วันพฤหัสบดีที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

นักเรียนไทยโวย ถูกเอเย่นต์โรงเรียนสอนภาษาที่นิวซีแลนด์หลอกโกงเงิน

สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเวลลิงตัน ประเทศนิวซีแลนด์ รายงานว่า ได้รับการร้องเรียนจากนักเรียนไทย 2 ราย บอกว่าบริษัทแห่งหนึ่งตั้งอยู่ที่นครโอ๊คแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์ ซึ่งเป็นบริษัทให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการขอวีซ่าให้กับนักเรียนไทยที่ต้องการไปเรียนภาษาอังกฤษในนิวซีแลนด์ หลอกตุ๋นเงินแต่ยังไม่ได้วีซ่า

บริษัทนี้มีคนไทยเป็นผู้จัดการ เที่ยวชักชวนนักเรียนไทยที่ต้องการไปเรียนภาษาที่นิวซีแลนด์ อ้างว่าจะช่วยดำเนิินการในการติดต่อสถานบันการศึกษาและขอวีซ่าให้เรียบร้อย แต่พอโอนเงินค่าใช้จ่ายไปให้แล้ว บริษัทนี้ก็ไม่สามารถดำเนินการให้ได้ พอเรียกเงินคืนก็บ่ายเบี่ยง จากพฤติกรรมตามที่ได้รับแจ้ง เอเย่นต์รายนี้จะหาเหยื่อที่ดูแล้วว่าคุณสมบัติไม่ผ่าน จากนั้นก็อ้างกับเหยื่อว่าบริษัทสามารถช่วยเหลือในเรื่องหลักฐานทางการเงินที่ใช้นำไปแสดงแก่ทางการของนิวซีแลนด์ได้ และขอให้โอนเงินเข้ามาเป็นค่าใช้จ่าย พอถูก ตม. นิวซีแลนด์ปฏิเสธไม่ให้วีซ่า บริษัทนี้ก็ไม่คืนเงินหรือคืนก็ไม่ครบจำนวน 

สถานทูตได้ประสานกับหน่วยงานของนิวซีแลนด์แล้ว ทราบว่า การยื่นขออนุญาตไปศึกษาต่อที่นิวซีแลนด์มีขั้นตอนและหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน หากผู้ร้องมีคุณสมบัติไม่ครบถ้วนตามที่กำหนดก็จะถูกปฎิเสธ ไม่ว่าจะยื่นผ่านเอเย่นต์หรือยื่นด้วยตนเอง ดังนั้น การโฆษณาชวนเชื่อของเอเย่นต์ที่ว่าจะสามารถให้ความช่วยเหลือได้นั้นเป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อถือ และโดยปกติหากการขออนุญาตไม่ผ่าน ขั้นตอนการคืนเงินแก้ผู้ร้องที่ถูกปฎิเสธจะใช้เวลาไม่นาน

เรื่องแบบนี้ ก็ขอเตือนให้น้องๆ หรือผู้ปกครองที่อยากไปเรียนต่อที่นิวซีแลนด์ได้ระวังกันไว้ เรื่องการหลอกลวงกันมีอยู่ทั่วไป คนสมัยนี้ไว้ใจยากจริงๆ 

ที่มา : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเวลลิงตัน 

เคนยาโดนอีกแล้ว บึ้มกลางกรุงเจ็บระนาว

ช่วงนี้ข่าวคราวการก่อการร้ายในประเทศเคนยามีให้เห็นกันบ่อยมากขึ้น ล่าสุดเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2555  ได้เกิดเหตุระเบิดขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เกิดที่ร้านค้าขนาดเล็กในย่านธุรกิจกลางกรุงไนโรบี เมืองหลวงของเคนยา แรงระเบิดทำให้อาคารใกล้เคียงสั่นสะเทือน มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 36 ราย ในจำนวนนี้ สาหัส 4 ราย

เหตุระเบิดครั้งนี้เชื่อว่าน่าจะเป็นฝีมือของกลุ่มก่อการร้ายที่ฐานที่มั่นอยู่ที่ประเทศโซมาเลียที่มีชายแดนติดกัน ซึ่งกลุ่มก่อการร้ายนี้เข้ามาปฏิบัติการในหลายเมืองของเคนยาและแม้จะมีการปราบปรามอย่างต่อเนื่องและมาตรการป้องกันที่เข้มข้น แต่ก็ยังมีเหตุการณ์เกิดขึ้นจนได้


สถานทูตไทยประจำประเทศเคนยาก็ได้สอบถามไปยังร้านอาหารไทชิ ตั้งอยู่ในโรงแรมแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากที่เกิดเหตุเพียง 400 เมตร ทราบว่าคนไทย 2 คน ที่ทำงานอยู่ที่ร้านอาหารแห่งนี้ปลอดภัยดี สถานทูตจึงได้แจ้งเตือนคนไทยทุกคนให้เพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น และหลีกเลี่ยงการสัญจรหรือเข้าไปในสถานที่ที่มีคนพลุกพล่านหรือจุดเสี่ยงต่างๆ ที่จะเป็นเป้าหมายการโจมตีของกลุ่มก่อการร้าย คาดการณ์ว่า การก่อความไม่สงบลักษณะนี้จะยังคงมีต่อไปและจะรุนแรงขึ้นด้วย

ที่มา : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงไนโรบี

คนไทยในซาอุฯ ปลื้ม หมอไทยไปดูแลถึงที่


สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงริยาดรายงานว่า ระหว่างวันที่ 23-26 พฤษภาคม 2555 สถานเอกอัครราชทูตได้จัดทำโครงการให้บริการทางการแพทย์แก่คนไทยและอาสาสมัครแรงงานไทยในซาอุดีอาระเบีย ซึ่งในครั้งนี้จัดขึ้นเป็นปีที่สี่ติดต่อกัน โดยที่ผ่านมาได้รับความสำเร็จอย่างดียิ่งคนไทยและแรงงานไทยให้ความสนใจเข้ารับบริการเป็นจำนวนมาก 


ในปีนี้สถานเอกอัครราชทูตได้เชิญนายแพทย์ สุทัศน์ ดวงดีเด่น นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรกรรม จากโรงพยาบาลเลิดสิน และนายแพทย์อาทิตย์ กอธรรมรังษี เดินทางไปให้บริการทางการแพทย์แก่คนไทยในกรุงริยาดในวันที่ 24 พฤษภาคม 2555 ระหว่างเวลา 09.00-17.00 น. และที่เมืองอัลโคบาร์ ในวันที่ 25 พฤษภาคม 2555 ระหว่างเวลา 14.00-20.00 น. ตามลำดับ





ที่กรุงริยาดสถานเอกอัครราชทูตได้จัดให้มีการบริการตรวจสุขภาพร่างกาย ณ ที่ทำการสถานเอกอัครราชทูตเป็นเวลา 1 วัน ซึ่งได้รับความสนใจจากคนไทยและครอบครัวทั้งในกรุงริยาดและจากเมืองใกล้เคียงทยอยเข้ารับการตรวจสุขภาพเป็นจำนวนกว่า 50 คน ซึ่งส่วนใหญ่เคยเข้ารับบริการตรวจสุขภาพตามโครงการดังกล่าวมาก่อนแล้ว ทั้งนี้สถานเอกอัครราชทูตได้แจกจ่ายยารักษาโรคให้แก่คนไข้ทุกคนตามคำวินิจฉัยของแพทย์อีกด้วย รวมทั้งได้เก็บประวัติการรักษาและการจ่ายยาไว้เป็นเอกสารอ้างอิงสำหรับการติดตามผลการรักษาในการดำเนินโครกงการนี้ในปีต่อๆไป


สำหรับที่เมืองอัลโคบาร์ สถานเอกอัครราชทูตได้เดินทางไปให้บริการตรวจสุขภาพที่โรงแรม Al Gosaibi Al Khoba ซึ่งมีแรงงานไทยและครอบครัวที่ทำงานอยู่ที่เมืองอัลโคบาร์และเมืองใกล้เคียงเข้ารับการบริการจำนวน 40-50 คน 


คนไทยที่มารับบริการตรวจสุขภาพต่างแสดงความขอบคุณสถานเอกอัครราชทูต ที่ได้จัดโครงการนี้ขึ้นและแสดงความประสงค์ขอให้จัดโครงการนี้เป็นประจำทุกปี เนื่องจากปัจจุบันแรงงานไทยส่วนใหญ่อายุมากเฉลี่ย 50-65 ปี และจากการตรวจสุขภาพพบว่ากว่าร้อยละ 80 ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูงและโรคผิวหนังอันเนื่องมาจากการทำงานหนักในสภาพภูมากาศที่ร้อนอบอ้าวตลอดทั้งปี ขาดการดูแลและรักษาที่ถูกต้อง รวมทั้งไม่ได้รับการตรวจสุขภาพสม่เสมอ นอกจากนั้นแรงงานไทยหลายรายยังมีปัญหาด้านสุขภาพจิตอันเกิดจากความเครียดจากการทำงานและจากสภาพแวดล้อมที่เข้มงวดด้วยกฎระเบียบต่างๆ การจัดโครงการให้บริการทางการแพทย์ครั้งนี้จึงถือว่าประสบผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ของโครงการที่มุ่งหวังในการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่คนไทยและแรงงานไทยในซาอุดีอาระเบียและเพื่อเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่คนไทยอีกด้วย


สถานเอกอัครราชทูตมีความตั้งใจจะจัดทำโครงการนี้เป็นประจำทุกปีในประเทศซาอุดีอาระเบีย โครงการนี้ยังได้รับความสนใจจากสถานเอกอัครราชทูตที่บาห์เรนด้วย คณะแพทย์จึงได้เดินทางต่อไปยังประเทศบาห์เรนตามคำเชิญของสถานทูตไทยและคนไทยเพื่อไปให้การรักษาและให้คำแนะนำการดูแลสุขภาพให้แก่คนไทยที่นั่นด้วย 


ที่มา : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงริยาด


วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

การเมืองเนปาลวุ่น สถานทูตไทยเตรียมรับมือ




การเมืองเนปาลวุ่นวายไม่เลิก ล่าสุด ตั้งแต่ 20 พ.ค. กลุ่มการเมืองตกลงเรื่องรัฐธรรมนูญไม่ลงตัว พากันออกมาประท้วงเผาบ้านเผาเมือง กลุ่มผู้ประท้วงเข้าจู่โจมทำร้ายสื่อมวลชนจนได้รับบาดเจ็บและทำลายรถยนต์ของสื่อมวลชนจนได้รับความเสียหาย ทางการต้องส่งกำลังเข้ารักษาการณ์ตามสถานที่สำคัญและบ้านพักของสื่อมวลชนด้วย การประท้วงที่ผ่านมา ตำรวจจับกุมผู้ประท้วงกว่า 60 คน บ้านเรือนร้านค้าในกรุงกาฐมาณฑุและเมืองโพคาราเสียหายยับเยิน รถยนต์ของสื่อมวลชนถูกทำลายพังยับไปนับ 10 คัน
การประท้วงยังมีแนวโน้มยืดเยื้อต่อไปอีกและมีท่าทีรุนแรงมากขึ้นด้วย แม้ว่าทางการของเนปาลรวมทั้งกลุ่มการเมืองต่างๆ จะพยายามหาทางแก้ไขสถานการณ์แต่ก็ดูเหมือนจะยังไม่ดีขึ้น

สถานทูตไทยจึงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเตรียมการรับมือกับสถานการณ์ โดยได้ติดต่อกับคนไทยที่อาศัยในเนปาลทุกคนเพื่อซักซ้อมทำความเข้าใจให้ตรงกันตามแผนอพยพที่มีไว้แล้ว หากสถานการณ์เลวร้ายลงไปจนใช้ชีวิตตามปกติไม่ได้แล้ว ก็จะจัดให้คนไทยมาพักอยู่ที่ทำเนียบ (บ้านพัก) ของทูตซึ่งน่าจะเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด และได้ขอความร่วมมือไปยังรัฐบาลเนปาลให้เพิ่มการรักษาความปลอดภัยทั้งที่สถานทูตและบ้านพักของข้าราชการทุกคนด้วย

ที่มา : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกาฐมาณฑุ

หมอนวดไทยในแดนฟาห์โรสุดทนนายจ้าง ขอกลับบ้าน


หมอนวดไทยในอียิปต์ สุดทนกับการเอารัดเอาเปรียบของนายจ้าง ให้ทำงานไม่มีวันหยุด ป่วยก็ต้องทนทำมิฉะนั้นจะถูกหักเงินเดือน สายด่วนถึงสถานทูตไทยขอให้ช่วยส่งตัวกลับบ้าน

นายชัยณรงค์ กีรติยุตวงศ์ อัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ แจ้งว่า เมื่อวันที่ 3 พ.ค. 55 ได้รับโทรศัพท์จากหมอนวดไทยที่ทำงานอยู่ที่ีเมืองชาร์ม เอล เชค เมืองตากอากาศชื่อดังของอียิปต์ ขอให้ช่วยเหลือในการส่งตัวหมอนวดไทย 4 คน กลับบ้านด่วน เนื่องจากไม่สามารถทนทำงานกับนายจ้างอียิปต์ ที่คอยเอารัดเอาเปรียบมาตลอด และเงินเดือนก็ได้รับไม่ตรงตามสัญญา สภาพการทำงานแย่มาก ไม่มีวันหยุด และไม่สามารถหยุดงงานได้แม้ว่าจะป่วย หากหยุดก็จะถูกหักเงินเดือน หมอนวดทั้ง 4 คน ได้หนีออกมาจากบ้านพักคนงานแล้ว แต่เนื่องจากนายจ้างยึดหนังสือเดินทางไว้จึงยังไปไหนไม่ได้เพราะกลัวจะถูกตำรวจอียิปต์จับกุมเพราะไม่มีเอกสารประจำตัว

หลังจากความพยายามของทุกฝ่ายในการเจรจาเพื่อแก้ปัญหานี้ประสบความล้มเหลว กล่าวคือ ฝ่ายนายจ้างก็บิดพลิ้วไม่ยอมทำตามสัญญาและหน่วงเวลาไม่ยอมคืนหนังสือเดินทางให้คนงาน ซ้ำยังจะเรียกเงินจากคนงานอีก ส่วนหมอนวดไทยก็หมดความอดทน ขอกลับบ้านอย่างเดียว ฝ่ายสถานทูตซึ่งเป็นผู้ไกล่เกลี่ยเห็นว่า นายจ้างรายนี้ไม่น่าเชื่อถือและมีพฤติกรรมเอาเปรียบหมอนวดไทยจริง หากยังให้หมอนวดไทยทำงานอยู่ด้วยต่อไปคงไม่เป็นผลดี จึงนำตัวคนงานไทยทั้ง 4 คน เดินทางมาพักอยู่ที่กรุงไคโรและดำเนินการออกเอกสารประจำตัวพร้อมทั้งจ่ายค่าปรับฐานอยู่ในอียิปต์เกินกำหนดพร้อมทั้งหาตั๋วเครื่องบินส่งตัวหมอนวดทั้ง 4 คน กลับประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อย

งานนี้ ทางสถานทูตได้ติดตามเอาเรื่องต่อเนื่อง โดยได้เรียกนายหน้าที่ชักชวนคนไทยทั้ง 4 คน มาทำงานในอียิปต์ให้มีส่วนรับผิดชอบในเรื่องนี้ เพราะพฤติกรรมการนำคนเข้ามาทำงานโดยไม่ถูกต้องนี้เข้าข่ายการกระทำผิดกฎหมายการค้ามนุษย์ แม้ว่าคนไทยทั้ง 4 คนจะสมัครใจก็ตาม พร้อมทั้งขอให้เลิกนำคนไทยเข้ามาทำงานในอียิปต์ มิฉะนั้น จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด

ท่านชัยณรงค์ฯ ยังเล่าต่อด้วยว่า ปัญหาลักษณะนี้เป็นเรื่องที่เรื้อรังมากนาน และมีผู้เกี่ยวข้องทั้งคนไทยด้วยกันเองและนายจ้าง/นายหน้าชาวอียิปต์ ส่วนคนงานไทยก็ยอมที่เดินทางเข้าไปเสี่ยงโชคทั้งที่รู้ว่าเป็นเรื่องผิดกฎหมาย ปัจจุบันยังคงมีคนไทยทำงานอย่างผิดกฎหมายอยู่ในอียิปต์อีกเป็นจำนวนไม่น้อย

ที่มา : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงไคโร

วันพุธที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

แรงงานไทย 21 คน ถูกลอยแพในมาเลเซีย


ไม่น่าเชื่อว่า พ.ศ. นี้ ยังจะมีคนไทยถูกหลอกไปทำงานในต่างประเทศอยู่อีก

ท่านอัครราชทูตที่ปรึกษา สมพงษ์ กางทอง ปฎิบัติหน้าที่กงสุลไทยในประเทศมาเลเซีย รายงานเข้ามาว่า เมื่อวันที่ 14 พ.ค. 55 ได้รับโทรศัพท์จากแรงงานไทยคนหนึ่ง ขอให้ช่วยเหลือตนและเพื่อนคนงานอีก 20 คน ที่ถูกหลอกให้ไปทำงานในมาเลเซีย แต่พอไปถึงไม่มีงานทำ ต้องไปเก็บผักและจับสัตว์ตามป่ามาประกอบอาหารกินประทังชีวิต

จากการสอบถามรายละเอียดได้ความว่า คนงานทั้ง 21 คน (ส่วนใหญ่เป็นพี่น้องแรงงานจากภาคอีสาน) ได้รับการติดต่อจากบริษัทกันตาเทรดดิ้ง ตั้งอยู่ที่จังหวัดระยอง อ้างว่ามีตำแหน่งงานก่อสร้างในมาเลเซีย รายได้ดี (120 บาท/ชั่วโมง) และมีค่าล่วงเวลา (โอ.ที) ทั้ง 21 คน ซึ่งมีประสบการณ์เคยไปทำงานในต่างประเทศกันมาแล้วทุกคน ฟังแล้วก็เคลิ้มตามหลงเชื่อโดยง่าย ทางบริษัทจึงพาไปทดสอบฝีมือและจัดการเดินทางให้โดยไม่ได้มีการทำวีซ่าหรือขอใบอนุญาตทำงานให้แต่อย่างใด เพียงแต่นัดหมายให้ไปพบกันที่สถานีขนส่งสายใต้ และยังถูกนายหน้าเรียกเก็บเงินเพิ่มอีกคนละ 12,000 บาท อ้างว่าเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางข้ามแดน นายหน้าบอกกับแรงงานว่า พอไปถึงมาเลเซียจะมีผู้แทนจากบริษัทนายจ้างมารับที่ด้านสุไหงโกลกและพาไปที่ไซต์งาน

คนงานทั้ง 21 คน  เดินทางถึงมาเลเซียเมื่อวันที่ 7 พ.ค. 55 มีคนไปรับที่ด่านฝั่งมาเลเซียและเรียกเก็บเงินอีกคนละ 14,000 บาท หลังจากจายเงินไปจนหมดตัวหน้าซีดหน้าเซียวแล้ว นายหน้าฝั่งมาเลเซียที่เพิ่งรับทรัพย์จนหน้าใสก็พาคนงานหน้าซีดทั้ง 21 คน ไปทิ้งไว้ที่บ้านร้างริมทะเลแห่งหนึ่งในเมืองกวนตัง รัฐปาหัง และปล่อยให้คนงานพักผ่อนตากอากาศริมทะเลอยู่อย่างนั้น ไม่มีใครดูแลต่อ คนงานจึงต้องเก็บผักและล่าสัตว์มาประกอบอาหารกินประทังชีวิต เพราะถูกรีดเงินจนไม่เหลือไว้ใช้

หลายวันต่อมา นายหน้าก็กลับมาหาพร้อมกับบอกว่าบริษัทที่ว่าจะให้ไปทำงานด้วยไม่มีงานให้ทำแล้ว แต่จะพาไปทำงานอีกที่หนึ่งซึ่งเป็นบริษ้ทรับเหมาก่อสร้างขนาดใหญ่ใกล้ๆ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ว่าแล้วก็พาคนงานทั้งหมดนั่งรถยนต์ต่อมาถึงเขตราวัง ย่านชานเมือง แต่ก็ยังต้องพักอาศัยกันอยู่ในบ้านร้างเหมือนเดิม มาจนถึงตอนนี้ พวกคนงานเริ่มเชื่อแล้วว่ากำลังถูกหลอกแน่นอน จึงได้ติดต่อขอให้สถานทูตให้ความช่วยเหลือ

ท่านกงสุลสมพงษ์ฯ พร้อมด้วยท่านอัครราชทูตที่ปรึกษาฝ่ายแรงงาน ได้เดินทางไปยังเขตราวังเพื่อให้ความช่วยเหลือ และเมื่อไปถึงก็ได้พบกับนายหน้าที่กำลังนำรถมารับคนงานไปพักที่อื่น คนงานทั้งหมดไม่เชื่อนายหน้าอีกต่อไป และขอให้นายหน้าคืนเงินให้เพื่อจะเดินทางกลับประเทศไทย ท่านสมพงษ์ และผู้ช่วยทูตฝ่ายแรงงานก็ได้ช่วยเจรจาให้นายหน้าคืนเงินให้คนงาน ในที่สุด นายหน้ายอมคืนให้คนละ 7,000 บาท แต่ยังมีคนงาน 6 คน ยังจะขอตามนายหน้าไปทำงานอ้างว่าได้กู้หนี้ยืมสินมาเป็นจำนวนมากเป็นค่าใช้จ่าย หากกลับไปตอนนี้จะไม่มีเงินไปใช้หนี้ จึงต้องยอมเสี่ยงไปกับนายหน้ารายนี้ต่อไป ส่วนคนอื่นๆ สถานทูตก็ได้ช่วยเหลือให้เดินทางกลับประเทศไทยหมดทุกคนแล้ว

ในเรื่องนี้ ท่านกงสุลสมพงษ์ฯ ยังได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า จากการตรวจสอบกับบริษัทที่นายหน้าอ้างว่าจะพรคนไทยมาทำงานด้วย พบว่า บริษัทนี้มีตัวตนอยู่จริง และได้รับสัมปทานก่อสร้างเหมืองแร่จริง และต้องการแรงงานจริง แต่เชื่อว่ามีขบวนการนายหน้าสวมรอยจัดหาแรงงานส่งไปโดยไม่ถูกต้องและส่งต่อให้บริษัทอื่นๆ โดยได้ค่านายหน้าตามที่คนงานจ่ายไปและอ้างว่าเมื่อเดินทางถึงจะขอวีซ่าทำงานให้ ซึ่งตามกฎหมายมาเลเซีย แรงงานที่ถูกต้องจะต้องได้รับหนังสือขอวีซ่า (Calling Visa) จากนายจ้างก่อน จากนั้นจึงไปยื่นขอวีซ่าจากสถานทูตมาเลเซียในไทยแล้วจึงจะเดินทางไปทำงานในมาเลเซียได้ ท่านสมพงษ์ฯ ยังฝากเตือนมาด้วยว่า ขบวนการนายหน้าเถื่อนยังใช้วิธีนี้ในการหาคนไปทำงานในเรือประมงโดยนายหน้าจะได้ค่าหัว 3-4 หมื่นบาทต่อคน ซึ่งถ้าใครโชคร้ายไปหลงเชื่อถูกส่งลงเรือประมงแล้วละก็ จะถูกใช้งานเยี่ยงทาสและไม่ได้ขึ้นฝั่งเลย บางทีอาจจะถูกขายไปให้เรือลำอื่นๆ อีก ปัจจุบัน มีการขอให้สถานทูตติดตามหาญาติที่ไปทำงานในมาเลเซียและไม่ติดต่อกลับมาเลย ซึ่งก็น่าจะเป็นผู้เคราะห์ร้ายที่ถูกส่งตัวไปทำงานในเรือประมงนั่นเอง

ทั้งที่มีการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการไปทำงานต่างประเทศอย่างสม่ำเสมอ ก็ยังมีคนที่คอยหลอกคน และคนที่พร้อมจะถูกคนหลอก คนที่ยอมเสี่ยงไปทำงานต่างประเทศทั้งที่รู้ว่าไม่ถูกต้อง
เรื่องแบบนี้ คงได้แต่ทำใจ

ที่มา : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์
        : กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
         กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ

วันอังคารที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ชาวอุบลฯ รู้แจ้งก่อนใครในสยาม ไม่เป็นเหยื่อค้ามนุษย์

 อุบลราชธานี นอกจากจะเป็นจังหวัดที่ได้เห็นแสงอาทิตย์ก่อนใครในสยามแล้ว ยังเป็นจังหวัดที่มีความพิเศษที่ตั้งอยู่สุดขอบเขตแดนไทยด้านทิศตะวันออก มีชายแดนประชิดติดกับเพื่อนบ้านถึง 2 ประเทศคือกัมพูชา และลาว การค้าการขายคึกคักโดยเฉพาะตามด่านชายแดนที่ติดกับทั้งสองประเทศดังกล่าว

ชาวอุบลฯ นั้น ได้ชื่อว่าคุ้นเคยกับสภาพเมืองชายแดนที่มีการเดินทางเปลี่ยนผ่านหมุนเวียนของทั้งคนและสินค้า จึงมีความตื่นตัวอยู่เสมอและรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่กำลังมีมากขึ้นหลังจากอาเซียน 10 ประเทศ จะมีการรวมตัวกันแนบแน่นมากขึ้น การค้าการขาย การคมนาคมขนส่งทั้งสินค้าและการสัญจรของผู้คนที่จะมีมากขึ้นและเสรีมากขึ้น ปัญหาที่ตามมาคือ การค้ามนุษย์จะพลอยเพิ่มมากขึ้นด้วย และจะมีรูปแบบที่หลากหลายซับซ้อนขึ้นด้วย

กระทรวงการต่างประเทศเล็งเห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องติดอาวุธให้กับชาวอุบลฯ เพราะนอกจากเพื่อคนอุบลฯ จะได้ไม่ต้องตกเป็นเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์แล้ว ยังจะเป็นการสร้างให้ชาวอุบลฯ มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการค้ามนุษย์ จะได้ช่วยป้องกันตัวเองและลูกหลาน จึงได้ร่วมกับสำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว อุบลราชธานี และมูลนิธิพิทักษ์สตรี จัดโครงการ “อบรมสร้างความเข้าใจป้องกันภัยคนไทยไปต่างแดน โดยเฉพาะสตรีและเด็ก” ในพื้นที่ อ.โขงเจียม และ ต.ช่องเม็ก อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี ระหว่างวันที่ ๙-๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๕
นายสุรพล เพชรวรา อธิบดีกรมการกงสุล กล่าวเปิดโครงการ

ในงานมีการบรรยายให้ความรู้ที่ควรทราบก่อนการเดินทางไปต่างประเทศ และยกตัวอย่างกรณีต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากขบวนการค้ามนุษย์แก่ผู้เข้าร่วมการอบรม รวมทั้งตอบคำถามในประเด็นต่างๆ โดยมีอธิบดีกรมการกงสุล เป็นผู้บรรยายหลัก ร่วมกับผู้อำนวยการกองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ หัวหน้าสำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว อุบลราชธานี และเจ้าหน้าที่กองคุ้มครองฯ

นอกจากนี้ กิจกรรมรับแจ้งเหตุ มีจุดประสงค์เพื่อให้ผู้เข้าร่วมการอบรมรู้จักใช้ประโยชน์จากข้อมูลความรู้ที่ได้รับการอบรมจากการบรรยายช่วงเช้า ในการร่วมป้องกันภัยจากขบวนการมิจฉาชีพและค้ามนุษย์ ผ่านทางรูปแบบกิจกรรมกลุ่มย่อย ที่เน้นให้เกิดแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจระหว่างกัน ดำเนินรายการโดยเจ้าหน้าที่มูลนิธิพิทักษ์สตรี ผู้เข้าร่วมการสัมมนามีจำนวนทั้งสิ้น ๒๖๐ คน (๒ วัน) โดยเป็นผู้แทนจากหน่วยงานท้องถิ่น ตัวแทนเครือข่ายภาคประชาชนในอำเภอ ครู/อาจารย์ กลุ่มชาวบ้าน จ.อุบลราชธานี ซึ่งจะช่วยนำความรู้ที่ได้รับไปเผยแพร่แก่ประชาชนในพื้นที่ต่อไป
ผู้เข้าร่วมอบรมตั้งอกตั้งใจรับความรู้จากวิทยากร



กิจกรรมกลุ่มย่อย
ถือได้ว่า โครงการนี้ จะช่วยให้ชาวอุบลฯ รู้แจ้งถึงปัญหาการค้ามนุษย์ และจะช่วยเป็นหูเป็นตาให้กับเจ้าหน้าที่ ช่วยกันสอดส่องการกระทำผิดในเรื่องการเอาเปรียบเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน คนอุบลฯ นอกจากจะเห็นแสงตะวันก่อนใครในสยามแล้ว ต่อไปนี้ จะเป็นผู้ที่รู้แจ้งก่อนใคร รู้เท่าทันคนค้าคน คนที่เอาเปรียบคน ไม่หลงเป็นเหยื่อของคนพวกนี้อีกต่อไป
คนอุบลฯ เห็นตะวันขึ้นก่อนใครในสยาม
ที่มา : กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
         กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ

วันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

เคราะห์ซ้ำสาวไทยสูญสามี ครอบครัวที่ญี่ปุ่นค้านให้เงินช่วยเหลือ

คงยังจำกันได้ถึงเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิเมื่อเดือนมีนาคมปี 2554 ที่ผ่านมา ได้สร้างความสูญเสียครั้งใหญ่กับชาวญี่ปุ่นในหลายครัวเรือน หากแต่ใครเลยจะรู้ว่าภัยธรรมชาติครั้งนี้นำมาซึ่งรอยน้ำตาให้กับครอบครัวเล็กๆ ของหญิงไทยคนหนึ่งโดยได้พรากชีวิตสามีของเธอชาวญี่ปุ่นไปด้วย

ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์อันไม่คาดฝันนี้ขึ้น หญิงไทยคนดังกล่าวมีชีวิตครอบครัวที่สมบูรณ์กับสามีชาวญี่ปุ่นของเธอ เธอตั้งครรภ์และมีอาการแพ้ท้องอย่างรุนแรงจึงต้องกลับมาพักผ่อนอยู่ที่เมืองไทย แต่เธอก็ยังคงติดต่อไปมาหาสู่กับสามีอยู่เสมอ จนกระทั่งเธอให้กำเนิดบุตรชาย สามีได้เดินทางมาเยี่ยมเธอและลูกที่ประเทศไทย และยังวางแผนที่จะมารับเธอและลูกกลับไปอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่นด้วยกันอีกครั้ง

แต่โชคชะตากลับเล่นตลก เพียงหนึ่งเดือนก่อนที่เขาจะมารับเธอที่ประเทศไทย สึนามิได้พรากชีวิตเขาไปอย่างไม่มีวันกลับ ทิ้งให้เธอและลูกน้อยเผชิญชะตากรรมโดยลำพัง

เคราะห์ซ้ำกรรมซัด...

เมื่อเธอติดต่อขอรับเงินที่ครอบครัวพึงได้จากการเสียชีวิตของเหยื่อสึนามิ ทางครอบครัวของสามีเธอที่ญี่ปุ่นกลับคัดค้านไม่ให้เธอได้รับเงินช่วยเหลือที่เธอพึงได้จากการเสียชีวิตของสามี โดยอ้างว่าเธอไม่ได้อยู่กินกับสามีที่ญี่ปุ่น เธอจึงขอความช่วยเหลือมายังสถานเอกอัคราชทูต ณ กรุงโตเกียวให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและช่วยให้เธอได้รับสิทธิที่เธอสมควรได้รับ

ขั้นตอนการดำเนินการใช้ระยะเวลาหลายเดือน แต่ก็ประสบความสำเร็จในท้ายที่สุด ทางการญี่ปุ่นพิจารณาให้เธอมีสิทธิรับเงินช่วยเหลือนั้นพร้อมกับเงินเพิ่มเติมสำหรับลูกชายของเธอด้วย แม้ว่าเงินจำนวนนั้นอาจเทียบไม่ได้กับการต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก แต่มันก็พอจะเป็นสิ่งที่ทำให้เธอและลูกน้อยสามารถก้าวเดินต่อ และประคับประคองครอบครัวที่ไร้ซึ่งเงาของเสาหลัก ให้ยังคงอยู่อย่างเข้มแข็งได้…

กรมการกงสุลจึงขอประชาสัมพันธ์ให้ทราบถึงบทบาทหน้าที่ของสถานเอกอัคราชทูตและสถานกงสุลไทยในต่างประเทศ “เรา” พร้อมจะช่วยเหลือคนไทยทุกคนเสมอ...

ที่มา : กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
          กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ

ทำงานต่างแดนดีจริงหรือ?

เราทุกคนต่างก็ต้องการทำงานที่มีรายได้ตอบแทนสูงๆ เพื่อนำไปไว้ใช้จ่ายและเลี้ยงดูครอบครัว และคงไม่มีใครที่จะปฏิเสธความจริงข้อนี้ได้ โดยเฉพาะการทำงานในต่างประเทศ หลายคนคงวาดฝันไว้อย่างสวยหรู มีงานทำ มีเงินใช้มากมาย และได้อยู่ต่างประเทศ แต่มันจะเป็นไปได้อย่างนั้นกับทุกคนจริงหรือ?

ปัจจุบันมีโฆษณาเป็นจำนวนมาก ทั้งในหนังสือพิมพ์ เว็บไซต์ และคนรู้จักหรือนายหน้าชักชวนให้ไปทำงานในต่างประเทศ เพื่อตอบสนองความต้องการของสังคม แต่ผู้ที่สนใจควรศึกษาข้อมูลให้ดี ตรวจสอบเงื่อนไขการทำงานให้ชัดเจน เพราะที่ผ่านมามีหลายกรณีที่คนดีๆ ตั้งใจไปทำงานเก็บเงินในต่างประเทศต้องกลายเป็น “เหยื่อ” ในขบวนการค้ามนุษย์ ค้าประเวณีแอบแฝง หรือ ค้ายาเสพติดข้ามชาติ

เช่น การประกาศรับสมัครหญิงไทยไปเป็นพนักงานนวดในยุโรปในเว็บไซต์หนึ่ง (Need girl’s for Thai massage in Europe) เสนอเงินเดือนจำนวน 100,000 บาท พร้อมทั้งสวัสดิการอีกมากมาย การชวนเชื่อที่บอกว่ารายได้ดี ขอวีซ่าให้ฟรี ไม่เสียค่าดำเนินการ ดูเหมือนว่าจะเป็นคำโกหก (ที่เกินความจริง) ที่มีไว้เพื่อดึงดูดผู้ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์

อย่าหลงเชื่อคำชักชวนโฆษณา เพียงเพราะเห็นแก่เงินเป็นปัจจัยสำคัญเดียวเท่านั้น แต่ควรคำนึงถึงความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของตนเองด้วย เนื่องจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์อาจทำให้คุณต้องตกเป็นเหยื่ออีกหนึ่งรายของคนหลอกลวง

ที่มา : กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
         กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ

สาวไทยโดนจับที่ศรีลังกา ฐานเขมือบโคเคน


การลักลอบขนยาเสพติดข้ามชาติในปัจจุบันนับวันยิ่งทวีความซับซ้อนมากขึ้นทุกที จากเดิมที่เคยซุกซ่อนตามเสื้อผ้าหรือสัมภาระ เปลี่ยนมาเป็น“ร่างกายมนุษย์” แทน

ล่าสุดมีกรณีสองสาวชาวไทยกลืนแคปซูลบรรจุโคเคนไว้ในกระเพาะของตนกว่า 80 เม็ด ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 20 ล้านรูปีศรีลังกา (ราว 4.8 ล้านบาท) เพื่อหลีกเลี่ยงการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ

แต่ดวงซวย...หนึ่งในนั้นเกิดปวดท้องอย่างรุนแรง และอาเจียนออกมา จนถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล และถูกจับกุมในที่สุด ซึ่งนับว่ายังเคราะห์ดีอยู่บ้าง ต่างจากบางรายที่เสียชีวิตเนื่องมาจากยาเสพติดได้เข้าไปทำลายระบบต่างๆภายในร่างกาย

หากแต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีข่าวคนไทยถูกดำเนินคดี เนื่องจากมีส่วนเกี่ยวพันในขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ “ด้วยวิธีการขนส่งที่พิสดาร” ดังนั้นจึงอยากเตือนคนไทยทั้งหลายที่คิดจะหากินกับยาเสพติดเพราะคิดว่าคุ้มค่าเสี่ยง ก็ขอให้คิดเสียใหม่

เพราะฉากสุดท้ายของชีวิต... หากไม่ได้รับกรรมด้วยโทษประหารชีวิต หรือตายทั้งเป็นจากโทษจำคุก ก็อาจมีจุดจบเพราะยาเสพติดที่ถูกยัดอยู่ภายในร่างกายนั่นเอง !!

ที่มา : กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
         กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ

เด็กไทยถูกปล่อยเกาะในต่างแดน



ทุกปี เมื่อถึงช่วงปิดภาคฤดูร้อน ผู้ปกครองนิยมส่งบุตรหลานไปเข้าร่วมโครงการแลกเปลี่ยนเรียนภาษาในต่างประเทศเป็นระยะสั้นๆ โดยหวังจะได้พัฒนาภาษาต่างชาติกลับมา รายไหนโชคดี ก็จะได้รับทั้งความรู้และประสบการณ์ในต่างแดนติดตัวมาด้วย หากแต่ไม่ใช่ทุกรายที่โชคจะเข้าข้าง…..
เห็นได้จากกรณีล่าสุด นักเรียนไทยเดินทางไปศึกษาภาษาอังกฤษที่ประเทศแคนาดา ผ่านบริษัทตัวแทนแห่งหนึ่ง แล้วประสบปัญหากับครอบครัวอุปถัมภ์ (Host Family) ซ้ำร้ายยังไม่สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือจากตัวแทนบริษัทดังกล่าวได้ทั้งในและต่างประเทศ ร้อนถึงสถานกงสุลใหญ่ ณ นครแวนคูเวอร์ ต้องเข้าไปช่วยเหลือและหาที่พักใหม่ตามคำร้องเรียนของผู้ปกครอง
เพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย...
ผู้ปกครองและนักเรียนจึงจำเป็นที่จะต้องศึกษาหาข้อมูลให้ถี่ถ้วนเสียก่อน และระมัดระวังเป็นพิเศษในการทำสัญญากับบริษัทตัวแทน โดยต้องมั่นใจว่าจะสามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ของบริษัทตัวแทนโดยตรงได้ทุกที่ทุกเวลา และมีสิทธิที่จะเลือก Host Family ได้ด้วยตนเอง
แม้กรณีนี้จะจบลงด้วยดี แต่ก็อยากฝากเป็นอุทาหรณ์ไว้ถึงผลของการไม่ศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบ เพราะนอกจากจะต้องเสียเวลาและเงินทองไปเป็นจำนวนมากแล้ว ยังอาจจะได้ความเสี่ยงในความปลอดภัยและคราบน้ำตาของบุตรหลานท่านมาเป็นของแถมอีกด้วย

ด้วยความปราถนาดี จาก : กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
                                               กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ

ไทยหลอกไทย ที่ไนจีเรีย


สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอาบูจา ประเทศไนจีเรีย แสดงความห่วงใยและกังวลเกี่ยวกับปัญหาคนไทยที่ถูกคนไทยด้วยกันหลอกไปทำงานที่ไนจีเรียเพิ่มจำนวนมากขึ้น โดยส่วนใหญ่ถูกหลอกให้ไปทำงานในร้านอาหาร ร้านซักรีด หรือนวดสปา และไม่ได้รับเงินค่าจ้างแถมยังถูกยึดหนังสือเดินทางทำให้ไม่มีเงินซื้ออาหารและไม่มีเอกสารเดินทางกลับประเทศไทย

ทางสถานทูตเองก็พยายามดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหานี้โดยได้จัดให้เจ้าหน้าที่กงสุลเดินทางไปเมืองลากอส (มีคนไทยอยู่มากที่สุด) เพื่อช่วยเหลือโดยการออกหนังสือสำคัญแสดงตน หรือ C.I.  (เป็นเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางสามารถเดินทางกลับไทยโดยเอกสารนี้ได้ ) และแนะนำคนไทยให้ไปแจ้งความกับตำรวจไทยเมื่อเดินทางกลับถึงบ้านแล้ว เพราะเหตุการณ์หลอกลวงต่างๆ เกิดขึ้นที่เมืองไทยและคู่กรณีเป็นคนไทยด้วยกัน ส่วนการแจ้งความกับตำรวจไนจีเรียนั้น ไม่น่าจะมีผลอะไร อาจเป็นเพราะคู่กรณีเป็นคนต่างชาติด้วยกัน ทางการของไนจีเรียจึงไม่ได้ให้ความสำคัญ อีกทั้งการแจ้งความในประเทศไนจีเรียก็ไม่ได้แจ้งได้ฟรีๆ ต้องเสียเงินค่าแจ้งความครั้งละประมาณ 1,000 บาทอีกด้วย สถานทูตยังได้ฝากให้ชุมชนคนไทยอื่นๆ ช่วยกันสอดส่องดูแลและให้เจ้าหน้าที่กงสุลติดตามใกล้ชิดเพื่อบรรเทาปัญหาและหามาตรการที่เหมาะสมในการจัดการกับปัญหานี้อย่างเด็ดขาดต่อไป

ปัญหาคนไทยถูกหลอกเกิดจากการที่กฎหมายไทยเปิดช่องให้นายจ้างสามารถจ้างงานได้โดยตรง ประกอบกับไนจีเรียมีนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยว จึงเปิดโอกาสให้นายจ้างนำผู้ถูกหลอกลวงเดินทางเข้าประเทศไนจีเรียโดยวีซ่าท่องเที่ยว

สถานทูตฝากเตือนภัยสำหรับคนไทยที่จะเดินทางไปประเทศไนจีเรียด้วยว่า ขณะนี้ ไนจีเรียมีปัญหาด้านความปลอดภัยจากการก่อการร้าย ดังนั้น สถานการณ์ความมั่นคงในไนจีเรียได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการจ้างงานในประเทศเป็นอย่างมาก จึงขอให้ระมัดระวังและตรวจสอบข้อมูลให้ดีก่อนเดินทางโดยเฉพาะผู้ที่จะไปทำงาน ขอให้ตรวจสอบกับสถานทูตไทยก่อนทุกครั้ง ตามที่อยู่นี้
Royal Thai Embassy
24 Tennesse Cresent ,
Off Panama Street ,
MaitamaAbuja, 
NIGERIA
Tel. (234) 9872 3746
Fax. (234) 9413 5193
E-mail : thaiabj@mfa.go.th

สภาพทั่วไปของเมืองลากอส เมืองใหญ่ที่สุดของไนจีเรีย

ส่งศพ นิมิตร จิตรานนท์ กลับไทย


 
หลายท่านคงได้ข่าวการเสียชีวิตของ นิมิตร จิตรานนท์  หรือ ''กบ-นิมิตร'' สามี ''เจี๊ยบ-วรรธนา'' นักร้องนักแต่งเพลงชื่อดังประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ดับ ขณะถ่ายสารคดีที่ประเทศอินเดีย นับเป็นช๊อกวงการเพลงและก็ช๊อคถึงงานพระธรรมทูตอินเดียด้วยเพราะอุบัติเหตุถึงเสียชีวิตบนท้องถนนของชาวไทยที่ไปอินเดียจะมีไม่เห็นบ่อยนัก ที่ผ่าน ๆ มาอย่างมากก็จะบาดเจ็บและจะเสียชีวิตด้วยเหตุโรคาอื่น ๆ มากกว่าอุบัติเหตุรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตเช่นนี้
๓ พ.ค. ๒๕๕๕ เวลา สามโมงเช้า ผู้เขียนได้รับแจ้งเหตุขณะเดินทางไปพาราณสี เพื่อนำคณะพระธรรมทูตสายต่างประทศ รุ่นที่ ๑๘ ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬา ฯ(มจร.)  โดยได้รับโทรศัพท์จากประเทศไทยว่ามีผู้บาดเจ็บสาหัส ๒ ราย จากอุบัติเหตุด้วยรถเสียหลักพลิกคว่ำชนเสาริมถนน ใกล้เมืองทันบาด(Dhanbad) ห่างจากพุทธคยาประมาณ ๒๐๐ ก.ม.ขณะนี้กำลังติดต่อไปยังโรงพยาบาลที่นำคนเจ็บไปรักษา  ในชั้นต้นได้กราบเรียนพระราชรัตนรังษี เจ้าอาวาสวัดไทยพุทธคยา หัวหน้าพระธรรมทูตอินเดียได้รับทราบ และท่านเจ้าคุณพระราชรัตนรังษี   ได้ส่งอาสาสมัครของวัดไทยพุทธคยา ที่เป็นนึกศึกษาอยู่สันตินิเกตัน เมืองกัลกัตตา ๒ คนออกเดินทางไปยังที่เกิดเหตุเพื่อประสานการช่วยเหลือเป็นการเร่งด่วน
ต่อมาไม่นานได้รับแจ้งว่า มีผุ้เสียชีวิตเป็นชายไทย อายุประมาณสี่สิบปี  จึงได้ส่งพระธรรมทูตจากวัดไทยพุทธคยาไปสมทบอีกสามรูป นำโดยพระมหานิพนธ์ ญาณวีโร เพื่อดำเนินการด้านเอกสารต่าง ๆ และดำเนินจัดการเรื่องศพผู้เสียชีวิต ผู้เขียนรับหน้าที่ประสานงานเรื่องแจ้งข่าวแก่ญาติผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บ ทราบภายหลังผู้เสียชีวิตคือ นิมิตร จิตรานนท์ สามีของคุณเจี๋ยบ วรรธนา นักร้องชื่อดังแห่งวงการเพลง และผู้บาดเจ็บเป็นช่างภาพ ๑ คน
 บ่ายโมงได้รับโทรศัพท์จากคุณเจี๋ยบ ว่าขอให้นำศพสามีมาเพื่อไหว้พระพุทธเจ้าที่พุทธคยาก่อน ตามความมุ่งมั่นและตั้งใจมากของสามีที่จะมากราบพระพุทธเจ้าและถ่ายทำสารคดีเนื่องในงานพุทธชยันตีการเฉลิมฉลอง ๒๖๐๐ ปี ระหว่างวันที่ ๔-๖ ณ พุทธคยา แดนตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า จึงแจ้งว่าจะดำเนินการตามประสงค์และจักจัดการส่งศพให้ถึงเมืองไทยอย่างด่วนที่สุด และรีบประสานงานทางสถานกงสุลใหญ่นครกัลกัตต้าได้ประสาน Agencyเพื่อดำเนินการส่งศพ จะทางอะเจนซี่แจ้งว่าจะส่งตัวแทนมารับศพเช้าวันที่ ๕ พ.ค. เพื่อส่งกลับกลางคืนถึงเมืองไทยเช้าวันที่ ๖ พ.ค



 ศพของคุณนิมิตร มาถึงวัดไทยพุทธคยาตีหนึ่งของวันที่ ๔ พ.ค. ๒๕๕๕ วันที่ ๔ พ.ค. เช้า มีคุณบิณ บรรลือฤทธิ์ จากร่วมกตัญญู ที่มาถ่ายทำละครเรื่องรูปู-รูปี อยู่ที่พุทธคยา มาช่วยแต่งศพคุณนิมิตรให้อย่างดี พระราชรัตนรังษี ได้จัดสวดอภิธรรมศพ ที่วัดไทยพุทธคยา เป็นวันแรก โดยมีคณะพระธรรมทูตสายต่างประเทศจำนวน ๑๐๘ รูปได้ร่วมสวดมาติกา และคณะคุณบิณฑ์ร่วมเป็นเจ้าภาพ นี่ก็นับเป็นความโชคดีของญาติ ๆคุณนิมิตรเพราะพระจำนวนมากมาสวดส่งวิญญาณให้ จากนั้นได้ประสานกับทางญาติว่าจะดำเนินการเรื่องจัดส่งกลับวันเสาร์ที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ถึงเช้าวันอาทิตย์ที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เพราะเรื่องการจัดส่งศพกลับประเทศนับเป็นความยุ่งยากที่สุดในอินเดีย เพราะต้องการพีธีการขั้นตอนเอกสารต่าง ๆ จำนวนมาก ในกรณีการเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ ตำรวจท้องถิ่นต้องได้รับรายงานเบี้องต้น (FIR)และมาตรวจสอบจากนั้นจะขอให้วิทยาลัยการแพทย์ผ่าชันสูตรศพ และออกใบรับรองการชันสูตรแล้วแพทย์อินเดียต้องออกใบรับรองสาเหตุการเสียชีวิตตามผลที่ชันสูตร จากนั้นรัฐบาลอินเดียต้องออกใบ NOC(No Objection Certificate) การนำศพเคลื่อนย้ายออกนอกประเทศ และทางสถานกงสุญก็ต้องออกใบรับรอง NOC เพื่อการอนุญาติให้นำศพกลับเข้าประเทศ เจ้าหน้าที่ LIU (Local Inteligent Unit) ต้องรับรอง  การส่งศพ บริษัทขนส่งทางเครื่องบิน Air Cargo ต้องดำเนินการออก AWB Number  พร้อมจัดส่งตามที่อยู่ของญาติผู้เสียชีวิตที่เมืองไทยตามที่สถานทูตออกแจ้งไปทางรัฐบาลอินเดียเพื่อให้ส่งศพไปให้ตามที่อยู่ผู้รับที่รัฐบาลไทยรับรองนั้น

 ส่วนช่างภาพทราบชื่อภายหลังคือนายธิติ ศรีจันทร์ ที่บาดเจ็บสาหัส ไหปลาร้าขวาหักและลำไส้เล็กถูกกระแทกหนัก..ต้องส่งตัวไปรักษาต่อที่โรงพยาบาล Apollo Kolkatta มีอาสาสมัครคือ เกสินี ศรีสองเมือง พร้อมคนไทยอีกหนึ่งคนไปช่วยดูและประสานญาติต่อไป ทราบว่า ขณะนี้อาการพ้นขีดอันตรายและญาติเดินทางมาเผ้ารักษาอาการไข้ที่โรงพยาบาล ณ เมืองกัลกัตตาแล้ว


วันที่ ๕ พ.ค. รอตัวแทนAgency อินเดีย ที่จะมารับศพไปกัลกัตตา ถึงสิบโมงเช้าถึงรู้ว่าไม่มีเจ้าหน้าที่จากตัวแทนบริษัทจัดส่งศพดังกล่าวเดินทางมา โดยไม่ทราบเหตุผล จึงได้รีบแจ้งสถานกุงสุลให้ทราบเพื่อหา บริษัทอื่นดำเนินการแทน และในขณะเดียวกันก็เตรียมการส่งศพไปยังกัลกัตตาซึ่งต้องใช้เวลาประมาณสิบชั่วโมง กงสุลแจ้งว่าได้ตัวแทนดำเนินการจัดส่งศพแล้วจึงได้จัดส่งศพ โดยรถ Traveler Force ออกจากวัดไทยพุทธคยาเวลาบ่ายโมง  มีพระมหานิพนธ์ พระชยโพธิ  พระ ๒ รูปนั่งไปพร้อมรถส่งศพ และผู้ช่วยคนอินเดียอีก สามคน พร้อมจัดยนต์อีกหนึ่งวิ่งตามไปเพื่อประสานงานด้านความสะดวกต่าง ๆ  ในระหว่างทางพระมหานิพนธ์ ต้องแวะไปโรงพยาบาลที่รักษาเพื่อรับเอกสารใบ รับรองการเสียชีวิต (Death Certificate)จากนายแพทย์ของอินเดียที่รับรักษาจนถึงเสียชีวิต ช่วงเย็นได้รับแจ้งว่า เจ้าหน้่าที่อินเดียออกเอกสาร NOCให้ไม่ทัน จึงไม่สามารถส่งศพกลับคืนวันที่ ๕ พ.ค.ได้ วันนี้เป็นวันอาทิตย์และเป็นวันหยดอีกด้วย จึงต้องรอต่อไป มาถึงตรงนี้มีลุ้นหนักเพราะแรงกดดันจากญาติผู้เสียชีวิตเริ่มหนักขึ้น ด้วยรอมาหลายวันแล้วซึ่งเราทราบดีว่า อินเดียก็คืออินเดีย แต่ก็อยากจะบอกว่า ฝ่ายพระก็ทำงานกันเต็มที่แล้วนะโยม โดยเฉพาะท่านพระมหานิพนธ์ไม่ได้จำวัดมาสองวันแล้ว ผู้เขียนเองต้องใช้โทรศัพท์ประสานงานตลอด อาศัยโทรศัพท์มือที่สามารถรับส่ง โอนถ่าย ข้อมูล ผ่านทางอีเมล์ได้ จึงทำงานได้สะดวกขึ้น

วันนี้ ที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ขณะนี้เวลาที่อินเดียบ่ายสองโมงครึ่งแล้วก็ยังไม่มีคำตอบว่าเอกสารทั้่งหมดพร้อมหรือยัง แล้วคืนนี้จะได้ส่งศพคุณนิมิตร กลับไปหาญาติ  ๆ กลับไปหาโยมเจี๊ยบ กลับไปหาลูกเนปาลและทิเบตได้หรือไม่..ขณะนี้เจ้าหน้าที่สถานกุงสุลใหญ่นครกัลกัตต้าและตัวแทนพระธรรมทุตกำลังทำงานอย่างเต็มที่ ซึ่งการรอคอย ด้วยความโศกเศร้าของญาติมิตรทางบ้าน ผู้เขียนทราบดี มิอาจสาธยายความรู้สึกนั้นได้เลย แต่พระธรรมทูตไทยในอินเดียพร้อมเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องจะต้องทำงานให้ดีที่สุด สุดกำลังความสามารถ หากคืบหน้าอย่างไรจะแจ้งให้ทราบโดยด่วนที่สุดต่อไป



ต่อไป
                ขอแสดงความเสียใจกับคุณเจ๊๋ยบ วรรธนา ลูก ๆ และญาติ ๆ ของคุณนิมิตรด้วยจิตแห่ง อนิจจา วต สังขารา อุปปาทวยธมฺมิโน อุปปัชชิตวา นิรุฌชนฺติ เตสํ วูปสะโม สุโข..   ขอดวงวิญญาณของนิมิตร จิตรานนท์ จงไปสู่สคติ สันดุสิตภพ ด้วยเจตนาแห่งมหากุศล ศรัทธา ความตั้่งใจที่ได้มาสู่แดนพุทธองค์ครั้งนี้ด้วยเทอญ ฯ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ท่านคมสรณ์ - พระธรรมทูตไทยในอินเดีย
http://www.oknation.net/blog/mylifeandwork/2012/05/06/entry-1

หมวยคาราโอเกะเซี่ยงไฮ้ทำแสบ รีดเงินหนุ่มไทยเกินราคา


หนุ่มใหญ่ชาวไทย 3 คน พากันไปเที่ยวที่เมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน เมื่อวันที่ 15 พ.ค. 55 ที่ผ่านมา หลังจากเข้าพักที่โรงแรมแล้วก็ออกมารับประทานมื้อค่ำกันที่ภัตตาคารแห่งหนึ่ง และได้รับการชักชวนจากชาวจีนให้ไปเที่ยวที่ร้านคาราโอเกะซึ่ง 3 หนุ่มจากลุ่มเจ้าพระยาก็ไม่ลังเลสงสัยอะไร ตามไปเที่ยวที่ร้านคาราโอเกะตามคำชักชวนในค่ำวันเดียวกันนั้นเอง

พอไปถึงร้านดังกล่าวก็มีน้องๆ พนักงานสาว ขาว หมวย 3 คน เสนอตัวคอยให้บริการและพูดคุยเป็นเพื่อน เจอขาวๆ แบบนี้ 3 หนุ่มไทยที่จากบ้านมาไกลนานหลายชั่วโมง เกรงว่าจะเป็นการเสียน้ำใจกัน จึงได้ตกลงให้น้องๆ มานั่งดื่มเป็นเพื่อนพร้อมขับกล่อมเพลงให้ฟังในห้องคาราโอเกะด้วย

และขณะที่หนุ่มจากแดนสยามทั้ง 3 คน กำลังเคลิบเคลิ้มดื่มด่ำกับบรรยากาศดื่มเหล้าเคล้านารีอยู่นั้น โดยที่ไม่ทันดูว่า บรรดาน้องหมวยกระหน่ำสั่งเครื่องดื่มกว่า 20 แก้วแล้ว จนเวลาประมาณ 4 ทุ่ม ก็ปรากฏมีอาตี๋ร่างยักษ์ 2 คน เข้ามาในห้องเพื่อคิดเงิน หนุ่มไทยทำท่างงๆ เพราะยังไม่ได้เรียกให้เช็คบิลทำไมมาเก็บเร็วจัง กำลังเพลินๆ มึนๆ มาขัดอารมณ์ซะงั้น แต่พอเห็นบิลเรียกเก็บเงินถึงกับหายเมา เหงื่อเริ่มซึมออกมาเล็กน้อยทั้งที่แอร์ในห้องก็เย็นฉ่ำ ขยี้ตาดูหลายครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าดูไม่ผิด เพราะตัวเลขในบิลที่เรียกเก็บ คือ 26,500 หยวน (ประมาณ 124,550 บาท) เจอเข้าไปแบบนี้หนุ่มไทยจึงทำใจดีสู้เสือ บอกอาตี๋ร่างยักษ์ว่ามีเงินสดไม่พอ ใครจะพกเงินสดคราวละมากๆ ขนาดนั้น ยังไงก็ขอให้ลดหย่อนลงมาบ้าง ราคานี้ดูจะเกินจริงไปหน่อย แต่อาตี๋อีก็ไม่ยอมและยังมีท่าทีคุกคาม ขู่ว่าถ้าไม่จ่ายตามนี้ มีปัญหาแน่ เจอแบบนี้ พี่ไทยจึงต้องยอมจ่ายโดยรูดบ้ตรเครดิตไป 26,500 หยวนเป็นค่าบริการ และต้องกลับโรงแรมด้วยความแค้นที่ต้องมาเสียท่าถึงแดนมังกร

รุ่งขึ้น 3 หนุ่ม ตื่นแต่เช้า (อาจเพราะนอนไม่หลับ) แจ้นไปฟ้องสถานกงสุลใหญ่ ณ นครเซี่ยงไฮ้ ขอให้ช่วยเหลือเอาเงินคืนด้วย ท่านกงสุลก็เลยต้องพา 3 หนุ่มไปแจ้งความกับตำรวจจีน ทางตำรวจจีนก็ใจดี พา 3 หนุ่มกลับไปที่ร้านคาราโอเกะเพื่อเคลียร์ปัญหา พอไปถึงเจ้าของร้านเห็นมีตำรวจมาด้วย ก็เลยหน้าถอดสีและยอมรับว่าเรียกเก็บเงินจากหนุ่มไทยเกินราคาไปนิดหน่อย ร้านก็มืดๆ แคชเชียร์อาจกดเครื่องคิดเลขผิดเติมเลขศูนย์เกินไปแค่ตัวสองตัว แต่ไม่มีปัญหา ว่าแล้วก็คืนเงินให้ 3 หนุ่ม 24,000 หยวน (ประมาณ 112,800 บาท ) เรื่องนี้ก็เลยจบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้ง หนุ่มสยามทั้งสามคนกลับเมืองไทยอย่างสบายใจ งานนี้ก็ต้องขอขอบคุณท่านกงสุลไทยที่เซี่ยงไฮ้และคุณตำรวจเมืองเซี่ยงไฮ้ที่ช่วย เคลียร์ ปัญหาให้ ไม่ต้องสูญเงินเป็นแสน

ท่านกงสุลยังฝากบอกด้วยว่า เรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นเสมอ ทั้งในเซี่ยงไฮ้และมณฑลอื่นๆ ของจีน จึงขอให้กระจายข่าว ขยายความกันต่อๆ ไปว่าอย่าหลงเชื่อชาวจีนที่มาเชิญชวนให้ไปเที่ยวหรือไปใช้บริการตามสถานบันเทิงต่างๆ จะได้ไม่ต้องไปเจอปัญหาแบบที่หนุ่มไทยทั้ง 3 ราย ได้ประสบมา

อันที่จริง เมืองไทยเราก็มีแหล่งบันเทิงหรือสถานบริการแบบนี้เยอะแยะ ถ้ารักจะเที่ยวก็ไม่ได้ห้ามกัน แต่เที่ยวในบ้านเราดีกว่า เงินตราไม่รั่วไหล ไม่ต้องไปถูกหลอกไกลถึงเมืองจีน

ด้วยความปราถนาดีจาก : กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
                            กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ
                            : สถานกงสุลใหญ่ ณ นครเซี่ยงไฮ้  

วันอาทิตย์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

คิดให้ดี ไปทำงานเป็นแม่บ้านในตะวันออกกลาง


การเดินทางไปทำงานในตะวันออกกลางของคนไทยโดยเฉพาะสตรีไทยที่ไปทำงานแม่บ้าน หรือคนรับใช้ในบ้านของชาวอาหรับ ชาวตะวันนออกกลางนั้น มีกันมานานแล้ว และที่ผ่านมาการทำงานในตำแหน่งงานนี้จะสร้างปัญหามากกว่าที่จะได้ประโยชน์ เนื่องจากประเทศในตะวันออกกลางจะมีประเพณี วัฒนธรรมที่ต่างจากไทยเรามาก และคนไทยส่วนมากจะปรับตัวไม่ได้ อีกทั้งงานที่ทำก็หนักเนื่องจากชาวตะวันออกกลางจะอยู่เป็นครอบครัวใหญ่ บ้านก็หลังใหญ่ ต้องดูแลรับใช้ทุกคนในครอบครัวและต้องทำงานทุกอย่างซึ่งเป็นภาระที่หนัก เงินเดือนที่ได้รับก็ไม่มาก และที่สำคัญ เนื่องจากเป็นงานที่ทำกับนายจ้างแบบตัวบุึึคคล ไม่ใช่ในรูปแบบของบริษัท ดังนั้น สวัสดิการ สิทธิตามกฎหมายหรือผลประโยชน์พึงได้ต่างๆ รวมทั้งขั่วโมงทำงานที่ไม่แน่นอน ก็เป็นสิ่งยากจะควบคุมดูแลให้เป็นไปตามสัญญา คนงานไทยจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบมาตลอด และการตรวจสอบนายจ้างก็เป็นเรื่องยากมาก

เรื่องนี้ นายธาตรี เชาวชตา กงสุลไทยประจำประเทศบาห์เรน ให้ข้อมูลเพิ้มเติมว่า กระทรวงแรงงานของไทยตระหนักเป็นอย่างดีถึงปัญหาการไปทำงานเป็นแม่บ้าน/คนรับใช้ในบ้านในประเทศตะวันนออกกลาง จึงมีนโยบายไม่สนับสนุนให้คนไทยไปทำงานเป็นแม่บ้าน/คนรับใช้ในบ้านในประเทศตะวันออกกลางมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2528 นอกจากจะไปทำงานในบ้านหรือกินการของคนไทยด้วยกัน

ใครที่จะไปทำงานในตะวันออกกลางก็ขอให้คิดให้ดีก่อน ตรวจสอบข้อมูลได้จากกระทรวงแรงงาน หรือสอบถามจากสถานทูต/สถานกงสุลไทยที่อยู่ในประเทศที่ท่านคิดจะไปทำงานก็ได้ จะได้ไม่ต้องไปตกทุกข์ได้ยาก ทำงานลำบาก ได้เงินน้อยกว่าอยู่บ้านเราซะอีก งานบางอย่างในต่างประเทศนั้น ขอบอกว่า อย่าไปทำเลย ทำงานอยู่บ้านเรายังได้เงินมากกว่า ไม่ต้องเป็นหนี้ และไม่ต้องถูกใครบังคับกดขี่ให้ช้ำใจ

ที่มา : กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
         กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ
       : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมานามา
 

วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

เอ เอฟ เอส ไทย ก้าวไกลไปโคลอมเบีย




ประเทศโคลอมเบีย ตั้งอยู่ในทวีปอเมริกาใต้ ห่างไกลกับเมืองไทยชนิดที่เรียกว่าอยู่กันคนละฝั่งโลก แต่แม้จะอยู่ไกลถึงเพียงนั้น ก็ยังมีคนไทยอยู่อาศัย
เมื่อ 6-11 พ.ค. ที่ผ่านมา สถานเอกอัครราชทูต  ณ กรุงลิมา ซึ่งมีเขตอาณาดูแลประเทศโคลอมเบียด้วย ได้จัดกงสุลสัญจร เดินทางไปเยี่ยมเยือนคนไทยที่ประเทศโคลอมเบีย ซึ่งมีคนไทยอาศัยอยู่ประมาณสิบกว่าคน ส่วนใหญ่เป็นหญิงไทยที่แต่งงานกับชาวโคลอมเบีย และที่น่าสนใจคือ ขณะนี้ มีน้องๆ เยาวชนไทย 4 คน เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนตามโครงการ AFS กำลังศึกษาอยู่ที่นั่นด้วย

เยาวชนไทยทั้ง 4 คน นับว่าเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน AFS รุ่นที่สองแล้ว ทั้งหมดเป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยม อายุระหว่าง 15-17 ปี เข้ามาศึกษาและพำนักอาศัยอยู่กับครอบครัวชาวโคลอมเบียเป็นเวลา 1 ปีการศึกษา (หรือประมาณ 10-11 เดือน) ผู้บริหารโครงการชาวโคลอมเบียกล่าวชมเชยเยาวชนไทยว่าเป็นผู้มีความประพฤติสุภาพเรียบร้อย เป็นที่ชื่นชมของผู้ปกครองและเพื่อนๆ ชาวโคลอมเบีย ในช่วงแรกเด็กเหล่านี้ยังคิดถึงบ้านบ้างแต่ทางโครงการและครอบครัวอุปถัมภ์ก็เปิดโอกาสให้เด็กติดต่อกับทางบ้านที่เมืองไทยทางโทรศัพท์ได้ ซึ่งระยะต่อมาเด็กไทยเหล่านี้ก็สามารถปรับตัวได้ดี ไม่มีปัญหาใดๆ ทางโครงการ AFS จะคอยติดตามความคืบหน้าและดูแลเรื่องความเป็นอยู่ของเด็กเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอ มีการทประกันสุขภาพให้ โครงการ AFS โคลอมเบียยังได้ทำบัตรเครดิตมอบให้ครอบครัวอุปถัมภ์ทุกครอบครัวไว้ใช้กรณีฉุกเฉิน

ต้องขอชมเชยและชื่นชมน้องๆ เยาวชนทุกคนที่ประพฤติตนได้เหมาะสม ไม่สร้างปัญหา ไม่เป็นภาระ แก่ทุกฝ่าย นับว่าน้องๆ เหล่านี้มีส่วนสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของคนไทย เป็นตัวแทนของประเทศไทยที่ทำให้ชาวโคลอมเบียได้รู้จักเมืองไทยดีขึ้นเพื่อที่ว่าในโอกาสข้างหน้า ไทย-โคลอมเบีย จะได้มีความสัมพันธ์ด้านต่างๆ มากขึ้น และน้องๆ ที่มีโอกาสได้มาศึกษาหาประสบการณ์ที่ดคลอมเบียจะได้เป็นกำลังสำคัญของไทยที่จะสานสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศต่อไป  

ที่มา : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงลิมา

วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

คนไทย "หวิด" โดนรีดไถที่สนามบินไนโรบี



จากที่ได้เคยรายงานเรื่องราวเกี่ยวกับการประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่สนามบินในประเทศแถบแอฟริกามาหลายครั้ง คราวนี้ ที่สนามบินกรุงไนโรบี ของเคนยา คนไทยจากจันทบุรี 4 คน ก็เกือบโดนเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองรีดไถอีกแล้ว
ชาวเมืองจันท์ทั้ง 4 คน เดินทางออกมาจากประเทศโมแซมบิกเพื่อต่อเที่ยวบิน ระหว่างรอเพื่อยืนยันที่นั่งกับทางสายการบิน มีเจ้าหน้าที่ ตม. ของสนามบินมาขอตรวจเอกสารเดินทางและทรัพย์สินส่วนตัว ซึ่งมีทั้งเจ้าหน้าที่ในและนอกเครื่องแบบ และยังหมุนเวียนกันมา 5-6 ครั้งๆ ละ 2-3 คน ซึ่งคนไทยเราก็ให้ความร่วมมือในการตรวจค้นแต่โดยดี จนครั้งสุดท้าย คราวนี้มากันเป็นสิบคน มาขอตรวจค้นอีกและอ้างว่ามีปัญหาบางอย่างขอเชิญตัวไปที่ห้องทำงานที่อาคารผู้โดยสารขาออกเพื่อทำการสอบสวนและไม่ยอมให้ทั้งหมดเดินทางออกจากสนามบิน แต่คราวนี้ คนไทยไหวตัวทันและรู้ตัวว่าจะต้องโดนรีดไถแน่นอน จึงได้โทรศัพท์ติดต่อขอความช่วยเหลือไปยังสถานทูต

พอเจ้าหน้าที่กงสุลเดินทางมาถึงสนามบินก็ได้เข้าไปพบกับหัวหน้าเจ้าหน้าที่ ตม. และสอบถามถึงสาเหตุที่คนไทยถูกตรวจค้นและสอบสวนและยังไม่อนุญาตให้ออกจากสนามบิน เจ้้าหน้าที่กลับบอกว่า ไม่มีปัญหาอะไรและก็ได้อนุญาตให้คนไทยทั้งหมดออกจากสนามบินแล้ว

กงสุลจึงได้พาคนไทยทั้งหมดเดินทางออกจากสนามบินเข้ามาพักในเมืองและประสานการยืนยันเที่ยวบินเพื่อให้เดินทางต่อไปซึ่งคนไทยทุกคนก็ได้เดินทางออกจากเคนยา ถึงจุดหมายปลายทางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เรียกว่า เกือบไป สำหรับคนไทยกลุ่มนี้ นับว่าโชคยังดี ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความเฉลียวใจของคนไทยเองทีเห็นท่าไม่ดีจึงได้โทรศัพท์แจ้งสถานทูต และยังเป็นโชคดีอีกประการหนึ่งที่คนไทยกลุ่มนี้เดินทางผ่านไป-มา แถบประเทศแอฟริกาบ่อยครั้งจึงทราบปัญหาเรื่องพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเป็นอย่างดี ทางสถานทูตไทย ยังได้ฝากเตือนคนไทยที่จะเดินทางผ่านสนามบินไนโรบี ประเทศเคนยา ให้ระมัดระวังอาจถูกรีดไถเอาได้ อย่านำสิ่งของต้องห้ามหรือผิดกฎหมายติดตัว และต้องมีเอกสารเดินทางที่ครบถ้วนถูกต้อง จะได้ไม่เป็นช่องทางให้มีการรีดไถขึ้น แต่หากเกิดปัญหาใดๆ ก็ตาม รีบโทรศัพท์หาสถานทูตได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง ที่หมายเลข  + 254 (0) 72-1470877

และอย่าลืมนะครับ เดินทางไปต่างประเทศ หาหมายเลขโทรศัพท์ของสถานทูต/สถานกงสุล ติดตัวไปด้วยทุกครั้ง หากมีปัญหายุ่งยากใดๆ เกิดขึ้นจนท่านแก้ไขเองไม่ได้ สถานทูต/สถานกงสุล ทุกแห่งยินดีอย่างยิ่งที่จะช่วยเหลือหรือให้คำแนะนำท่านได้

ด้วยความปรารถนาดีจาก : กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
                             กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ
                          : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงไนโรบี

ยังโดนอยู่เรื่อยๆ แรงงานไทยถูกหลอกในมาเลเเซีย



สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ แจ้งเข้ามาว่า มีคนไทย 5 คน ถูกเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของรัฐซาราวัค ประเทศมาเลเซีย ควบคุมตัวไปกักกันไว้ที่ศูนย์ส่งกลับ เพื่อทำการสอบสวนตามกฎหมาย

คนไทยทั้ง 5 คน เป็นแรงงานจากจังหวัดสุรินทร์ ได้รับการชักชวนจากพระสงฆ์ไทยรูปหนึ่งที่จำพรรษาอยู่ที่วัดสาไท เมือง Kuching รัฐซาราวัค ให้ไปทำงานกับบริษัท Huihuan Co (1997) sdn.Bhd. เมือง Kuching โดยจะมีรายได้ประมาณเดือนละ 12,000-15,000 บาท นายจ้างจัดหาที่พักและอาหารให้ด้วย ทั้งหมดจึงไปกู้ยืมเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปทำงานคนละประมาณ 100,000-150,000 บาท

แต่เมื่อเดินทางมาถึงมาเลเซียเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2555 ปรากฏว่าได้รับค่าจ้างเพียง 25 ริงกิตต่อวัน (ประมาณ 250 บาท) มีที่พักให้ในโรงงานที่ทำเกี่ยวกับเชื่อมโลหะ ทำงานวันละ 10 ชั่วโมง ไม่มีค่าล่วงเวลา และนายจ้างไม่ได้ดำเนินการใดๆ เพื่อขออนุญาตทำงานให้เลย จึงต้องอยู่ในมาเลเซียอย่างผิดกฎหมาย และเมื่อคนงานจะขอหนังสือเดินทางคืนเพื่อกลับประเทศไทย นายจ้างก็ไม่ยอมคืนให้และยังเรียกเงินจากคนงานอีกคนละ 50,000 บาท อ้างว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่นายจ้างได้จ่ายไปในการขออนุญาตทำงานและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ได้จ่ายไปแล้ว (แรงงานเหล่านี้ไม่ได้ทำสัญญาจ้างงานอย่างถูกต้อง)

งานนี้ บอกได้เลยว่า แรงงาน 5 คนนี้ ต้องถูก ตม. มาเลเซียเอาผิดตามกฎหมายเข้าเมืองแน่นอน เพราะพำนักอยู่ในมาเลเซียเกินกำหนดและทำงานโดยไม่มีใบอนุญาต ที่ผ่านมาเคยมีคนที่ถูกลงโทษในกรณีคล้ายคลึงกันนี้มาแล้ว ซึ่งก็ถูกปรับกันไปคนละไม่เกิน 1,000 ริงกิต (ประมาณ 10,000 บาท) หรือจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือทั้งจำทั้งปรับ และยังไม่หนำใจ มาเลเซียมีโทษโบยและเคยมีแรงงานไทยถูกลงโทษโดยการโบย 2-4 ที มาแล้ว

ก็ต้องลุ้นกันต่อไปว่า แรงงานจากสุรินทรฺ์ทั้ง 5 คนนี้จะถูกลงโทษมากน้อยเพียงใด และจะถูกโบยด้วยหรือไม่ เรื่องนี้ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่คนไทยต้องมารับเคราะห์กรรมเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เชื่อคนง่าย และขาดความรู้ความเข้าใจในการเดินทางไปทำงานในต่างประเทศ ซึ่งพอเกิดปัญหาขึ้น จะเห็นได้ว่า ไม่มีใครช่วยอะไรได้เลย ยังไงก็ต้องถูกลงโทษตามกฎหมาย สถานทูต ทำได้อย่างมากก็เพียงช่วยประสานงานกับญาติที่เมืองไทย และช่วยอำนวยความสะดวกในการส่งตัวกลับประเทศไทยให้เท่านั้น หนี้สินที่เกิดขึ้น ค่าปรับที่ต้องจ่าย ประวัติที่เสื่อมเสียเพราะกลายเป็นคนถูกเนรเทศ และรอยแผลที่ถูกโบย ต้องตกเป็นภาระและตราบาปของตัวแรงงานเอง รวมถึงญาติพี่น้องหรือครอบครัวที่ต้องร่วมรับผิดชอบด้วย

อันที่จริงวิธีการป้องกันไม่ให้เกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้นก็ไม่มีอะไรยากเลย
1. ร้อยทั้งร้อยของคนไทยที่เดินทางไปทำงานต่างประเทศแล้วต้องประสบปัญหาและเคราะห์กรรมแบบนี้  เป็นเพราะมีผู้อื่นมาชักชวน เพราะฉะนั้น เลิกเชื่อคนง่าย แม้ว่าคนผู้นั้นจะเป็นเพื่อน เป็นญาติ (ยิ่งกรณีนี้ขนาดเป็นพระยังเชื่อไม่ได้) เพราะคนเหล่านี้ แม้อาจไม่มีเจตนาจะมาหลอกลวงเราก็ตาม แต่เขาเองก็อาจไม่ได้รู้ข้อมูลอย่างถ่องแท้ อาจฟังตามๆ กันมาอีกที ไม่รู้รายละเอียดอะไรมาก ขอให้ตรวจสอบข้อมูลต่างๆ ให้ดีก่อน ทั้งตำแหน่งงานว่ามีจริงหรือไม่ นายจ้างน่าเชื่อถือหรือไม่ ประเทศที่จะเดินทางไปทำงานมีหลักเกณฑ์ มีกฎหมายอะไรเกี่ยวกับการทำงานของคนต่างชาติบ้าง เพราะบางประเทศก็ไม่ได้เปิดรับคนต่างชาติเข้าไปทำงานง่ายๆ  ฯลฯ
2. การไปทำงานในต่างประเทศ "ต้องมีสัญญาจ้างงาน" ที่ผ่านการรับรองจากกระทรวงแรงงานหรือกระทรวงการต่างประเทศของไทยก่อนทุกกรณี อันนี้กฎหมายกำหนดเอาไว้เพื่อคุ้มครองคนหางานให้ได้รับความเป็นธรรมในการเดินทางไปทำงานในต่างประเทศ การที่ท่านไปทำงานโดยไม่มีสัญญาจ้างงาน (อย่างเช่นกรณีชาวสุรินทร์ 5 คนนี้ ) ท่านก็จะไม่ได้รับความคุ้มครองอะไรเลย และจะต้องกลายเป็นผู้ที่เดินทางเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย หรือกลายเป็นผู้ลักลอบทำงานอย่างผิดกฎหมาย และขอเน้นตรงนี้ว่า "ท่านไม่มีทางรอดจากเงื้อมือของกฎหมาย" ท่านอาจจะทำงานหาเงินได้สักระยะเวลาหนึ่ง แต่ไม่ช้าก็เร็วท่านต้องถูกจับกุมและถูกลงโทษแน่นอน การมีสัญญาจ้างงานที่ถูกต้อง อย่างน้อยจะเป็นเกราะป้องกันไว้ชั้นหนึ่ง หากเกิดปัญหาขึ้นยังพอจะเรียกร้องตามเงื่อนไขสัญญาจ้างได้บ้าง และยังมีการชดเชยเยียวยาได้ในบางกรณี ซึ่งก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย

ก็ขอให้คนไทยช่วยกันภาวนาเอาใจช่วยคนไทย 5 คน ที่กำลังรอรับการตัดสินโทษอยู่ที่มาเลเซีย อย่าให้ถูกลงโทษหนักและได้กลับบ้านเร็วๆ

ด้วยความปราถนาดีจาก : กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
                             กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ
                           : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์

 

 

วันอังคารที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

อีกแล้ว หญิงไทยถูกจับที่เวียดนามข้อหาขนยาเสพติด

 

เตือนกันอีกซ้ำ ย้ำกันอีกหน สำหรับเรื่องราวของการลักลอบขนยานรกที่ยังคงมีอยู่อย่างไม่ขาดสาย และยังมีคนไทยโดยเฉพาะผู้หญิงต้องถูกจับกุมคุมขัง บางรายถึงกับถูกตัดสินประหารชีวิตก็มี

ขบวนการค้ายาเสพติดมีการลักลอบดำเนินการเป็นขบวนการใหญ่ โยงใยไปหลายประเทศ บ่อยครั้งที่มีการล่อลวงคนไทยเป็นตัวกลางในการลักลอบนำยาเสพติดมาส่งมอบหรือส่งต่อไปยังประเทศที่สาม ล่าสุดที่ประเทศเวียดนาม มีคนไทยถูกจับกุมในข้อหาลักลอบขนยาเสพติดแล้ว 3 ราย ซึ่งกำลังถูกพิจารณาโทษตามกฎหมายที่เข้มงวดและมีบทลงโทษรุนแรง ในบางประเทศ เช่น จีน บทลงโทษสูงสุดในข้อหาเกี่ยวกับยาเสพติด คือประหารชีวิตซึ่งก็มีคนไทยถูกศาลจีนตัดสินประหารชีวิตไปแล้วหลายราย

คนไทยที่ถูกจับกุมในคดีลักลอบขนยาเสพติดมักจะให้การว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ เพียงแต่ถูกล่อลวงให้นำกระเป๋าหรือสัมภาระที่ไม่ทราบมาก่อนว่ามียาเสพติดอยู่นำไปส่งให้ยังประเทศต่างๆ ข้ออ้่างแบบนี้ขอบอกเลยว่าศาลต่างประเทศไม่รับฟัง ทุกรายที่ถูกจับกุมที่ถูกลงโทษอย่างหนักทั้งสิ้น ที่น่าเวทนาก็เห็นจะเป็นข้อที่ว่า คนไทยซึ่งส่วนใหญ่เป็นสตรีที่ถูกจับกุมเป็นเหยื่อของขบวนการลักลอบขนยาเสพติดจริงและถูกหลอกให้ขนยาเสพติดโดยที่ตัวเองไม่รู้มาก่อนจริง แถมยังเคยมีสัมพันธ์กับพวกแก๊งยานรกจนตั้งครรถ์และต้องอุ้มท้องไปคลอดลูกในเรื่อนจำก็มีอยู่หลายราย

งานนี้ก็ต้องขอเตือนพี่น้องคนไทยด้วยความเป็นห่วงว่าให้อยู่ให้ห่างใกลจากยาเสพติด อย่าได้เข้าไปข้องเกี่ยวใดๆ ทั้งสิ้น อีกอย่างหนึ่ง พวกคนต่างชาติที่เข้ามาตีสนิทหรือชักชวนไปทำงานหรือไหว้วานให้เราขนของให้ อย่าได้ไปเชื่ออย่าไปทำเด็ดขาด ให้คิดไว้เสมอว่า ไม่มีคนดีๆ ที่มีจิตใจสุจริตที่ไหนที่จู่ๆ จะเข้ามาหาเรา มาพูดจาหวานๆ ตีสนิทแล้วขอให้เราทำงานให้ คนชั่วเท่านั้นที่ทำอย่างนั้น คนพวกนี้จะนำพาเอาความหายนะในชีวิตมาสู่ท่านได้หากขาดสติและเชื่อคนง่าย


ด้วยความปรารถนาดีจาก : กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
                             กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ    


แก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ในมาเลเซียอาละวาดหนัก ตุ๋นหญิงไทยสูญเงินนับล้าน


นายสมพงษ์ กางทอง กงสุลคนขยันประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย รายงานเกี่ยวกับแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ที่มีฐานอยู่ที่ประเทศมาเลเซีย กำลังอาละวาดฉ้อโกง หลอกลวงคนต่างชาติ โดยเฉพาะผู้หญิงไทยให้โอนเงินไปให้ ซึ่งไม่น่าเชื่อว่ามีผู้หญิงไทยหลายสิบรายถูกหลอกต้องสูญเงินให้กับแก๊งค์อุบาทรวมกันหลายล้านบาท

วิธีการต้มตุ๋นของแก๊งค์นี้จะใช้อินเตอร์เน็ตหรือ Social Network เป็นสื่อ โดยเฉพาะ Facebook และอีเมล์ อ้างตัวว่าเป็นชาวอังกฤษ (ที่จริงเป็นพวกแอฟริกันผิวดำ) หลังจากติดต่อได้แล้วจะขอเบอร์โทรศัพท์และโทรมาพูดคุย แรกๆ ก็คุยเรื่องทั่วไปจนเหยื่อตายใจ จากนั้นจะทำเป็นบอกว่าจะส่งของมีค่ามาให้แต่ภายหลังบอกว่าถูกศุลกากรมาเลเซียกักไว้ ขอให้ส่งเงินไปชำระค่าธรรมเนียมในการเคลียร์ของ โดยให้โอนครั้งละ 1-2 พันเหรียญ และจะบอกว่าไม่พอต้องจ่ายเพิ่มไปเรื่อยๆ ระหว่างนี้ แก๊งค์นี้จะโทรเข้ามาหาเหยื่อและพูดคุยอย่างดีและสุภาพ คะยั้นคะยอว่าเสียดายของที่ส่งมาให้เนื่องจากมีมูลค่าสูงถึงประมาณ 2-3 แสนบาท ทำให้เหยื่อใจอ่อนโอนไปให้ 2-3 ครั้ง บางรายสูญเงินไปกว่า 5 แสนบาท มีหญิงไทยถูกหลอกในลักษณะนี้กว่า 20 ราย




กงสุลสมพงษ์ฯ บอกด้วยว่า มีเหยื่อบางรายถูกแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ขอเป็นเพื่อนทาง Facebook มีโปรไฟล์ เป็นนักธุรกิจชาวอังกฤษ ดูน่าเชื่อถือ เมื่อรู้จักกันไประยะหนึ่งก็จะอ้างว่าไปติดต่อทำธุรกิจการค้ากับบริษัทปิโตรนาสของมาเลเซีย แต่มีปัญหาเคลียร์เช็คไม่ผ่านจึงขอยืมเงิน รายนี้สูญไปกว่า 1 แสนบาท

แก๊งค์ต้มตุ๋นพวกนี้มีบุคคลิกลักษณะที่น่าเชื่อถือ กงสุลสมพงษ์ฯ เล่าว่า เคยมีหญิงชาวหาดใหญ่รายหนึ่งโทรศัพท์หาท่านทูตกลางดึกขอให้ช่วยติดตามหาหนุ่มชาวอังกฤษที่รู้จักกันทางอินเตอร์เน็ตจนวางแผนจะแต่งงานกัน ฝ่ายชายเคยเดินทางมาหาถึงหาดใหญ่ครั้งหนึ่ง พอกลับไปมาเลเซียก็ติดต่อมาชักชวนให้ไปลงทุนทำธุรกิจและขอให้โอนเงินไปเข้าบัญชีเพื่อจดทะเบียนบริษัทก่อน รายนี้ โดนไปร่วม 8 แสนบาท หนุ่มอังกฤษเก๊รายนี้ก็หายเข้ากลีบเมฆตามตัวไม่ได้ และที่น่าเวทนาเป็นที่สุดก็คือ กงสุลได้แจ้งแก่หญิงไทยรายนี้ว่าถูกหลอกแล้ว เธอก็ยังไม่เชื่อเพราะชายอังกฤษปลอมคนนี้ดูน่าเชื่อถือ

กงสุลสมพงษ์ฯ เล่าให้ฟังต่อว่า แก๊งค์อุบาทยังมีกลโกงต่างๆ มากมาย บางทีก็อ้างกับเหยื่อว่าได้รับมรดกหรือเงินปันผล/กำไรจากกองทุน และขอยืมบัญชีเพื่อโอนเงินผ่าน เช่นสาวใหญ่วัย 41 ปีรายหนึ่ง รู้จักกับหญิงสาวที่อ้างว่าเป็นชาวอังกฤษ (อีกแล้ว) ทางอินเตอร์เน็ต ติดต่อกันไปได้ระยะหนึ่งเธอขอเรียกเหยื่อว่าแม่และชมเชยว่าเป็นคนใจดีน่ารัก ยังมีการส่งภาพพร้อมสำเนาหนังสือเดินทางให้ดูด้วย จากนั้น อ้างว่าได้รับเงินบำนาญจากพ่อจำนวน 450,000 ปอนด์อังกฤษ อยากจะนำเงินมาลงทุนที่เมืองไทย ขอยืมบัญชีของเหยื่อเพื่อโอนเงินเข้าบัญชี แต่ธนาคารต้องการมีผู้ยืนยันมีญาติเป็นคนไทยจริงจึงจะโอนให้ได้ และต้องชำระค่าธรรมเนียมก่อน เธอยังให้หมายเลขดทรศัพท์ของธนาคารให้เหยื่อสอบถามสร้างความน่าเชื่อถือ ในที่สุดเหยื่อรายนี้ก็หลงกลโอนเงินไป 2,500 ดอลลาร์สหรัฐ

เหยื่อบางรายเสียหายหนัก สูญเงินรวมเป็นล้านบาท เช่นสาวจังหวัดสุรินทร์รายหนึ่งที่ทำงานอยู่ในเสริมสวยแห่งหนึ่งในจังหวัดชลบุรี ต้องสูญเงินกว่า 3 ล้านบาทให้กับแก๊งค์พวกนี้ กรณีนี้โดนหลอกว่าเป็นอดีตตำรวจอังกฤษ ไปลงทุนในตลาดหลักทรัพย์อยู่ในมาเลเซียและได้รับเงินปันผลประมาณ 30 กว่าล้านบาท พร้อมทั้งส่งเอกสารต่างๆ มาให้ดูด้วย มีทั้งหนังสือรับรองจากทางการมาเลเซียและสำเนาเช็ค เหยื่อเคยเดินทางไปพบถึงที่มาเลเซียแต่พอไปถึงฝ่ายชายอ้างว่าธุระสำคัญจึงให้เพื่อนชาวแอฟริกันมาช่วยดูแลแทน สร้างความน่าเชื่อถือทุกอย่างจนเหยื่อหลงตายใจโอนเงินให้ครั้งละ 1-2 แสนบาท จนหมดตัวต้องเอาที่ดินไปจำนอง สรุปว่าโอนไปทั้งสิ้น 3.2 ล้านบาท งานนี้ พี่ชายของเหยื่อโกรธมากพาเหยื่อมาขอความช่วยเหลือถึงที่สถานทูต พอพบว่าน้องสาวของตนถูกหลอกสูญเงินไปกว่า 3 ล้านก็ลมแทบจับ จะทำร้ายร่างกายน้องสาวต่อหน้าท่านกงสุล ต้องห้ามปรามกันพัลวัลและขอให้ใจเย็นๆ และแนะนำให้ไปแจ้งความกับตำรวจมาเลเซีย แต่ก็ไม่มีอะไรคืบหน้าเนื่องจากกฎหมายมาเลเซียถือว่าเป็นการยินยอมของเหยื่อเอง ไม่มีการบังคับขู่เข็ญแต่อย่างใด และคงเป็นเพราะเป็นเรื่องระหว่างคนต่างชาติจึงไม่ค่อยจะให้ความสนในมากนัก

นอกจากวิธีที่กล่าวมาแล้ว แก๊งค์ต้มตุ๋นนี้ยังมีอีกสารพัดกลยุทธ์ในการหลอกเอาเงินจากเหยื่อที่หัวอ่อน เชื่อคนง่าย เหยื่อบางรายยอมรับเองว่าที่ต้องถูกหลอกและสูญเงินไปมากมายเป็นเพราะตัวเองโง่เองและโลภอยากได้ของคนอื่น ท่านกงสุลฝากเตือนพี่น้องคนไทยว่า "หากไม่มีความโลภ มีสติตั้งมั่น เตือนตนคงไม่โดนหลอกแน่นอน" และยังแสดงความกังวลถึงการที่หญิงไทยมีค่านิยมในการแต่งงานกับชาวต่างชาติ บางรายเป็นเอามากทำให้ขาดวิจารณญาณในการเลือกคบคน หญิงไทยบางคนรับ add ทุกคนที่ขอเป็นเพื่อนโดยไม่รู้จักมาก่อนและไม่มีการตรวจสอบ บางรายมีการโพสต์ข้อความชักชวนชาวต่างชาติไปเที่ยวบ้านเกิดของตน นี่ก็เป็นโทษของการใช้เครือข่ายสังคม (Social Network) มากเกินไปและใช้แบบไร้สติ ขาดวิจารณญาณ

เรื่องแบบนี้ ไม่มีใครช่วยท่านได้ อุปมาเหมือนอ้อยเข้าปากช้าง แทบจะไม่เห็นทางเรียกคืน ต่อให้จับกุมดำเนินคดีกับแก๊งค์พวกนี้ได้ก็ใช่ว่าจะได้เงินคืน ใครที่หลวมตัวหลงเชื่อตกเป็นเหยื่อก็ต้องขอแสดงความเสียใจไว้ ณ ที่นี้

ด้วยความปราถนาดีจาก : สมพงษ์ กางทอง อัครราชทูตที่ปรึกษา
                              สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์
                        : กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
                                  กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ