วันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เลือกตั้งกัมพูชา...ข้อควรรู้สำหรับคนไทย

วันอาทิตย์ที่  ๒๘  กรกฏาคม  ๒๕๕๖  ทั่วประเทศกัมพูชาจะมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
จำนวน  ๑๒๓ คน  นี่เป็นการเลือกตั้งครั้งสำคัญที่สุดของประเทศ  หลังจากระยะเวลา ๕ ปีที่รัฐสภาปฏิบัติหน้าที่ครบวาระ  แม้ว่ากัมพูชาจะมีประชากรน้อยกว่าไทยมาก  แต่สิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยของชาวกัมพูชากว่า  ๘  ล้านคนก็ต้องถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในห้วงเวลานี้
การเลือกตั้งของกัมพูชามีรายละเอียดแตกต่างจากประเทศไทยอยู่บ้างคือว่า  ในช่วงหนึ่งเดือนก่อน
วันลงคะแนนเสียง  รัฐบาลกัมพูชาจะประกาศให้เป็นช่วงโหมโรงโฆษณาหาเสียงกันอย่างเต็มที่ มีการปิดถนนแห่ขบวนของพรรคการเมืองต่างๆ  ทั้งรถยนต์  จักรยานยนต์  รถอีแต๋นชาวนา  รวมทั้งคาราวานประชาชนที่สนับสนุนผู้สมัคร ส.ส.อย่างคึกครื้น  เป็นขบวนยาวเหยียดบนท้องถนนจนรถราแทบสัญจรไม่ได้ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะออกมาปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยด้วยความเข้มงวดเป็นพิเศษ
เรื่องราวข้างต้นไม่มีประเด็นอะไรจะเตือนภัย  เพียงแต่อยากประชาสัมพันธ์เป็นข้อมูลเพื่อทราบ
สำหรับพี่น้องชาวไทยที่จะเดินทางไปท่องเที่ยวหรือทำธุระในประเทศกัมพูชา  จะได้ไม่ต้องแปลกใจหรือหงุดหงิดกับกิจกรรมทางการเมืองของเขาในช่วงนี้อย่างน้อยก็ควรเผื่อเวลาสำหรับการเดินทางไว้บ้างก็ดี...

                                                                                ...................................................


วันพฤหัสบดีที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2556

อุทกภัยที่แคนาดา...คนไทยปลอดภัย

           

เมื่อเร็วๆ นี้จากเหตุการณ์ภัยพิบัติน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่เมืองคัลการี่ มณฑลอัลเบอร์ต้า ประเทศแคนาดา ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซที่สำคัญของประเทศสถานกงสุลใหญ่ ณ นครแวนคูเวอร์ ได้ติดตามสถานการณ์และสอบถามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิดและได้ออกเยี่ยมชาวไทยที่อาศัยอยู่ในละแวกดังกล่าวด้วย สถานการณ์ข้างต้นค่อนข้างรุนแรงเพราะมีประกาศให้อพยพเพื่อการปฏิบัติงานกู้ภัย มีเหตุไฟฟ้าดับทั้งเมือง ถนนหนทางไม่สามารถใช้งานได้ รวมถึงระบบสาธารณูปโภคเสียหาย
            จากการตรวจสอบพบว่าบริษัทการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) และธุรกิจร้านอาหารไทยได้รับผลกระทบบ้างเล็กน้อยน้ำท่วมอาคาร ปตท. ชั้นล่าง แต่ภายในไม่ได้รับความเสียหาย พนักงานได้อพยพออกจากพื้นที่ จึงต้องปิดทำการชั่วคราว เพื่อประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้น
เจ้าหน้าที่ของสถานกงสุลใหญ่ พยายามติดต่อประสานงานกับเครือข่ายชุมชนไทยเป็นระยะอย่างสม่ำเสมอ  เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับเหตุฉุกเฉินต่าง ๆ ที่อาจกระทบต่อสวัสดิภาพของคนไทย  แม้ว่ากรณีนี้จะไม่มีใครเสียชีวิต หรือประสบความสูญเสียอย่างรุนแรง แต่นี่ถือเป็นหน้าที่ของสถานกงสุลใหญ่ที่ต้องออกไปดูแลเมื่อคนไทยประสบความเดือดร้อนในต่างบ้านต่างเมือง  
           

****************
สถานกงสุญใหญ่ ณ นครแวนคูเวอร์
กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
กรมการกงสุล
กระทรวงการต่างประเทศ
123 ถ.แจ้งวัฒนะ ทุ่งสองห้อง หลักสี่ กทม 10210
โทร. 0 2575 1047-51
โทรสาร  0 2575 1052
27 มิถุนายน 2556

จำคุกตลอดชีวิต ...สาวไทยขนยาไปเขมร

สถานทูตไทยที่กรุงพนมเปญรายงานข่าวร้อนมาอีกแล้วว่า เมื่อปลายเดือนมิถุนายน ที่ผ่านมาศาลชั้นต้นกรุงพนมเปญ ได้พิพากษาลงโทษจำคุกตลอดชีวิตหญิงไทยจำนวน  ๔  รายในข้อหายาเสพติด  สตรีทั้งสี่รายอยู่ในวัยสาวเต็มตัว  อายุแค่  ๒๐ - ๓๐ ปี ชีวิตและอนาคตยังอยู่อีกยาวไกล  แต่กลับมาพลาดพลั้งทำผิดอย่างมหันต์จากการลักลอบขนยาเสพติดนับสิบกิโลกรัมจนท้ายที่สุดต้องรับเคราะห์กรรมในคุกอย่างน่าเวทนา
                                ในช่วงกลางปี ๒๕๕๕  การจับกุมหญิงไทยของเจ้าหน้าที่ตำรวจกัมพูชาข้างต้นเป็นข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นหลายฉบับ   ทุกคนถูกจับในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันและมีพฤติกรรมความผิดที่เกี่ยวโยงเป็นกระบวนการ คนหนึ่งถูกมอบหมายให้ไปรับโคเคนมาจากทวีปอเมริกาใต้แล้วเดินทางผ่านประเทศต่างๆ มาจนถึงกัมพูชา อีกคนทำทีเป็นนักท่องเที่ยวไม่ต้องทำอะไรมาก แค่เปิดโรงแรมนอนเพื่อรอรับยาเสพติด  และอีกทีมหนึ่งเป็นชุดปฏิบัติการขั้นสุดท้ายคือขนยาข้ามชายแดนทางบกมายังประเทศไทย 
เครือข่ายอาชญากรพวกนี้จะใช้วิธีการทุกรูปแบบเพื่อให้สามารถลักลอบขนยานรกเข้ามาในประเทศไทยได้หัวหน้าแกงค์ล้วนแต่เป็นชายผิวดำจากกลุ่มประเทศแอฟริกันตะวันตก  พวกนี้จะเที่ยวหาผู้หญิงตามสถานบันเทิง สถานบริการต่างๆ มาเข้าร่วมขบวนการ  ไม่ว่าด้วยวิธีว่าจ้าง  ล่อลวง หรือตีสนิทชิดเชื้อจนตายใจ หลังจากนั้นปฏิบัติการขนยานรกก็จะเริ่มขึ้นอย่างซับซ้อนและแยบยลจนยากที่ใครจะรู้เท่าทันเรื่องอย่างนี้หญิงไทยต้องระมัดระวังตัวอย่าตกเป็นเหยื่อเด็ดขาด  เพราะโทษทัณฑ์เกี่ยวกับยาเสพติดของต่างประเทศรุนแรงและเอาจริงเอาจังมาก   ทำให้หมดสิ้นอนาคต  เสียประวัติ และที่สำคัญยาเสพติดเป็นปัญหาที่กำลังบ่อนทำลายสังคมไทยอีกด้วย

สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ

กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ

กรมการกงสุล
กระทรวงการต่างประเทศ
123 ถ.แจ้งวัฒนะ ทุ่งสองห้อง หลักสี่ กทม 10210
โทร. 0 2575 1047-51
โทรสาร  0 2575 1052

วันจันทร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2556

สุโขทัยอบรมขายแรงต่างแดนแฉเล่ห์แก๊งตุ๋น-ถูกเบี้ยวค่าจ้าง

ในปีที่ผ่านมาจังหวัดสุโขทัยมีพี่น้องแรงงานพากันเดินทางออกไปทำงานต่างประเทศมากกว่า ๓,๐๐๐  คน   ข้อมูลนี้ได้รับการยืนยันจากสำนักงานจัดหางานจังหวัด ซึ่งให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า  ปัจจุบันชาวสุโขทัยจำนวนไม่น้อยกว่า  ๕,๐๐๐  คน  กำลังทำงานอยู่ในประเทศต่างๆ  ร่วม ๑๒๐  ประเทศข้อเท็จจริงข้างต้นส่งผลให้จังหวัดเล็กๆ ที่สงบร่มรื่นอย่างสุโขทัย ติดอันดับ  ๙  ของ  ๗๖ จังหวัดทั่วประเทศไทยที่มีแรงงานเดินทางไปต่างประเทศมากที่สุดเมื่อไปต่างแดนกันมาก  ปัญหาก็มากตามมาด้วย  ทั้งถูกนายจ้างเอารัดเอาเปรียบ  เจ็บไข้ได้ป่วย เสียชีวิต หรือกระทั่งถูกนายหน้าหลอกลวงให้เสียเงินเสียทอง  ไปแล้วไม่มีงานให้ทำตามสัญญาหลายคนต้องสิ้นเนื้อประดาตัวเพราะติดค้างหนี้สินก้อนโตตั้งแต่ยังไม่ได้เดินทางไปก็มี  
ปัญหาเหล่านี้ไม่เคยหมดสิ้นไปจากสังคมไทย โดยเฉพาะกรณี  “ไทยหลอกไทยด้วยกันเอง”
การเดินทางไปทำงานในต่างแดนจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ประชาชนในระดับรากหญ้าต้องมีความรู้ต้องเตรียมความพร้อมอย่างดี และต้องรู้เท่าทันคน  ดังนั้นกรมการจัดหางานได้ร่วมมือกับศาลากลางจังหวัดสุโขทัย  จัดโครงการเครือข่ายชุมชนร่วมรณรงค์ป้องกันการหลอกลวงและลักลอบไปทำงานในต่างประเทศในวันศุกร์ที่  ๑๔  มิถุนายน  ๒๕๕๖การอบรมดังกล่าวจัดขึ้นเต็มวันแบบติวเข้มเน้นการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชน  รวมถึงการเตือนภัยให้ประชาชนได้ทราบวิธีการหลอกลวงของมิจฉาชีพในรูปแบบต่างๆ
ผู้เข้าร่วมกิจกรรมในวันนั้นเป็นบุคคลจากหลากหลายอาชีพ  อาทิ  ผู้นำท้องถิ่น  กลุ่มสตรี  ครูอาจารย์ สื่อมวลชน และเด็กนักเรียนอาชีวะ   เป้าหมายสำคัญอีกประการหนึ่งคือต้องการให้ประชาชนรวมตัวกันสร้างเครือข่ายที่เข้มแข็งในชุมชนเพื่อช่วยภาครัฐป้องกันปัญหาการถูกหลอกลวง  และเพื่อบูรณาการความร่วมมือระหว่างส่วนราชการที่เกี่ยวข้องให้มาร่วมกันช่วยแก้ไขปัญหาจากต้นทาง
กรมการกงสุล  กระทรวงการต่างประเทศ ได้มอบหมายให้นายสุวัฒน์  แก้วสุข  ผู้อำนวยการกองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ  เดินทางไปเข้าร่วมเป็นคณะวิทยากรเพื่อชี้แจงบทบาทการให้ความช่วยเหลือของสถานทูตและสถานกงสุลใหญ่ทั่วโลกด้วยประเด็นหนึ่งที่กรมการกงสุลได้ย้ำเตือนพี่น้องแรงงานไทยอีกครั้งคือบทเรียนและผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองในประเทศลิเบียเมื่อ พ.ศ.  ๒๕๕๔เพราะในครั้งนั้นก็มีแรงงานหลายร้อยคนจากจังหวัดสุโขทัยต้องประสบชะตากรรมไปด้วย บางคนเดินทางไปทำงานขุดเจาะน้ำมันกลางทะเลทราย   บ้างก็เป็นช่างก่อสร้างสารพัดโครงการ มีนายจ้างทั้งที่เป็นชาวตะวันตกและชาวลิเบีย    คนงานส่วนใหญ่ไปทำงานได้เพียงไม่กี่เดือนก็เกิดสงครามกลางเมืองขึ้น  ต้องอพยพหนีภัยออกจากประเทศนี้กันอย่างทุลักทุเล
แม้ว่าเหตุการณ์จะผ่านพ้นไปนานกว่าสองปีแล้ว  แต่ปัญหาที่คนงานประสบความเดือดร้อนก็ยังคาราคาซังอยู่เหมือนเดิม  เช่น  ไม่ได้รับเงินค่าจ้าง  สูญเสียทรัพย์สิน  และไม่มีการเยียวยาใดๆ จากนายจ้าง  ปัญหาเหล่านี้ต้องบอกว่าเป็นเรื่องน่าเห็นใจเพราะสงครามเป็นสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมาย   เรียกว่าเกิดขึ้นที่ใดก็วิบัติกันหมด   ยากจะหาผู้รับผิดชอบหรือชดใช้ความเสียหายได้ ซึ่งจนถึงขณะนี้สถานการณ์ในประเทศลิเบียก็ยังไม่สงบเรียบร้อย   มีเหตุปะทะโจมตีด้วยอาวุธเป็นระยะ  ขนาดสถานทูตไทยและข้าราชการที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่นั่น  วันดีคืนดีก็ยังเกิดเหตุร้ายขึ้นกับตัวเองมาแล้ว เรื่องอย่างนี้คนไทยที่คิดจะเดินทางกลับไปทำงานที่ลิเบียต้องคิดกันให้รอบคอบทีเดียว
เมื่อเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมา  สถานทูตไทย  ณ  กรุงตริโปลี  ได้เข้าไปช่วยเหลือแรงงานไทยจำนวน  ๗๑  คน ซึ่งถูกนายหน้าคนไทยด้วยกันหลอกลวงให้เดินทางไปประเทศลิเบีย   เสียเงินค่านายหน้านับแสนบาท  แต่ไปถึงแล้วถูกลอยแพไม่มีงานให้ทำ  ที่สำคัญทุกคนถูกหลอกให้เดินทางไปโดยไม่ผ่านขั้นตอนอนุญาตจากกรมการจัดหางานตามกฏหมายจึงฟ้องร้องเอาผิดใครได้ยาก   เดชะบุญที่ทางราชการให้ความช่วยเหลือได้ทันการณ์  
                ... การหลอกลวงแบบนี้เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ   น่าเศร้าที่คนไทยทำบาปกันเองทั้งนั้น...

นายสุวัฒน์ แก้วสุข
ผอ. กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
กรมการกงสุล
กระทรวงการต่างประเทศ
123 ถ.แจ้งวัฒนะ ทุ่งสองห้อง หลักสี่ กทม 10210
โทร. 0 2575 1047-51
โทรสาร  0 2575 1052

                                                                ..........................................

วันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2556

แจ้งเตือนชาวไทยในสาธารณรัฐอาหรับอียิปต์



                                                                                                       Royal Thai Embassy
                                                                                                                       Cairo
                                                                                                                                                                     9, Tiba Street, Dokki, Giza, Egypt
                                                                                                                                                                         Tel: (202) 37603553-4 Fax: (202) 37600137

ประกาศสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงไคโร

เรื่อง  แจ้งเตือนชาวไทยในสาธารณรัฐอาหรับอียิปต์

          ตามที่กลุ่มการเมืองต่างๆ ในอียิปต์จะจัดการชุมนุมประท้วงต่อต้านรัฐบาลทั้งในกรุงไคโร และเมืองอื่นๆ เริ่มตั้งแต่วันที่ 23 มิถุนายน 2556 และประกาศจัดชุมนุมใหญ่ในวันที่ 30 มิถุนายน 2556 ซึ่งอาจก่อให้เกิดเหตุรุนแรงได้ นั้น
          โดยที่การชุมนุมทางการเมืองดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตประจำวัน ตลอดจนสวัสดิภาพและความปลอดภัยของคนไทย สถานเอกอัครราชทูตฯ จึงขอแจ้งเตือนชาวไทยในอียิปต์ ดังนี้
          1. โปรดใช้ความระมัดระวัง หลีกเลี่ยงพื้นที่และสถานที่ซึ่งมีการชุมนุมประท้วงและมีความเสี่ยงที่จะเกิดการปะทะของกลุ่มต่างๆ ได้แก่ จตุรัสทาห์รี (Tahrir Square) ทำเนียบประธานาธิบดี (Presodential Palace) ในเขต Heliopolis และมัสยิดอัลนูร์ ราบิอะห์ อัล-อาดาเวยะ (Rabe’a El-Adaweya Mosque) ในเขต Nasr City มัสยิดอัลนูร์ (Al-Noor Mosque) ในเขต Abbasiya และจุดนัดชุมนุมประท้วงอื่นๆ
          2. ขอให้สำรองอาหาร น้ำดื่ม และเงินสดติดตัวไว้เพื่อกรณีฉุกเฉิo
          3. โปรดติดตามข่าวสาร และประกาศสถานเอกอัครราชทูตฯ โดยใกล้ชิด โดยอาจสอบถามสถานการณ์จากสถานเอกอัครราชทูตฯ ได้ที่โทรศัพท์หมายเลข 0101 9401243

           จึงประกาศมาเพื่อโปรดทราบโดยทั่วกัน
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงไคโ
23 มิถุนายน 2556





กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
กรมการกงสุล
กระทรวงการต่างประเทศ
123 ถ.แจ้งวัฒนะ ทุ่งสองห้อง หลักสี่ กทม 10210
โทร. 0 2575 1047-51
โทรสาร  0 2575 1052

วันพฤหัสบดีที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เปิดป้าย Thai Town ชุมชนไทยในออสเตรเลีย



            นับเป็นก้าวสำคัญอีกก้าวหนึ่งสำหรับการสร้างความสามัคคีในหมู่คนไทยในรัฐนิวเซาท์เวลส์ (New South Wales) ประเทศออสเตรเลีย เมื่อชุมชนไทยร่วมกับสถานกงสุลใหญ่ ณ นครซิดนีย์ ได้ร่วมกันก่อตั้ง “สมาคมชุมชนไทยในรัฐนิวเซาท์เวลส์ออสเตรเลีย (The Thai Community Association in New South Wales of Australia)”  เป็นองค์กรผู้แทนหรือช่วยเป็นปากเป็นเสียงให้กับชุมชนไทย ทั้งนี้ มีนายแพทย์สมชัย  ทองสัมฤทธิ์ เป็นนายกสมาคมฯ  
            สมาคมฯ ดังกล่าวเกิดขึ้นจากการจุดประกายแนวคิดการรวมตัวสมาคม ชมรม และชุมชนไทยต่าง ๆ ในนครซิดนีย์ให้เป็นหนึ่งเดียว  และเป็นที่ยอมรับในฐานะตัวแทนชุมชนไทย  ซึ่งเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2556 ที่ผ่านมา สมาคมฯ ได้จดทะเบียนอย่างเป็นทางการกับ Department of Fair Trading และได้เข้าพบกับทางการท้องถิ่นเพื่อเสนอขอตั้งป้าย Thai Town เพื่อประโยชน์ในการผูกสัมพันธ์และทำงานร่วมกันกับชุมชนชาวต่างชาติอื่น ๆ ในออสเตรเลีย เช่น จีน  ฟิลิปปินส์  อินโดนีเซีย  และเวียดนาม เป็นต้น
            การก่อตั้งสมาคมไทยข้างต้นถือว่าเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของสถานทูตและสถานกงสุลใหญ่ทุกแห่ง  เพราะในโลกปัจจุบัน เราจำเป็นต้องสร้างเครือข่ายของชุมชนไทย เพื่อเป็นหูเป็นตาให้กับส่วนราชการที่ลำพังแล้วก็ยากจะดูแลคนไทยในที่ต่าง ๆ ได้อย่างทั่วถึง  ดังนั้น ทุกคนจึงต้องช่วยเหลือกัน ที่สำคัญต้องรู้รักสามัคคีกันไว้เป็นดีที่สุด

****************

ด้วยความปรารถนาดี จาก
สถานกงสุลใหญ่ ณ นครซิดนีย์

กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
กรมการกงสุล
กระทรวงการต่างประเทศ
123 ถ.แจ้งวัฒนะ ทุ่งสองห้อง หลักสี่ กทม 10210
โทร. 0 2575 1047-51
โทรสาร  0 2575 1052

วันพุธที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2556

หญิงไทยไปนวดผิดกฏหมาย ... ถึงคราวเกาหลีใต้ “จับ” จริง


ข่าวด่วนจากกรุงโซล... วันพฤหัสบดีที่  ๒๓  พฤษภาคม  ๒๕๕๖   สำนักงานตำรวจแห่งชาติเกาหลีใต้แถลงข่าวการจับกุมนายปาร์ก มู บอง  อายุ ๕๒ ปี  เจ้าของกิจการร้านนวดแผนไทย  (Thai  Massage ) หลายแห่งในจังหวัดคยองกี  ในข้อหามีพฤติกรรมล่อลวงสตรีไปค้าประเวณี  กักขังหน่วงเหนี่ยว  ล่วงละเมิดทางเพศและยึดทรัพย์สินของผู้อื่น
                 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ปฏิบัติการบุกเข้าตรวจค้นสถานให้บริการหลายแห่งในเขตเมืองซีฮึง  เมือง
อันซาน  เมืองซูวอน และเมืองอึยวัง   ผลการปฏิบัติสามารถช่วยเหลือสตรีต่างชาติได้จำนวน  ๑๔  ราย
ทั้งหมดเป็นสตรีไทย
                        ผู้อ่านหลายคนคงคาดไม่ถึงว่าประเทศ “เกาหลีใต้”ที่คนไทยเรารู้จักกันอย่างดี  ประเทศที่เรารู้จักกันอย่างดี ประเทศที่เรามักได้เห็นแง่มุมอันสวยงามจากการถ่ายทอดของภาพยนตร์หรือซีรีย์เรื่องต่างๆ เป็นตัวเลือกอันดับแรกๆ ในการเดินทางไปท่องเที่ยวที่ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางและหมดเงินไปกับค่าใช้จ่ายมากนัก จะมีการหลอกลวงเช่นนี้เกิดขึ้น
สำหรับกรณีนี้ ต้องขอบอกว่าคนบางกลุ่มพวกเขารู้อยู่แก่ใจดีว่า  สถานบริการนวดแผนไทยที่ประเทศเกาหลีใต้นั้นกำลังเป็นที่นิยมแพร่หลายเพียงใด กิจการนี้ทั้งสร้างงานและสร้างโอกาสขุดทองให้แก่หญิงไทยจำนวนหนึ่งที่พร้อมจะเดินทางไปเสี่ยงโชค  พวกเธอรู้ดีว่า แค่ไปทำหนังสือเดินทางไทยหนึ่งเล่ม  ซื้อตั๋วเครื่องบินไป-กลับกรุงโซล  แค่นี้ก็สามารถเดินทางเข้าไปอยู่ในประเทศเกาหลีใต้ได้นานถึง  ๙๐  วัน 
นี่คือโอกาสทองของหญิงไทยที่ถนัดงานประเภทนี้   ถึงแม้ว่าจะเข้าข่ายเป็นการลักลอบทำงานอย่างผิดกฏหมาย และทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเกาหลีใต้จะปราบปรามอย่างจริงจังก็ตาม
หลายคนเคยได้ยินข่าวเตือนภัยจากหลายหน่วยงานราชการจากในสื่อต่างๆ รวมทั้งใน “คู่สร้างคู่สม” ที่ขอให้ระวังการถูกหลอกลวงจากนายหน้าที่ชักชวนให้เดินทางไปทำงานนวดแผนไทย  นวดสปา  นวดมือนวดเท้า  หรืองานบริการตามสถานบันเทิงในต่างประเทศ   เพราะธุรกิจประเภทนี้มีความสุ่มเสี่ยงต่อการตกเป็นเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์  อาจถูกกักขังจนสิ้นอิสรภาพ  กระทั่งเลยเถิดไปจนถูกกระทำทารุณกรรมสารพัดรูปแบบก็เป็นได้  แต่กระนั้นพวกเธอก็พร้อมที่จะเสี่ยง..  ด้วยเหตุผลเพราะว่า
รายได้สูง...  งานสบาย ...และไม่มีใครรู้
นายหน้าที่เมืองไทยชอบโฆษณาชวนเชื่ออย่างหรูหราให้พวกเธอฟังว่า  ทำงานนวดที่เกาหลีใต้มีรายได้เป็นเงินเดือนถึง 1,000,000 วอน  (แลกที่เมืองไทยได้เกือบ  ๒๕,๐๐๐  บาท)  และจะได้ค่าทิปอีกครั้งละ  ๔,๐๐๐ – ๖,๐๐๐  วอน  ยิ่งหากเต็มใจให้บริการทางเพศด้วยแล้ว  ก็จะได้เงินเพิ่มพิเศษอีกครั้งละ  ๑๐,๐๐๐ – ๓๐,๐๐๐  วอน  คำนวณเบ็ดเสร็จเมื่อทำงานครบ ๓ เดือนจะมีรายได้ตกกว่าแสนบาททีเดียว
แต่สิ่งที่พวกเธอไม่เคยรู้ก็คือว่า  นายหน้าที่พาผู้หญิงไปส่งให้นายจ้างที่เกาหลีใต้นั้น  พวกนี้จะได้เงิน
แบบสบายๆ ถึง  ๗๕,๐๐๐ บาท  ต่อการจัดหาผู้หญิงแค่ ๑ คน... ซึ่งนี่แหละที่ไม่ต่างจากการค้ามนุษย์ที่สังคมของผู้เจริญเขารังเกียจเดียจฉันท์กันนัก  ไม่ว่าหญิงสาวผู้ตกเป็นเหยื่อรายนั้นจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม
                เมื่อไม่นานมานี้  มีกรณีที่สถานทูตไทย  ณ  กรุงโซล  ได้ประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเกาหลีใต้ เพื่อบุกเข้าช่วยเด็กสาวอายุ  ๑๗  ปี ซึ่งถูกญาติคนไทยพาไปทำงานนวดประเภทที่มีบริการแอบแฝง   การช่วยเหลือครั้งนั้นกระทำอย่างรวดเร็ว  จนกระทั่งสามารถส่งตัวเด็กคนนี้เดินทางกลับประเทศไทยได้อย่าง
ปลอดภัย  แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นทำให้ทุกฝ่ายรู้สึกเศร้าใจ   เพราะคาดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นกับเยาวชนที่ยังอยู่ในวัยศึกษาเล่าเรียน 
                สังคมไทยจึงต้องตระหนักถึงปัญหานี้  ทุกภาคส่วนต้องช่วยกันแก้ไขปัญหาดังกล่าว ทุกภาคส่วนต้องช่วยกันแก้ไขปัญหา  อย่าปล่อยให้มันลุกลามบานปลายไปมากกว่านี้เลย...
                ไม่เช่นนั้น เราอาจจะช่วยพวกเขาไม่ทัน

                                                                                     ...........................................
   
นิตยสารคู่สร้างคู่สม ปีที่ 34 ฉบับวันที่ 801 วันศุกร์ที่ 14 มิ.ย. 2556
คอลัมน์คนไทย กับภัยรอบโลก หน้า 94 – 95


*****************************************

วันอังคารที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2556

มาลาเรียระบาดในแทนซาเนีย...คนไทยต้องระวัง

แทนซาเนียเป็นประเทศที่อยู่ในเขตอาณาของสถานเอกอัครราชทูต/คณะทูตถาวร ณ กรุงไนโรบี ถือว่าเป็นประเทศหนึ่งที่อยู่ในเขตร้อนชื้นมียุงชุกชุมในช่วงฤดูฝน ทำให้เกิดการระบาดของไข้มาลาเรียเป็นระยะ มีผลทำให้ผู้คนล้มป่วยเป็นโรคนี้จำนวนไม่น้อย ผู้ป่วยบางคนมีอาการไข้สูง บ้างก็เหม่อลอย คล้ายเสียสติ แล้วแต่สภาพร่างกายของแต่ละคน
เหตุการณ์ล่าสุดทำให้คนงานไทยรายหนึ่งเดินทางไปทำงานเหมืองแร่ในประเทศแทนซาเนียต้องเสียชีวิตเพราะ ไม่ได้ฉีดวัคซีนหรือกินยาป้องกันมาลาเรียไว้ล่วงหน้า อาการจึงลุกลามขึ้นสมอง จนแพทย์ไม่สามารถรักษาเยียวยาได้ทันการณ์ ในที่สุดจึงเสียชีวิตในห้อง ICU
สถานทูตไทย ณ กรุงไนโรบีจึงขอประชาสัมพันธ์เตือนคนไทยที่จะเดินทางไปแทนซาเนียให้เพิ่มความระมัดระวัง หลีกเลี่ยงไม่ใช้ถูกยุงกัด หรือหากมีไข้ไม่สบายก็ขอให้รีบไปพบแพทย์ทันที
     
สถานเอกอัครราชทูต/คณะทูตถาวร ณ กรุงไนโรบี



กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
กรมการกงสุล
กระทรวงการต่างประเทศ
123 ถ.แจ้งวัฒนะ ทุ่งสองห้อง หลักสี่ กทม 10210
โทร. 0 2575 1047-51
โทรสาร  0 2575 1052

วันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2556

หลอกไปนวดในจีน เบี้ยวเงินกลับไทยไม่ได้

ปัญหานวดแผนโบราณที่จีนก็ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ที่ผ่านมามีการประชาสัมพันธ์เน้นย้ำเตือนการไปทำงานนวดแผนโบราณที่ประเทศจีน โดยติดต่อผ่านนายหน้า ซึ่งปัญหาอย่างมาก เนื่องจากมีหญิงไทยจำนวนมากถูกหลอกลวงให้เดินทางไปโดยสัญญาจ้างทำงานไม่เหมือนกับที่ตกลง เพราะไม่รู้ภาษาจีน อีกทั้งยังโดนเบี้ยวค่าจ้างอีกจำนวนไม่น้อย 
ในปัจจุบันก็ยังเกิดปัญหาให้สถานทูตที่ปักกิ่งช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง ดังเช่น หญิงไทยรายล่าสุดที่ถูกยึดพาสปอตส ทำให้ไม่สามารถเดินทางกลับเมืองไทยเมื่อถูกเบี้ยวเงินเดือนได้
         การทำงานนวดแผนโบราณที่ถูกกฏหมายในจีนเป็นเรื่องยากลำบาก ซึ่งทำให้เกิดช่องทางหากินของนายหน้าขบวนการหลอกลวง โดยใช้วีซ่าท่องเที่ยวพาคนไทยที่ไม่รู้ภาษาจีนไปและเกิดปัญหา เพราะเหยื่อผู้เสียหายไม่กล้าแจ้งความกับตำรวจ เพราะจะถูกดำเนินคดีข้อหาหลบหนีทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต รวมถึงเสียค่าปรับอีกด้วย 
         ทางสถานทูตได้แนะนำให้คนไทยที่สนใจเดินทางไปทำงานที่จีนติดต่อผ่านกระทรวงแรงงาน โดยจะได้วีซ่าทำงานและสัญญาจ้างที่ถูกต้อง และควรเก็บพาสปอตไว้กับตัวเสมอ


กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
กรมการกงสุล
กระทรวงการต่างประเทศ
123 ถ.แจ้งวัฒนะ ทุ่งสองห้อง หลักสี่ กทม 10210
โทร. 0 2575 1047-51
โทรสาร  0 2575 1052

www.consular.go.th
สถานเอกอัครราชทูต ณ  กรุงปักกิ่ง

บราซิลขยายฐานการผลิตเปิดรับแรงงานจำนวนมาก

ประเทศบราซิลเป็นประเทศที่กำลังขยายการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งยังขาดแคลนแรงงานที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะช่างเทคนิค ช่างฝีมือ ด้านเทคโนโลยีการสื่อสารจำนวนมาก ซึ่งส่งผลให้มีการนำเข้าแรงงานต่างชาติจาก 961,000 คนในปี 2554 เป็น 1.5 ล้านคนในปี 2012 และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากในปีนี้
การออกใบขออนุญาต เป็นหน้าที่ของสภาการตรวจลงตราเข้าเมืองแห่งชาติ บราซิล กระทรวงแรงงานซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับการออกวีซ่าทำงานชั่วคราวและถาวรให้แก่คนต่างชาติ โดยใช้ระยะเวลาอนุมัติถึง 8 สัปดาห์ ทำให้อุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานอย่างหนัก และมีการอาศัยช่องว่างหาทางลัดนำคนงานที่ได้วีซ่าท่องเที่ยวมาเป็นแรงงานเถื่อน หรือแม้แต่การลักลอบนำแรงงานไร้ฝีมือ จ่ายค่าแรงขั้นต่ำ และอยู่อย่างผิดกฏหมายจากประเทศเพื่อนบ้านอย่าง โบลิเวีย เอกวาดอร์ ปารากวัย และเปรู มาเป็นแรงงาน
            ปัจจุบันมีแรงงานไทยในบราซิลประมาณ 100 คน โดยเป็นวิศวกร และช่างฝีมือ ส่วนหมอนวดแผนไทยมีจำนวนเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่ได้ค่าจ้างสูง มีฝีมือและทักษะพิเศษ แต่ส่วนมากประสบปัญหาการติดต่อสื่อสารเพราะต้องใช้ภาษาโปรตุเกส และกฏหมายแรงงานมีความซับซ้อน แรงงานไทยที่สนใจจะเดินทางไปควรตรวจสอบให้ดีก่อนการเดินทางไปทำงานด้วย


                                                                                    สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบราซิเลีย
กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
กรมการกงสุล
กระทรวงการต่างประเทศ
123 ถ.แจ้งวัฒนะ ทุ่งสองห้อง หลักสี่ กทม 10210
โทร. 0 2575 1047-51
โทรสาร  0 2575 1052