554 จะจัดกิจกรรมนำข้าราชการทีมประเทศไทย (ข้าราชการจากทุกหน่วยงานที่ประจำในสิงคโปร์) ไปเยี่ยมนักโทษไทยที่เรือนจำชางงี ซึ่งมีนักโทษไทยทั้งชายและหญิง รวม 87 คน โดยการไปเยี่ยมนักโทษจะแบ่งเป็น 2 กลุ่มตามเพศ ได้แก่

1. นักโทษหญิง: เอกอัครราชทูตนพปฎล คุณวิบูลย์ หรือภริยาเอกอัครราชทูตจะเป็นหัวหน้าคณะนำข้าราชการหญิงทีมประเทศไทยไปเยี่ยมนักโทษหญิงที่เรือนจำในช่วงบ่ายวันที่ 27 มกราคม 2554 และเข้าพบกับพัศดีเรือนจำเพื่อสร้างความคุ้นเคยด้วย


2. นักโทษชาย: เอกอัครราชทูตฯ มอบหมายให้อัครราชทูตมนชัย พัชนี เป็นหัวหน้าคณะนำข้าราชการชายทีมประเทศไทยไปเยี่ยมนักโทษชายที่เรือนจำ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างประสานงานเรื่องวันเวลาและหากจำเป็นต้องแบ่งทีมไปเยี่ยมนักโทษในแต่ละแดน เอกอัครราชทูตก็จะนำทีมไปเยี่ยมแยกกับอัครราชทูตมนชัยเพื่อประหยัดเวลา

ทั้งนี้เอกอัครราชทูตได้มอบนโยบายให้เจ้าหน้าที่จัดซื้อของเยี่ยมนักโทษจากร้านค้าในเรือนจำ และอัครราชทูตมนชัยฯ เสนอให้จัดซื้อหนังสือสวดมนตร์เล่มเล็กขนาดพกพา แบบหีบเพลงหรือแบบสันกาวให้สอดคล้องกับกฎระเบียบของเรือนจำ จำนวน 100 เล่ม เพื่อบริจาคในครั้งนี้ด้วย

วันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2553

สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอาบูดาบี จัดงานวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประจำปี 2553

เอกอัครราชทูตสมชัยฯและภริยาต้อนรับแขกเกียรติยศและเชิญเข้าร่วมงาน
เอกอัครราชทูตสมชัยฯ และภริยาถ่ายภาพร่วมกับแขกที่มาร่วมงาน
เอกอัครราชทูตสมชัย จรณสมบูรณ์และภริยา


สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอาบูดาบี จัดงานวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประจำปี 2553



ในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วันที่ 5 ธันวาคม 2553 สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอาบูดาบี ได้จัดงานเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขึ้น 2 งาน โดยเป็นงานสำหรับประชาสัมพันธ์ชาวไทย และงานสำหรับบุคคลชั้นนำชาวยูเออี คณะทูตานุทูตและชาวต่างชาติที่มีชื่อเสียง ดังนี้

เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2553 สถานเอกอัครราชทูต ได้เชิญชาวไทยในยูเออี พร้อมครอบครัว กว่า 500 คน รวมตัวที่ทำเนียบเอกอัครราชทูตฯ เพื่อเฉลิมฉลองในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมายุครบ 83 พรรษา ในวันที่ 5 ธันวาคม 2553
โอกาสนี้ ได้มีการลงนามถวายพระพร การจุดเทียนชัยถวายพระพรชัยมงคล การร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีและเพลงสดุดีมหาราชา และการรับประทานอาหารค่ำร่วมกัน นอกจากนี้ ได้มีการแสดงดนตรี การแสดงทางวัฒนธรรมไทย รวมถึงกิจกรรมการ “ตักสลากมหากุศล” เพื่อหารายได้สมทบทุนโครงการ “ผ่าตัดหัวใจทั่วโลก เทิดพระเกียรติในหลวงทั่วหล้า 84 พรรษา มหาราชา”

ต่อมา เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2553 เอกอัครราชทูต สมชัย จรณะสมบูรณ์ และภริยา ได้เป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงรับรองเนื่องในโอกาสมหามงคลดังกล่าว และวันชาติไทย ที่โรงแรมแชงกรีลา กรุงอาบูดาบี โดยรัฐบาลยูเออีได้มอบหมายให้ดร.ซาอีก โมฮัมเม็ด อัล-ชัมซี (Dr. Saeed Mohamed Al Shamsi) ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ ฝ่ายองค์การระหว่างประเทศ มาร่วมงานดังกล่าวในฐานะแขกเกียรติยศ นอกจากนี้ ได้มีบุคคลสำคัญทั้งจากภาครัฐและเอกชนของยูเออี คณะทูตต่างประเทศ และชาวไทยบางส่วนเข้าร่วมงานประมาณ 300 คน

นอกจากการเลี้ยงรับรองแล้ว สถานเอกอัครราชทูตฯ ยังได้เผยแพร่วัฒนธรรมไทยในรูปแบบต่างๆ ได้แก่อาหารและขนมหวานไทย การแสดงการแกะสลักผักและผลไม้ และการฟ้อนรำไทย โดย สอท. ได้เชิญอาจารย์และคณะนาฏศิลป์มาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต มาแสดงในงานนี้ด้วย ซึ่งเป็นที่ชื่นชมของแขกที่มาร่วมงานทุกคน
ที่มา: ภาพและเรื่องจากเว็บไซต์สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอาบูดาบี

“เทศกาลไทย 2010” ที่กรุงอาบูดาบี

ส่วนหนึ่งของแขกที่มาร่วมงานวันที่ 7 ธันวาคม 2553 ซึ่งสถานเอกอัครราชทูตฯ เป็นเจ้าภาพ ต่างมีความสุขและอิ่มใจที่ได้มาร่วมงานครั้งนี้
เมื่ออิ่มของคาวแล้วต้องมองหา ของหวาน
แกะสลักผลไม้ งานฝีมือที่แสดงถึงความละเมียดละไม อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้แขกผู้มาร่วมงานรู้สึกได้ว่า อาหารไทยเป็นมากกว่าของทานอิ่มอร่อย
ผ้าไทยที่งดงามผสานกับความอ่อนช้อย
การรำไทยอันตระกาลตาของคณะนาฏศิลป์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต และเสียงดนตรีไทยที่ไพเราะรื่นรมย์ซึ่งสั่งตรงไปจากกรุงเทพมหานครสร้างความประทับใจให้แขกที่มาร่วมงานตืนแล้วคืนเล่าเนื่องจากแขกที่มาร่วมงานเทศกาลหนาแน่น จนโรงแรมยอมรับว่าเป็นการจัดเทศกาลประจำชาติที่ประสบความสำเร็จที่สุด
ท่านทูตและดร. ชาอีด โมฮัมเม็ด อัล-ชัมซี ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แขกเกียรติยศ พร้อมด้วยคุณอำนวยนพคุณ ผู้ช่วยผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานดูไบนายอาเดรียน รูดิน ผู้จัดการทั่วไปโรงแรมแชงกริ-ลาและนายรอเบิร์ต ชาด ผู้จัดการกองประชาสัมพันธ์ สายการบินเอติฮาด แอร์สเวย์ตัดริบบิ้นเปิดงานเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2553
เอกอัครราชทูตสมชัย จรณสมบูรณ์ กล่าวสุนทรพจน์เปิดงานเทศกาลไทย 2010


“เทศกาลไทย 2010” ที่กรุงอาบูดาบี

สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอาบูดาบี ได้จัดงาน “เทศกาลไทย 2010” ที่กรุงอาบูดาบี ระหว่างวันที่ 6 -16 ธ.ค. 2553 ที่โรงแรม Shangri – La กรุงอาบูดาบี เพื่อประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ไทยและเผยแพร่เอกลักษณ์และอัตตลักษณ์ที่โดดเด่นของไทยให้เป็นที่ประจักษ์ต่อชาวยูเออีและชาวต่างประเทศที่พำนักในยูเออี

“เทศกาลไทย 2010” มีระยะเวลา 11 วัน ต่อเนื่องจากงานเลี้ยงรับรองเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วันที่ 5 ธันวาคม 2553 ซึ่งการจัดงานครั้งนี้ สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้รับความร่วมมือจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานดูไบ โรงแรม Shangri – La และสายการบิน Etihad Airways โดยลักษณะงานเป็นการจัดเทศกาลอาหารและขนมไทย ที่ห้องอาหารของโรงแรม มีอาหารไทยที่มีชื่อเสียงนานาชนิด มีมุมให้บริการนวดไทย มุมให้บริการข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการท่องเที่ยวไทย และที่สำคัญได้มีอาจารย์และนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิตจำนวน 9 คน มาสาธิตการแกะสลักผักและผลไม้อันวิจิตรงดงาม รวมถึงการแสดงฟ้อนรำไทยชุดต่างๆ ที่สวยงามตระการตา และการบรรเลงดนตรีไทยที่ไพเราะรื่นรมย์ ด้วย

ในพิธีเปิดงานเอกอัครราชทูต สมชัย จรณะสมบูรณ์ ได้กล่าวสุนทรพจน์ แจ้งถึงวัตถุประสงค์ในการจัดงาน เพื่อเผยแพร่วัฒนธรรมไทยที่ดีงาม ในด้านอาหารและการแสดงให้ผู้มาร่วมงานได้ชื่นชม และเพื่อแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ดีงามระหว่างไทยกับยูเออี จากนั้นเอกอัครราชทูต พร้อมด้วย ดร. Saeed Mohammed Al Shamsi ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งเป็นแขกรับเชิญพิเศษ นายยรรยง นพคุณ ผู้ช่วยผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานดูไบ นาย Adrian Rudin ผู้จัดการทั่วไปโรงแรม Shangri – La และนาย Robert Chad ผู้จัดการกองประชาสัมพันธ์สายการบิน Etihad Airways ได้ร่วมกันตัดริบบิ้นเปิดงานดังกล่าว เมื่อค่ำวันที่ 7 ธันวาคม 2553 ต่อจากนั้นเอกอัครราชทูตสมชัยฯ และภริยา ได้เป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารค่ำแก่แขกผู้มีเกียรติและสื่อมวลชนที่ได้รับเชิญเข้าร่วมงานกว่า 100 คน

ตลอดระยะเวลา 11 วัน ของการจัดงานเทศกาลไทยในครั้งนี้ มีผู้ให้ความสนใจทั้งชาวยูเออีและชาวต่างประเทศเข้ารับประทานอาหารไทยและรับชมการแสดงทางวัฒนธรรมของไทยที่ห้องอาหาร Sofra ของโรงแรม Shangri – La ซึ่งเป็นสถานที่จัดงาน ประมาณ 240 คน ต่อวัน ในวันสุดท้ายมีถึง 300 คน รวมประมาณ 2,800 คน ซึ่งทางโรงแรมแจ้งว่าเป็นการจัดเทศกาลประจำชาติที่ประสบความสำเร็จที่สุดในกรุงอาบูดาบี

ที่มา : ภาพและข้อมูลจาก สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอาบูดาบี

เรือบรรทุกสินค้าสัญชาติไทยและลูกเรือไทยถูกโจรสลัดโซมาเลียยึดเรือ

รายชื่อลูกเรือ MV Thor Nexus

เรือบรรทุกสินค้าสัญชาติไทยและลูกเรือไทยถูกโจรสลัดโซมาเลียยึดเรือ

รายละเอียดเหตุการณ์
1. เมื่อช่วงเช้าวันเสาร์ที่ 25 ธันวาคม 2553 ได้เกิดเหตุการณ์โจรสลัดโซมาเลียได้เข้ายึดเรือบรรทุกสินค้าสัญชาติไทยชื่อ “ MV Thor Nexus ” พร้อมลูกเรือทั้งหมดจำนวน 27 คน ซึ่งมีสัญชาติไทย บริเวณน่านน้ำของประเทศโอมาน ( ประมาณ 350 ไมล์ทะเลในมหาสมุทรอินเดียห่างจากเมือง Salalah ของประเทศโอมาน )เพื่อเรียกร้องค่าไถ่ โดยเรือและลูกเรือดังกล่าวอยู่ในระหว่างการเดินทางขนสินค้าจากท่าเรือ Jebel Ali ประเทศสาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตส์ไปยังประเทศสาธารณรัฐอิสลามบังคลาเทศ ขณะนี้ คาดว่า โจรสลัดโซมาเลียกำลังนำเรือสินค้าดังกล่าวมุ่งหน้าเข้าฝั่งประเทศโซมาเลี

การดำเนินการของ กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
2. กระทรวงการต่างประเทศได้แจ้งให้กองทัพเรือทราบแล้ว ขณะนี้ได้มีการประสานงานให้หมู่เรือปราบปรามโจรสลัด คือเรือรบหลวงสิมิลัน และเรือรบหลวงปัตตานี ซึ่งปฎิบัติการอยู่ในอ่าวเอเดนเพื่อให้ความช่วยเหลือเรือสินค้าและลูกเรือไทยโดยด่วนต่อไป

3. วันที่ 26 ธันวาคม 2553 เวลา 10.00 น. กระทรวงการต่างประเทศโดยกองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศได้ติดต่อประสานไปยังบริษัท Thoresen & Co. (Bangkok) ซึ่งเป็นบริษัทเจ้าของเรือดังกล่าว และได้สอบถามกัปตันยอดชาย รัตนชีวกร ผู้อำนวยการฝ่ายปฎิบัติการของบริษัท ฯ เกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และได้รับการชี้แจงตามข้อ 1 และนับตั้งแต่เกิดเหตุ บริษัท ฯ ได้ดำเนินการดังนี้
3.1 ติดต่อแจ้งญาติของลูกเรือทั้งหมด 27 คนทราบแล้ว

3.2 แจ้งกองทัพเรือให้ประสานไปยังเรือของกองทัพเรือที่ร่วมปฎิบัติการกวาดล้างโจรสลัดให้ช่วยเหลือเรือบรรทุกสินค้าของไทย

3.3 ติดตามเฝ้าดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิดทั้งนี้ บริษัท ฯ ได้จัดส่งรายชื่อลูกเรือไทยทั้งหมด 27 คนให้กรมการกงสุล (ตามภาพ)

4. วันที่ 26 ธันวาคม 2553 เวลา 12.00 น. กระทรวงการต่างประเทศได้ประสานงานไปยังเจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมัสกัต และสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงไนโรบี แล้ว และมีโทรเลขสั่งการถึงสถานเอกอัครราชทูตทั้งสองแห่งให้ดำเนินการประสานงานหน่วยงานท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องเพื่อช่วยเหลือเรือไทยและลูกเรือไทยในโอกาสแรก

ข้อมูลเพิ่มเติม
5. เรือบรรทุกสินค้าไทย “ MV Thor Star ” ของบริษัท Thoresen เคยถูกโจรสลัดโซมาเลียยึดพร้อมจับลูกเรือ 28 คนเป็นตัวประกัน เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2551 ทั้งนี้ ได้มีการจ่ายค่าไถ่และโจรสลัดได้ปล่อยเรือและลูกเรือไทยเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2551

กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
กรมการกงสุล
26 ธันวาคม 2553

หมู่เรือปราบปรามโจรสลัดส่งมอบลูกเรือประมงให้กับเจ้าของเรือที่ประเทศโอมาน

ถ่ายภาพร่วมกันเป็นที่ระลึก
พล.ร.ต.ไชยยศ สุนทรนาค ผู้บังคับหมู่เรือปราบปรามโจรสลัด กองทัพเรือ มอบเสื้อชูชีพของเรือประมง อ. ศิริชัยนาวา 11 คืนให้กับตัวแทนบริษัทศิริชัยมารีน ฟิชเชอรี่ และลูกเรือประมง


หมู่เรือปราบปรามโจรสลัดส่งมอบลูกเรือประมงให้กับเจ้าของเรือที่ประเทศโอมาน


เมื่อวันที่ 15 พ.ย.53 เวลา 16.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น หรือเวลา 19.00 น. ตามเวลาประเทศไทย พล.ร.ต.ไชยยศ สุนทรนาค ผู้บังคับหมู่เรือปราบปรามโจรสลัดได้กระทำพิธีส่งมอบลูกเรือประมง อ.ศิริชัยนาวา 11 จำนวนทั้ง 23 นายให้กับบริษัท ศิริชัยมารีน ฟิชเชอร์รี่ บน ร.ล.สิมิลัน ณ ท่าเทียบเรือเมืองซาลาลาห์ รัฐสุลต่านโอมาน โดยมี คุณวิริยะ ศิริชัยเอกวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการบริษัท ศิริชัยมารีน ฟิชเชอร์รี่ จำกัด เป็นผู้รับมอบ

ในโอกาสดังกล่าว คุณวิริยะฯ กล่าวขอบคุณรัฐบาล กองทัพเรือ และหมู่เรือปราบปรามโจรสลัด ที่คุ้มครองและรักษาผลประโยชน์ของคนไทยในต่างประเทศ และให้ความช่วยเหลือดูแลลูกเรือของบริษัท ด้วยมนุษยธรรม ซึ่งได้เป็นที่ประจักษ์แด่สายตาชาวโลก สมควรได้รับการยกย่อง ถือเป็นเยี่ยงอย่างเช่นนักรบแห่งราชนาวีไทย ถึงแม้จะเพิ่งมาปฏิบัติราชการเพียง 2 เดือน แต่กลับสร้างผลงานอย่างมากมายต่อสายตานานาชาติได้อย่างสมภาคภูมิ บริษัทและลูกเรือ รวมทั้งครอบครัว รู้สึกซาบซึ้งและปราบปลื้ม ในความช่วยเหลือของกองทัพเรือในครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง พร้อมทั้งมอบโล่ประกาศเกียรติคุณให้กับหมู่เรือปราบปรามโจรสลัด และเรือหลวงทั้ง 2 ลำ (ร.ล.สิมิลัน และ ร.ล.ปัตตานี) และนำลูกเรือเดินทางกลับประเทศไทยโดยสวัสดิภาพ

หมู่เรือปราบปรามโจรสลัด ได้ช่วยเหลือลูกเรือประมง อ.ศิริชัยนาวา 11 จากการถูกโจรสลัดชาวโซมาเลียปล้นยึดเรือ ขณะทำการประมงอยู่บริเวณชายฝั่งประเทศเยเมน แล้วเรือ จมลง ลูกเรือต้องลอยคออยู่ในทะเลเป็นเวลาเกือบ 2 วัน ต่อมาหมู่เรือได้ช่วยเหลือไว้ได้ 23 คน เป็นลูกเรือคนไทย 7 คน กัมพูชา 15 คน และสัญชาติเยเมน 1 คน เมื่อวันที่ 4 พ.ย.53

ที่มา: เว็บไซต์หมู่เรือปราบปรามโจรสลัดกองทัพเรือ http://rtncptu.fleetpx.com/home.html

สถานทูตที่บรูไนจัดประชุมร่วมกับสมาคมชาวไทย

งานนี้นอกจากประชุมแล้วมีเลี้ยงฉลองคริสต์มาส และฉลองปีใหม่ไปพร้อมกัน
ป้าก๊ะของพวกเราพูดให้กำลังใจ
กรรมการสมาคมฯ มากันพร้อมหน้า
คุณเก้าหรือน้องเก้าของพี่ๆ โฆษกตลอดกาล
เสร็จประชุมแล้วมีจับฉลากของขวัญปีใหม่ด้วย
คุณมนต์ชัยฯ กำลังเสนอกิจกรรมใหม่ปีหน้า
ท่านนายกสมาคมฯ วิษณุฯ แถลง
ท่านอุปทูตธวัช สุมิตรเหมาะ ท่านนายกสมาคมฯ วิษณุ ศักดิยากร และท่านที่ปรึกษาด้านแรงงาน อาณาจักร สุทธายน ผู้ใหญ่ของที่นี่ซึ่งช่วยกันดูแลชุมชนคนไทยในบรูไนอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย




สถานทูตที่บรูไนจัดประชุมร่วมกับสมาคมชาวไทย

เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2553 ตั้งแต่เวลา 17.00 น. สถานเอกอัครราชทูต ณ บันดาร์เสรีเบกาวัน สำนักงานแรงงานในประเทศบรูไน และสมาคมชาวไทยในบรูไนพร้อมเครือข่ายชาวไทย ได้จัดการประชุมร่วมกันเพื่อสรุปผลการดำเนินงานในรอบปี 2553 และจัดทำแผนงานประจำปี 2554 ขึ้นที่ สอท. หลังจากนั้นได้จัดงานพบปะสังสรรค์เนื่องในวันปีใหม่ โดยผู้เข้าร่วมจาก สถานเอกอัครราชทูตฯ คือ นายธวัช สุมิตรเหมาะ อุปทูตฯ นายอาณาจักร สุทธายน อัครราชทูตที่ปรึกษาฝ่ายแรงงาน นางกัลยา คงเผ่า เลขานุการโท น.ส.สุพัตรา เอื้ออารีย์ เลขานุการตรี (ข้าราชการแรกเข้าฝึกงาน) เจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตและจากสมาคมชาวไทยฯ ได้แก่ นายวิษณุ ศักดิยากร นายกสมาคมฯ พร้อมด้วยกรรมการสมาคมฯ และครอบครัวชาวไทย รวมประมาณ 50 คน

ในรอบปี 2553 ที่ผ่านมา สถานเอกอัครราชทูตฯ สำนักงานแรงงานในบรูไน และสมาคมชาวไทยฯ ได้ร่วมกันจัดงานและโครงการต่างๆ ที่มีส่วนในการส่งเสริมความสัมพันธ์ไทย – บรูไน การเผยแพร่ภาพลักษณ์ไทย และการดูแลความเป็นอยู่ของชาวไทยในบรูไน เพื่อให้พี่น้องกินดีอยู่ดี มีความรู้สึกอบอุ่น ใกล้ชิดสามัคคี และไม่ข้องแวะกับยาเสพติด โดยการจัดกิจกรรมสร้างสรรค์ที่หลากหลาย ได้แก่ การพบปะหน่วยงานของบรูไน การจัดคณะแพทย์จากประเทศไทยไปตรวจสุขภาพแรงงาน การจัดกงสุลสัญจร/ลงทะเบียนเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร/ให้คำแนะนำต่างๆ การจัดงานเทศกาลมหาสงกรานต์ การจัดงาน Thailand Grand Fair การทำพิธีมอบเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์แก่คุณวิษณุ ศักดิยากร การจัดกีฬาเทิดพระเกียรติเนื่องในวันแม่แห่งชาติ การจัดนิทรรศการเนื่องในวันปิยมหาราช การร่วมงาน Thai Week ซึ่งจัดโดย Sawaddee Club ของนักศึกษามหาวิทยาลัยบรูไนดารุสซาลาม การจัดระดมทุนเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในประเทศไทย การจัดลานกีฬาสามัคคี (ปรับพื้นที่สนามของ สอท.ให้ชาวไทยมาเล่นกีฬา อาทิ เปตอง แบดมินตัน ตะกร้อ วอลเล่ย์บอล เทเบิ้ลเทนนิส ชกมวย อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ทุกวันอาทิตย์) การจัดงานวันพ่อแห่งชาติ ฯลฯ

สำหรับในปี 2554 ทุกฝ่ายเห็นพ้องกันให้จัดกิจกรรมหลักเช่นที่ได้เคยปฏิบัติมาในปี 2553 โดยอาจปรับกิจกรรมบางด้านให้มากขึ้น เช่น กีฬา งานกงสุลสัญจร การเผยแพร่วัฒนธรรมไทย และเนื่องในปี 2554 วโรกาสปีมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงเจริญพระชนมพรรษา ครบ 7 รอบ สถานเอกอัครราชทูตฯ จะเป็นแกนกลางในการจัดงานเทิดพระเกียรติอย่างต่อเนื่องทั้งปี ตามแนวนโยบายของรัฐบาลต่อไป