วันอังคารที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2554

คนไทยลักลอบเข้าไปทำงานในรัสเซียมากขึ้น




สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย รายงานกรณีคนไทยลักลอบเข้าไปทำงานในประเทศรัสเซียและประเทศกลุ่มที่ใช้ภาษารัสเซีย โดยสถานทูตต้องเข้าไปให้ความช่วยเหลือส่งตัวกลับประเทศไทยแล้วกว่า 40 ราย มีทั้งคนไทยในรัสเซีย ยูเครน และคาซัคสถาน และยังมีมากว่า 60 รายที่อยู่ระหว่างรอความช่วยเหลือให้สถานทูตเจรจากับนายจ้างและทางการท้องถิ่น

คนไทยที่เดินทางเข้าไปทำงานอย่างผิดกฎหมายในรัสเซียและกลุ่มประเทศที่ใช้ภาษารัสเซีย พบว่ามีทั้งใช้วีซ่าผิดประเภท และใช้ประโยชน์จากการยกเว้นการตรวจลงตรา (คนไทยสามารถเดินทางเข้าประเทศรัสเซียโดยไม่ต้องมีวีซ่าและอยู่ในรัสเซียได้ 30 วัน) รวมทั้งพวกที่ถูกหลอกจากนายจ้างว่าเข้าไปแล้วจะต่อวีซ่าทำงานให้ แต่ในที่สุดก็กลายเป็นแรงงานผิดกฎหมายและอยู่เกินกำหนดเกือบทั้งสิ้น ทำให้สถานทูตได้รับการร้องเรียนเป็นรายวันให้ไปช่วยเจรจากับนายจ้างและทางการงานส่วนใหญ่ที่คนไทยนิยมลักลอบเข้าไปทำงาน มีทั้งงานนวดสปา งานร้านอาหาร ไปจนถึงการลักลอบค้าบริการทางเพศของสาวประเภทสอง 

กรณีดังกล่าวนับว่าเป็นสิ่งที่ทำให้เสียภาพลักษณ์และชื่อเสียงของประเทศไทยรวมทั้งคนไทยในรัสเซียที่พำนักและทำงานอยู่ในรัสเซียอย่างถูกต้อง สถานเอกอัครราชทูตฯ ยังรายงานด้วยว่า แนวโน้มของคนไทยที่เดินทางไปรัสเซียและประเทศที่ใช้ภาษารัสเซียมีจำนวนเพิ่มขึ้น แม้ว่าสถานทูตจะทำหน้าที่อย่างเต็มที่ในการให้ความดูแลคุ้มครองแต่นั่นก็ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่สาเหตุ เป็นเพียงการแก้ที่ปลายเหตุเมื่อเกิดเหตุขึ้นแล้ว จึงขอเตือนให้พี่น้องคนไทยที่จะเดินทางไปรัสเซียและประเทศที่ใช้ภาษารัสเซียโปรดตรวจสอบให้ดี และควรให้ความร่วมมือในการดำเนินการขออนุญาตไปทำงานต่างประเทศให้ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งแม้ต้องใช้เวลานานในขั้นตอนเอกสารแต่ก็ยังพอจะแน่ใจได้ว่าท่านจะเดินทางไปทำงานในรัสเซียอย่างถูกต้อง ไม่ต้องไปแล้วประสบปัญหาเรื่องเอกสารทำให้กลายเป็นผู้ลักลอบทำงานในต่างประเทศอย่างผิดกฎหมายและต้องถูกส่งตัวกลับประเทศไทยซึ่งจะมีแต่เสียประโยชน์ของท่านเองและยังเป็นการทำลายภาพพจน์ชื่อเสียงของประเทศชาติและคนไทยอื่นๆ ด้วย

ที่มา : สถานเอกอัครราชทูต ร กรุงมอสโก

คนไทยถูกรีดไถในแอฟริกา



สถานเอกอัครราชทูตไทยในประเทศแถบแอฟริกากลางรายงานว่า ได้เกิดกรณีบ่อยครั้งที่คนไทยที่เดินทางผ่านหรือทำงานในประเทศในภูมิภาคแอฟริกาถูกเรียกร้องเงินโดยเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานต่างๆ โดยมิชอบ หรือจะเรียกอีกอย่างคือถูกรีดไถนั่นเอง ทั้งที่มีเอกสารแสดงตนหรือเอกสารเกี่ยวกับการทำงานถูกต้องทุกอย่าง โดยเจ้าหน้าที่จะทำเป็นขอตรวจเอกสารและจะยึดไว้จนกว่าจะได้ีรับเงิน ดังเช่นเมื่อช่วงกลางเดือนธันวาคม ที่ผ่านมา ก็มีคนไทยที่ทำงานในประเทศในแถบแอฟริกากลางถูกตำรวจรีดไถ ต้องเสียเงินไปหลายสตางค์ และไม่ใช่ครั้งแรกที่คนไทยรายนี้ต้องประสบเคราะห์กรรมเช่นนี้ เพราะครั้งนี้เป็นครั้งที่สองแล้ว
สถานที่ที่มีการรีดไถกันมากที่สุดเห็นจะเป็นที่สนามบิน โดยมีทั้ง ตรวจคนเข้าเมือง ศุลกากร บางครั้งก็มีเจ้าหน้าที่สายการบินและพ่อค้ารู้เห็นเป็นใจด้วย แม้แต่อาหารที่คนไทยมักชอบนำติดตัวไปเช่น น้ำปลา กะปิ เครื่องปรุงอาหาร ก็จะกลายเป็นปัญหาเพราะเจ้าหน้าที่จะตรวจตราเข้มงวดและมักจะต้องจบลงโดยถูกรีดไถเงินเพื่อความสะดวกให้ผ่านของได้
สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้ฝากเตือนมายังคนไทยที่จะเดินทางไปหรือผ่านประเทศในภูมิภาคแอฟริกาให้ระวังการถูกรีดไถจากคนพวกนี้ให้ดี และถ้ามีใครมาเสนอขายอวัยวะหรือชิ้นส่วนหรือซากของสัตว์ป่าก็ขอให้งดซื้อสินค้าเหล่านั้นเนื่องจากผิดกฎหมายห้ามมีไว้ในครอบครอง นอกจากนี้ การนำสินแร่ต่างๆ หรือหินมีค่าออกจากประเทศแถบนี้จะต้องมีใบอนุญาตอย่างถูกต้อง มิฉะนั้นอาจได้รับโทษทั้งจำทั้งปรับ






หากท่านพบปัญหาถูกรีดไถโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือของสายการบิน ขอให้จดชื่อและตำแหน่ง วันเวลาที่ถูกรีดไถ และแจ้งสถานเอกอัครราชทูตของไทยในประเทศนั้นๆ หรือประเทศใกล้เคียง หรือกองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อดำเนินการต่อไป

ที่มา  : กระทรวงการต่างประเทศ

วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2554

หญิงไทยกับยาเสพติด…อีกหนึ่งราย



คดีเกี่ยวกับยาเสพติดไม่เคยห่างหายไปจากสังคมไทย ที่ผ่านมามักจะมีเรื่องราวที่ทำให้สะเทือนใจไม่ว่าจะอยู่ในหรือภายนอกประเทศ
          ล่าสุด สถานกงสุลใหญ่ ณ นครหนานหนิง (ภาคใต้ของจีน) ได้รายงานเกี่ยวกับหญิงไทยต้องโทษจำคุกในคดีลักลอบขนยาเสพติดขณะตั้งครรภ์ เธอถูกศาลที่ประเทศจีนตัดสินประหารชีวิต และขณะถูกจำคุกอยู่ในเรือนจำ ได้คลอดบุตรเป็นทารกเพศหญิงซึ่งเป็นลูกครึ่งไทย-แอฟริกันผิวดำ โดยหญิงไทยคนดังกล่าวไม่ทราบแม้แต่ชื่อบิดาของบุตร... รู้แต่เป็นคนสัญชาติไนจีเรีย
กรณีนี้ เกิดขึ้นจากหญิงไทยคนดังกล่าวได้รู้จักกับผู้ชายชาวจีนผ่านโปรแกรมแชตทางอินเตอร์เนทและได้รับการเสนองานให้ทำ อ้างว่าเป็นงานสบายและมีรายได้ดี ถึง 50,000 - 60,000 บาทต่อครั้ง งานที่ว่า... ก็ไม่พ้นงานขนยาเสพติดนั่นเอง!!
เธอได้รับจ้างขนยาเสพติด ติดต่อกันมาแล้วถึง 4 ครั้ง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2552 โดยมักจะได้รับการติดต่อให้ไปรับกระเป๋าจากประเทศในภูมิภาคเอเชียใต้หรือแอฟริกา บินกลับมากรุงเทพฯ เพื่อขนต่อไปยังประเทศจีนหรือมาเลเซีย แต่ในที่สุดก็ถูกเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของด่านโหย่วอี๋จับกุม พร้อมเฮโรอีน 3,136 กรัม ในกระเป๋าเดินทาง
กรณีนี้เป็นเรื่องที่น่าเศร้าที่สุด เพราะไม่เพียงแต่หญิงไทยผู้นี้ต้องรับเคราะห์กรรม แต่บุตรของเธอยังต้องตกเป็นเหยื่อไปด้วย ทารกคนนี้จะไม่มีบิดามารดาเลี้ยงดู และจะขาดความอบอุ่นไปตลอดชีวิต
เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2554 คุณมาลัย เรียวเดชะ เจ้าหน้าที่ประจำสถานกงสุลใหญ่ ณ นครหนานหนิง ได้ช่วยพาทารกหญิงลูกครึ่งไทย-ไนจีเรียคนนี้ เดินทางจากเรือนจำในประเทศจีนกลับเมืองไทย และส่งมอบให้สถานสงเคราะห์เด็กอ่อนพญาไท สังกัดกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ เพื่อรับอุปการะเลี้ยงดูต่อไป
ขอย้ำอีกครั้งว่า โทษทัณฑ์เกี่ยวกับคดียาเสพติดนั้น ไม่ว่าที่ไหนในโลก จะมีบทลงโทษรุนแรงเสมอ ถูกสังคมประนาม และที่สำคัญเป็นเรื่องยากมากที่ทางราชการจะเข้าไปช่วยเหลือให้ท่านพ้นผิดได้

ที่มา : สถานกงสุลใหญ่ ณ นครหนานหนิง
        กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ  กรมการกงสุล

วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2554

แพทย์ญี่ปุ่นแนะนำคนไทยจะไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่น


จากการที่รัฐบาลญี่ปุ่นมีนโยบายในการให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศไทย โดยอนุญาตให้พนักงานคนไทยที่ทำงานกับบริษัทญี่ปุ่นที่ประสบปัญหาอุทกภัยให้ไปทำงานชั่วคราวที่ประเทศญี่ปุ่น สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว จึงได้แจ้งข้อมูลและให้คำแนะนำเกี่ยวกับสุขภาพไว้ ดังนี้
                1. ผู้ที่อาศัยในญี่ปุ่นส่วนใหญ่มีประกันสุขภาพ เนื่องจากการรับบริการทางการแพทย์ในญี่ปุ่นมีค่าใช้จ่ายสูงมาก จึงมีปัญหาการจ่ายค่ารักษาพยาบาลเมื่อเจ็บป่วยฉุกเฉินในประเทศญี่ปุ่น ดังนั้น จึงควรทำประกันสุขภาพก่อนเดินทางไปญี่ปุ่น
                2. การณีที่มีโรคประจำตัว ควรเตรียมยาประจำตัวไปให้เพียงพอเพื่อการรักษาต่อเนื่อง เนื่องจากยาที่เคยใช้ที่ประเทศไทยอาจจะหาไม่ได้ที่ประเทศญี่ปุ่น หรือหาได้ในราคาที่แพงกว่าในประเทศไทยมาก นอกจากนี้ ญี่ปุ่นไม่อนุญาตให้ส่งยาที่ต้องใช้ใบสั่งแพทย์ทางไปรษณีย์

นอกจากนี้ คุณหมอทาคาชิ ซาวาดะ แพทย์อาสาสมัครชาวญี่ปุ่นได้ให้คำแนะนนำด้านสุขภาพสำหรับคนไทยที่จะเดินทางไปทำงานในประเทศญี่ปุ่น ดังนี้
 1. ฤดูหนาวในญี่ปุ่น อากาศจะหนาวมากและมีหิมะตก ด้วย จึงควรเตรียมเครื่องกันหนาวให้เพียงพอ และไข้หวัดใหญ่มักจะระบาดในช่วงฤดูนี้ จึงควรป้องกันโดยการกลั้วคอและล้างมือทุกครั้งที่กลับจากข้างนอก หากไอหรือจามควรใช้หน้ากากอนามัยปิดปากและจมูก


2. การซื้อยาในประเทศญี่ปุ่นเป็นเรื่องยากหากไม่เข้าใจภาษาญี่ปุ่น ดังนั้น ผู้ที่มีโรคประจำตัวควรให้แพทย์ที่ดูแลออกใบวินิจฉัยโรคโดยระบุอาการและยาที่ใช้อยู่เป็นภาษาอังกฤษเพื่อที่แพทย์ญี่ปุ่นจะได้เข้าใจได้ และควรปรึกษาแพทย์ก่อนออกเดินทางมาญี่ปุ่นว่าจะสามารถสั่งยาสำรองล่วงหน้าเป็นระยะเวลานานได้หรือไม่เนื่องจากต้องเดินทางไปต่างประเทศ
                       
3. การเข้ารับการรักษาพยาบาลในประเทศญี่ปุ่นมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก ควรปรึกษากับบริษัทนายจ้างก่อนว่าจะจ่ายค่ารักษาพยาบาลอย่างไร ตามกฎหมายญี่ปุ่นถึงแม้จะเป็นโรคเรื้อรังแต่หากอยู่ในความควบคุมดูแลและไม่มีผลกระทบต่อการทำงาน บริษัทจะไม่สามารถใช้อาการจ็บป่วยเป็นข้ออ้างในการเลิกจ้างหรือโยกย้ายตำแหน่งของลูกจ้างได้
4. โรงพยาบาลในญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะรับผู้ป่วยนอกเฉพาะช่วงเช้า ผู้ที่ป่วยหนักหรือมีโรคประจำตัวที่ต้องพบแพทย์เฉพาะทางควรไปโรงพยาบาลในช่วงเช้าและควรให้คนที่พูดภาษาญี่ปุ่นได้พาไป การณีที่ต้องการล่ามที่จะช่วยรักษาข้อมูลส่วนตัวของท่าน ขอแนะนำให้ปรึกษากับหน่วยงานตามรายละเอียด ดังนี้

                             *** ตะวัน  (กลุ่มให้ความช่วยเหลือด้านสุขภาพแก่คนไทยในญี่ปุ่น) โทร 080-3791-3630
                                                  วันพฤหัสบดี  9.00-16.00 น.  วันเสาร์  17.30 -22.00 น.
                                       *** AMDA (แอมด้า : ศูนย์ข้อมูลข่าวสารสถานพยาบาลนานาชาติ) โทร 03-5285-8088 
                                                  ทุกวัน 9.00-20.00 น.
                                       *** สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว ฝ่ายกงสุล แผนกคุ้มครองคนไทย 
                                                  โทร 090-4435-7812 


ที่มา  : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว

วันพุธที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ญี่ปุ่นรับคนงานไทยที่ประสบภัยน้ำท่วมเข้าทำงานเป็นการชั่วคราว






กระทรวงยุติธรรมของญี่ปุ่นได้ออกประกาศ เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2554 เกี่ยวกับเงื่อนไข และขั้นตอนการขออนุญาตรับพนักงานคนไทยที่ทำงานในบริษัทญี่ปุ่นที่ประสบปัญหาอุทกภัย ในประเทศไทยมาทำงานในประเทศญี่ปุ่นเป็นการชั่วคราวตามมาตรการให้ความช่วยเหลือเร่งด่วนของรัฐบาลญี่ปุ่น โดยมีรายละเอียด ดังนี้

                1. คุณสมบัติของผู้จะเดินทางเข้ามา
                                1.1 เป็นคนไทยที่ได้รับการว่าจ้างอยู่ในโรงงานของบริษัทญี่ปุ่นที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยและโรงงานได้รับผลกระทบจากอุทกภัยจนไม่สามารถดำเนินงานได้ และมาทำงานที่บริษัทแม่ในญี่ปุ่นภายใต้เงื่อนไขสัญญาการจ้างงานที่มีลักษณะการทำงานเช่นเดียวกันหรือคล้ายกันกับที่ทำอยู่ในประเทศไทย
                2. เงื่อนไขจำเป็นในการรับพนักงานคนไทย
                                2.1 บริษัทแม่ในญี่ปุ่นต้องรับประกันการเดินทางกลับประเทศไทยของพนักงานคนไทย
                                2.2 ต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวกับภาษี ประกันสังคม ตลอดจนกฎหมายแรงงานที่เกี่ยวข้องของประเทศญี่ปุ่น
                                2.3 ไม่สามารถพาคู่สมรสหรือครอบครัวติดตามมาระหว่างมาทำงานที่ญี่ปุ่น
                                2.4 บริษัทแม่ในประเทศญี่ปุ่นที่จะนำพนักงานคนไทยมาทำงานจะต้องจัดเงื่อนไขการทำงาน ที่พักต่างๆ อย่างเหมาะสมเพียงพอที่จะไม่ก่อให้เกิดปัญหาได้
                                2.5 วีซ่าที่พนักงานคนไทยจะได้รับคือ Designated activities ซึ่งจะได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจกรรมตามที่กำหนด มีระยะเวลาพำนักในประเทศญี่ปุ่น 6 เดือน
                                2.6 กรณีที่เกิดปัญหาจากการทำงานขึ้นระหว่างอยู่ในญี่ปุ่น จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงไปดำเนินกิจกรรมอื่นๆ (หรือไปทำงานอื่น) ได้เนื่องจากเป็นการอนุญาตให้เข้ามาเพื่อดำเนินกิจกรรมเฉพาะกิจ ดังนั้น ต้องเดินทางกลับประเทศไทยเท่านั้น
                                2.7 ในช่วง 3 ปี ที่ผ่านมา บริษัทแม่ในญี่ปุ่นต้องไม่เคยมีประวัติการเลิกจ้างคนงานที่ทำงานในลักษณะเดียวกับที่พนักงานคนไทยจะมาทำงานจำนวนมาก (เลิกจ้างเกินกว่า 30 คน ในระยะเวลา 3 เดือน)
                                2.8 บริษัทแม่ในญี่ปุ่นต้องสัญญาว่า ภายในระยะเวลา 1 ปีที่รับพนักงานคนไทยเข้ามา จะไม่เลิกจ้างคนงานที่ทำงานในลักษณะเดียวกันกับที่พนักงานคนไทยเข้ามาทำงาน
                3. การพิจารณาอนุญาต
                                จะไม่พิจารณาอนุญาตการเข้าประเทศแก่ผู้ที่เคยมีคดีในประเทศญี่ปุ่นหรือในต่างประเทศในระยะ 1 ปี ที่ผ่านมา หรือผู้ที่ยังไม่พ้นระยะห้ามเข้าประเทศญี่ปุ่นหลังถูกเนรเทศตามกฎหมายควบคุมการเข้าเมืองและผู้อพยพ มาตรา 5 ข้อ 1 ของประเทศญี่ปุ่น
                4. ขั้นตอนการดำเนินการ
                        บริษัทแม่ในญี่ปุ่นต้องเป็นผู้ดำเนินการยื่นขอให้พนักงานคนไทยเข้าไปทำงานในญี่ปุ่น โดยให้ถือว่าพนักงานคนไทยได้รับการว่าจ้างจากบริษัทลูกอยู่ก่อนแล้วและเป็นการเข้ามาทำงานชั่วคราวในญี่ปุ่นเป็นการจ้างงานต่อเนื่องและไม่ถือว่าการสิ้นสุดระยะพำนักในการเข้ามาทำงานนี้ทำให้การจ้างงานเดิมก่อนหน้านี้สิ้นสุดลง
                                เมื่อได้รับอนุญาตจากทางการญี่ปุ่นแล้ว ให้นำใบแจ้งผลพร้อมเอกสารที่เกี่ยวข้องไปยื่นขอรับวีซ่าที่สถานทูต/สถานกงสุลญี่ปุ่น ในประเทศไทย
                                หลังจากพนักงานคนไทยได้รับวีซ่าแล้ว ให้แจ้งกำหนดการเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่นพร้อมรายละเอียดเที่ยวบินไปยังสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองญี่ปุ่นสาขาเดียวกันกับที่ออกใบแจ้งผลอนุญาตให้พนักงานคนไทยเข้ามาทำงาน ซึ่งหากไม่แจ้งข้อมูลดังกล่าวอาจมีปัญหาการเข้าเมืองได้
                                พนักงานคนไทยที่เดินทางเข้าประเทศไทยญี่ปุ่นโดยใช้วีซ่าประเทภนี้ อาจต้องใช้เวลาในการขอประทับตราอนุญาตให้เข้าประเทศญี่ปุ่น ณ สนามบินในญี่ปุ่น นานกว่าปกติ เนื่องจากต้องมีการตรวจสอบก่อน
                                เมื่อได้รับการประทับตราอนุญาตให้เข้าเมืองได้แล้ว หากพนักงานคนไทยมีกำหนดพำนักในญี่ปุ่นเกิน 90 วัน ต้องขอขึ้นทะเบียนต่อสำนักงานเขตที่พำนักอยู่ภายในเวลา 90 วันนับจากวันที่เดินทางเข้าญี่ปุ่น ด้วย

ที่มา : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว
           สำนักงานแรงงานในประเทศญี่ปุ่น

วันพุธที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เตือนหญิงตั้งครรภ์..ไปต่างแดน






               ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่สถานทูตไทยประจำประเทศสิงคโปร์ได้รับโทรศัพท์ฉุกเฉินจากโรงพยาบาลแม่และเด็กแห่งหนึ่ง ร้องขอให้เดินทางไปช่วยเหลือสตรีไทย 1 ราย ซึ่งท้องแก่และต้องคลอดบุตรอย่างปัจจุบันทันด่วน
                ทางสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ สิงคโปร์เผยว่าหญิงผู้นี้มีกำหนดกลับสู่ประเทศไทยหลังให้กำเนิดบุตรสาวเพียง 1 วัน เธอมีความประสงค์จะเดินทางกลับประเทศไทยเนื่องจากไม่มีญาติหรือคนรู้จักอยู่ในสิงคโปร์เลย เธอไม่มีเงินมากพอสำหรับจะซื้อตั๋วเครื่องบินเพื่อเดินทางกลับพร้อมกับบุตร ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของกงสุลไทยที่จะต้องเข้าไปช่วยเหลือและให้การดูแล
                บ่อยครั้งที่หญิงมีครรภ์ได้ให้กำเนิดบุตรในต่างแดนโดยขาดความพร้อมในด้านต่างๆ ก่อให้เกิดปัญหาที่ยุ่งยากดังในกรณีข้างต้น
            จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้เห็นได้ชัดเจนว่าในการเดินทางไปต่างประเทศของหญิงมีครรภ์ที่มีกำหนดใกล้คลอดนั้นมีความเสี่ยงในความปลอดภัยค่อนข้างสูง ยิ่งหากไม่มีญาติพี่น้องหรือคนรู้จักก็จะตกอยู่ในสภาพที่ลำบาก จึงไม่ควรเดินทางไปต่างประเทศ นอกจากนี้ การคลอดบุตรที่ต่างประเทศอาจต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลสูง ทั้งยังมีความยุ่งยากในการดำเนินการขอเดินทางกลับประเทศไทย
                งานนี้ กงสุลได้จดทะเบียนเกิด (สูติบัตร) ให้ทารกแรกเกิดและออกเอกสารเดินทางชั่วคราวให้ รวมทั้งได้ประสานกับตรวจคนเข้าเมืองสิงคโปร์ จนสองแม่ลูกสามารถกลับสู่ประเทศไทยโดยสวัสดิภาพ

ที่มา : สถานเอกอัครราชทูต ณ สิงคโปร์

วันอังคารที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ขบวนการหลอกลวงหมอนวดหญิงไทยไปจดทะเบียนสมรสอำพรางกับชาวมาเลเซียเพื่อใช้ขอใบอนุญาตทำงาน





สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ รายงานข้อมูลใหม่เกี่ยวกับขบวนการหลอกลวงหมอนวดหญิงไทยไปทำงานในมาเลเซีย ว่า ปัจจุบัน มีหมอนวดหญิงไทยพยายามหาทางเข้าไปทำงานในประเทศมาเลเซียโดยใช้วิธีแต่งงานกับชายชาวมาเลเซียซึ่งจะมีบุคคลที่เรียกกันว่าเป็น Boss เป็นผู้ดำเนินการและจะยื่นขอใบอนุญาตทำงาน (Work Permit) เป็นพนักงานนวดให้โดยหญิงชายจะไม่ได้อยู่ด้วยกันฉันท์สามีภรรยา กลุ่มคนที่มาชักชวนหมอนวดหญิงไทยอ้างว่าการดำเนินการดังกล่าวไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ และเมื่อทำงานมีรายได้แล้วจึงจะหักค่าดำเนินการในภายหลัง ซึ่งการทำงานเป็นหมอนวดจะมีรายได้ดี เดือนละประมาณ 20,000.- บาทขึ้นไป

ทางสถานเอกอัครราชทูตฯ ได้แจ้งข้อมูลเพื่อเตือนภัยหญิงไทยที่คิดจะเดินทางไปทำงานเป็นหมอนวดในมาเลเซียด้วยว่า ปกติกฎหมายมาเลเซียไม่อนุญาตให้หญิงต่างด้าวที่สมรสกับคนมาเลเซียทำงานทุกประเภท แม้ภายหลังจะมีการผ่อนผันให้สามารถทำงานได้โดยใช้วีซ่าคู่สมรส แต่ก็ต้องยื่นคำร้องขออนุญาตกับกรมการจัดหางานและกรมตรวจคนเข้าเมืองของมาเลเซียก่อน ซึ่งทางการจะต้องพิจารณาความเหมาะสมเป็นกรณีๆ ไป และในส่วนของอาชีพพนักงานนวดจะไม่มีการจัดสรรตำแหน่งงานให้อย่างแน่นอนเพราะมาเลเซียมีนโยบายปิดร้านนวดที่ไม่ได้มาตรฐานทั้งหมด จะอนุญาตเฉพาะกิจการสปาในโรงแรมห้าดาวเท่านั้น

จากนโยบายของประเทศมาเลเซียที่จะปิดกิจการร้านนวดดังกล่าว บรรดาร้านนวดขนาดเล็กจึงดิ้นรนทุกวิถีทางที่จะดำรงกิจการของตนไว้จนกว่าจะถูกปิดตัวลง อีกทั้งชื่อเสียงหมอนวดหญิงไทยเป็นที่รู้จักและยอมรับในมาเลเซียมานาน นักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียมักนิยมใช้บริการโดยส่วนใหญ่จะข้ามชายแดนเข้ามาที่อำเภอหาดใหญ่ จ. สงขลา

การหลอกลวงหมอนวดชาวไทยไปจดทะเบียนสมรสอำพรางกับชาวมาเลเซียนี้ นับเป็นมหันตภัยที่น่ากลัวสำหรับหญิงไทยที่รู้เท่าไม่ถึงการและยังดื้อดันไม่รับฟังคำเตือนของสถานเอกอัครราชทูตฯ เนื่องจากภายหลังจดทะเบียนสมรสแล้วจะประสบปัญหาสาหัสมากมาย เช่น จะถูกนายจ้างหักค่าใช้จ่ายเดือนละไม่ต่ำกว่า 700-1,000 ริงกิต (ประมาณ 7,000-10,000 บาท) เป็นหนี้ที่ไม่มีวันชดใช้หมดนายจ้างจะยึดพาสปอร์ตโดยอ้างว่านำไปขอใบอนุญาตทำงาน หากบิดพริ้วหรือแข็งข้อก็จะถูกสามีในนามหรืออ้างเป็นสามีจริงทำร้ายร่างกายหรือกดขี่ทุกวิถีทาง และตามกฎหมายมาเลเซียฝ่ายชายสามารถอ้างยึดหรือแบ่งรายได้ทรัพย์สินที่ภรรยาหาได้ทุกกรณีซึ่งตรงนี้จะเป็นเสมือนห่วงเหล็กผูกคอแน่นหนาพันธนาการชีวิตหญิงไทยที่หลงผิดอย่างน่าเวทนา เนื่องจากเป็นสิ่งที่กระทำโดยมีกฎหมายรองรับ ยากที่จะได้รับความช่วยเหลือ และหากประสงค์จะหย่า ก็ต้องให้ฝ่ายชายยินยอมและต้องว่าจ้างทนายให้ดำเนินการให้ซึ่งต้องใช้เวลานานมาก และหากฝ่ายชายไม่ยินยอมหย่าให้สถานภาพสมรสก็จะค้างคาติดตัวผู้หญิงตลอดไป ต้องตกทุกข์ตลอดชีวิต สถานเอกอัคราชทูตฯ ได้รับการร้องขอความช่วยเหลือจากหญิงไทยจำนวนมากที่สมรสกับชาวมาเลเซียและประสบปัญหาดังกล่าว ซึ่งบางรายมีบุตรกับสามีด้วย ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะช่วยเนื่องจากตามกฎหมายต้องถือว่าเป็นเรื่องปัญหาภายในครอบครัว ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องทำใจยอมรับในชะตากรรมที่เกิดจากการที่ไปหลงเชื่อพวกเดนมนุษย์ และการที่ตัวเองไม่ยอมรับฟังคำเตือนที่หลายฝ่ายพยายามเตือนเพื่อไม่ให้หญิงไทยต้องตกอยู่ในสภาพที่ทนทุกข์เวทนา

และนี่ก็นับเป็นอีกครั้งหนึ่งที่กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ อยากจะขอวิงวอนคนไทยทุกคนที่คิดจะไปทำงานในต่างประเทศให้ระมัดระวังและพิจารณาให้ถี่ถ้วนรอบคอบ อย่าไปฟังข้อมูลแต่เพียงด้านเดียวจากผู้ที่หวังผลประโยชน์จากตัวท่าน บุคคลเหล่านี้ไม่มีเลยที่จะปราถนาดีหรือจริงใจกับท่าน ต่างหวังผลประโยชน์จากท่านทั้งสิ้น ปัจจุบันพี่น้องชาวไทยในต่างประเทศจำนวนมากต้องประสบปัญหาทุกยากแสนสาหัส เผชิญกับความเดือดร้อนทุกรูปแบบ แม้จะมีสถานทูต สถานกงสุล ของไทยที่จะคอยช่วยเหลือดูแล แต่ก็มักมีข้อจำกัดมากมายและการช่วยเหลือในลักษณะที่เข้าไปแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นแล้ว จะเป็นเรื่องยากกว่าการป้องกันปัญหามิให้เกิดขึ้น ดังนั้น จึงขอให้ผู้ที่คิดจะไปทำงานในต่างประเทศตรวจสอบข้อมูล และที่สำคัญ คิดให้ดีก่อนตัดสินใจ

ที่มา : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์
        : กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ    กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ

วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2554

บัวแก้วเตรียมพร้อมอพยพคนไทยในซีเรีย







ตามที่มีเหตุการณ์ชุมนุมประท้วงต่อต้านรัฐบาลในประเทศซีเรียที่มีแนวโน้มจะมีความรุนแรง ยืดเยื้อ และขยายตัวออกไปตามเมืองสำคัญๆ ที่มีคนไทยอาศัยอยู่ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงริยาด ซึ่งติดตามสถานการณ์ในซีเรียมาโดยตลอดได้เตรียมการประสานงานอย่างใกล้ชิดกับคนไทยในซีเรียในการเตรียมพร้อมอพยพออกจากพื้นที่เสี่ยงภัยทันทีหากสถานการณ์เลวร้ายลง

สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงริยาด (ซึ่งรับผิดชอบดูแลเขตอาณาประเทศซีเรียด้วย) รายงานว่าปัจจุบันมีคนไทยพำนักอยู่ในซีเรียประมาณ 70 คน เป็นกลุ่มหญิงไทยที่สมรสกับชาวซีเรียประมาณ 20 คน นอกจากนั้นเป็นนักเรียนและพนักงานสปา ขณะนี้คนไทยทุกคนปลอดภัยดีเพราะพำนักอาศัยอยู่ในเขตเมืองใหญ่ เช่น ดามัสกัส และอาลิปโป ซึ่งสถานการณ์ยังคงเป็นปกติ คนไทยทุกคนยังไม่มีความวิตกกังวล แต่อย่างไรก็ดี ได้เฝ้าติดตามสถานการณ์ซึ่งหากรุนแรงขยายตัวเข้ามาในเขตเมืองที่อาศัยอยู่ก็จะจะพิจารณาอพยพไปยังพื้นที่ปลอดภัย โดยสถานเอกอัครราชทูตฯ ได้ซักซ้อมแผนการอพยพกับสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ไทยประจำกรุงดามัสกัสและคนไทยในซีเรียไว้แล้ว โดยจะให้ทุกคนมารวมตัวที่บ้านพักแห่งหนึ่งของคนไทยชานกรุงดามัสกัส เพื่อรอประเมินสถานการณ์และหากต้องอพยพก็จะสามารถดำเนินการทันทีโดยจะเดินทางโดยรถยนต์ไปยังประเทศเลบานอน (ห่างออกไปประมาณ 30-40 กิโลเมตร) หรืออาจใช้เที่ยวบินพานิชย์ปกติหรือเที่ยวบินพิเศษตามแต่สถานกาณ์จะอำนวย
  
สถานการณ์การประท้วงในซีเรียเริ่มมาตั้งแต่เดือนมีนาคม 2554 โดยชาวซีเรียที่ไม่พอใจการปกครองออกมาเรียกร้องขับไล่ประธานิบดี Bashar al-Assad ที่ปกครองซีเรียมายาวนาน รัฐบาลตอบโต้กลุ่มผู้ประท้วงด้วยความรุนแรงทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ล่าสุด เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2554 สันนิบาตชาติอาหรับได้มีมติคว่ำบาตทางเศรษฐกิจต่อซีเรีย ทำให้เกรงกันว่าฝ่ายรัฐบาลซีเรียจะยิ่งใช้ความรุนแรงปราบปรามผู้ประท้วงมากขึ้นและสถานการณ์จะเลวร้ายลงไปอีก

ที่มา : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงริยาด
          กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ  กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ

วันพุธที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2554

สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมานามา ออกประกาศเตือนชุมชนชาวไทยในบาห์เรน



สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมานามา ประเทศบาห์เรน ได้ออกประกาศ ด่วน เตือนคนไทยในประเทศบาห์เรนโดยอ้างแหล่งข่าวว่า ฝ่ายค้านบาห์เรนกำลังวางแผนที่จะชุมนุมประท้วงอย่างกว้างขวางทั่วทั้งประเทศบาห์เรนรวมทั้งกรุงมานามา ในวันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม 2554 ผู้ชุมนุมมีแผนจะนั่งประท้วงตามทางแยกบริเวณห้างสรรพสินค้า Seef Mall โดยผู้ประท้วงจะเดินมารวมตัวกันจากพื้นที่ใกล้เคียง อาทิ Sanabis; al-Daih และ Karbabad นอกจากนี้ ผู้ประท้วงจะปิดกั้นถนนและทางแยกหลักๆ ในเมืองหลวง บริเวณที่ทำการรัฐบาลและพระราชวัง รวมทั้งเขตคณะทูตตลอดทั้งวัน โดยคาดว่าจะมีการปิดกั้นถนนสายหลักและทางหลวงทั่วประเทศตลอดสายด้วย ผู้ประท้วงจะใช้วิธีการหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้วหันกลับมาปิดกั้นถนนซ้ำอีกเป็นเช่นนี้เรื่อยไป คาดว่าผู้ประท้วงจะไม่ปิดกั้นถนนในเขตที่ตั้งของโรงพยาบาลและคลินิก

ในวันเดียวกัน เวลาประมาณ 15.00 น. ผู้ประท้วงมีแผนจะนำรถยนต์ประมาณพันคันออกมาปิดกั้นบริเวณ Pearl Roundabout เดิม ที่ผู้ชุมนุมเรียกชื่อว่าถนน "กุมภาพันธ์ 14" (หรือที่เรียกว่าถนน Shaikh Khalifa Bin Salman)

สถานเอกอัครราชทูตฯ จึงขอให้คนไทยในบาห์เรนหลีกเลี่ยงการเดินทางสัญจรไปมาในเขตดังกล่าวและระมัดระวังตัวเป็นพิเศษในช่วงวันดังกล่าวด้วย

ที่มา : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมานามา

วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2554

หญิงไทยถูกจับกุมข้อหาลักลอบขนยาเสพติดที่อาร์เจนตินา

สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา ได้รายงานกรณีหญิงไทยถูกจับกุมข้อหาลักลอบขนยาเสพติด เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2554 ที่ท่าอากาศยานกรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา
หญิงไทยถูกจับกุมตัวระหว่างรอเดินทางกลับประเทศไทย เนื่องจากมีโคเคอีนซุกซ่อนอยู่ในสัมภาระ นอกจากนี้ เมื่อเดือนสิงหาคม 2554 ที่ผ่านมา ยังเกิดกรณีหญิงไทยเสียชีวิตเนื่องจากพยายามกลืนแคปซูลที่บรรจุโคเคน ทำให้แคปซูลบางเม็ดแตกอยู่ในท้อง จนเป็นเหตุให้เสียชีวิตในที่สุด
ปัจจุบันมีนักโทษหญิงไทยถูกจับกุมข้อหาลักลอบขนยาเสพติดเข้าประเทศอาร์เจนตินาจำนวน 12 คน และยังมีในประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคลาตินอเมริกา ที่มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความรุนแรงของปัญหาที่คนไทยตกเป็นเหยื่อในขบวนการค้ายาเสพติด

ที่มา : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบัวโนสไอเรส
กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ

คนไทยถูกจำคุกในบาห์เรน


เมื่อวันที่ 3 และ 6 ตุลาคม 2554 เจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมานามา ประเทศบาห์เรน ได้เดินทางไปเยี่ยมผู้ต้องขังไทยในประเทศบาห์เรน ที่เรือนจำ Isa ซึ่งมีผู้ต้องขังหญิงสัญชาติไทยจำนวน 19 คน และที่เรือนจำ Jau มีผู้ต้องขังชายสัญชาติไทย จำนวน 2 คน
สตรีไทยในบาห์เรนมักถูกจับและดำเนินคดีในข้อหาค้าประเวณี หรือสมรู้ร่วมคิดในการจัดหาและอำนวยความสะดวกการค้าประเวณี เสพยาเสพติด และอยู่เกินวีซ่ากำหนด (over-stay) สำหรับข้อหาของชายไทยที่ถูกจำคุกในบาห์เรน คือ ข้อหาค้ายาเสพติด และฆาตกรรม
ปัจจุบันมีคนไทยเดินทางเข้าออกประเทศบาห์เรนเป็นจำนวนมาก เนื่องจากบาห์เรนเป็นประเทศเดียวในกลุ่มประเทศคาบสมุทรอาหรับที่อนุญาตให้ผู้ถือหนังสือเดินทางไทยสามารถพำนักในบาห์เรนได้ เป็นเวลา 30 วัน โดยไม่ต้องขอวีซ่า อีกทั้งนโยบายหลักของบาห์เรนที่ต้องการเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว ธุรกิจและการลงทุนจากต่างประเทศของภูมิภาค จึงทำให้บาห์เรนกลายเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวในภูมิภาคอาหรับได้เป็นอย่างดี และในปัจจุบันมีแรงงานไทยทำงานในประเทศบาห์เรนประมาณ 3,000 คน


ที่มา : ข้อมูลจากสถานเอกอัคคราชทูต ณ กรุงมานามา
กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ

วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2554

คำแนะนำการเดินทางไปประเทศกรีซ





ด้วยในขณะนี้ มีการประกาศนัดหยุดงานประท้วงรัฐบาลกรีซของสหภาพแรงงานข้าราชการและรัฐวิสาหกิจอยู่เนืองๆ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการเดินทางของนักท่องเที่ยวทั้งทางบก ทางน้ำและทางอากาศ สถานเอกอัครราชทูต(สอท.) ขอแนะนำให้ผู้ที่ประสงค์จะเดินทางมายังกรีซโปรดตรวจสอบข้อมูลก่อนการเดินทางได้ที่http://www.apergia.gr/index.php (ภาษากรีก) หรือสอบถามได้ที่ สอท.ฯ ส่วนการนัดหยุดงานของศูนย์ควบคุมการบินกรีซดูได้ที่ http://www.eeeke.gr/index_files/ENGLISH_HOME.htm

ตารางการนัดหยุดงานในเดือนตุลาคม 2554
13 ตุลาคม - หยุดงาน 24 ชม. รถเมล์ รถไฟฟ้า รถราง รถไฟใต้ดิน (ยกเว้นแท็กซี่)
14 ตุลาคม - หยุดงาน 24 ชม. รถเมล์ รถไฟฟ้า รถราง รถไฟใต้ดิน
17 ตุลาคม - หยุดงาน 24 ชม. ขนส่งทางน้ำ (เรือโดยสาร เรือท่องเที่ยว)
18 ตุลาคม - หยุดงาน 24 ชม. ขนส่งทางน้ำ (เรือโดยสาร เรือท่องเที่ยว)
- หยุดงาน 48 ชม. ด่านตรวจสินค้า กรมศุลกากร การรถไฟ (ไป ต.จ.ว)
19 ตุลาคม - หยุดงาน 24 ชม. สหภาพข้าราชการ (รวมพิพิธภัณฑ์ และแหล่งท่องเที่ยว เช่น Acropolis และรัฐวิสาหกิจ รวมขนส่งมวลชน (รถเมล์ รถไฟฟ้า รถราง รถไฟใต้ดิน)
- หยุดงาน 48 ชม. ด่านตรวจสินค้า กรมศุลกากร

ที่มา : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเอเธนส์

Website : http://www.thaiembassy.org/athens

วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2554

คนไทยถูกตำรวจอียิปต์จับกุมข้อหาวีซ่าปลอม





คนไทยถูกตำรวจอียิปต์จับกุมข้อหาวีซ่าปลอม

มีรายงานจากสถานเอกอัครราชทุต ณ กรุงไคโร แจ้งว่าเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองอียิปต์จับกุมตัวคนไทย 2 คน ซึ่งทำงานอยู่ที่เมือง Hurghad ในข้อหาปลอมแปลงตราประทับวีซ่า เนื่องจากพบวีซ่าทำงานและวีซ่าผู้ติดตามนักศึกษามหาวิทยาลัย Al Azhar อยู่ในเล่มเดียวกัน ซึ่งปกติไม่สามารถทำได้

สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้ประสานกับอัยการและเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของอียิปต์ รวมทั้งสอบถามข้อเท็จจริงกับคนไทยทั้งสองคน ได้ความว่า บุคคลทั้งสองเข้าประเทศอียิปต์โดยวีซ่าท่องเที่ยว และได้จ้างคนไทยคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในกรุงไคโรเป็นผู้ดำเนินการขอวีซ่าเพื่อทำงานในอียิืปต์โดยจ่ายเงินเป็นค่าดำเนินการถึง 400-800 ดอลลาร์สหรัฐ แต่แทนที่จะได้วีซ่าทำงาน กลายเป็นวีซ่าผู้ติดตามนักศึกษามหาวิทยาลัย Al Azhar ซึ่งถูกเลิกใช้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2008 วีซ่าดังกล่าวเป็นภาษาอาหรับ คนไทยทั้งสองคนจึงไม่รู้ว่าเป็นวีซ่าผิดประเภท และเมื่อถึงเวลาต่ออายุก็ได้ไปติดต่อกับตรวจคนเข้าเมืองอียิปต์เพื่อขอต่ออายุวีซ่าทำงานจึงได้ถูกเจ้าหน้าที่พบเห็นวีซ่าประเภทติดตามนักศึกษาดังกล่าว จึงได้ควบคุมตัวและตั้งข้อหาปลอมแปลงตราประทับวีซ่า แต่ก็ได้ปล่อยตัวชั่วคราวและจะเรียกคนไทยทั้งสองมาสอบสวนเพิ่มเติมพร้อมกับติดตามตัวนายหน้าคนไทยที่รับดำเนินการเรื่องนี้ให้มาสอบปากคำด้วย

ในเรื่องนี้ สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้มอบหมายให้นายชัยณรงค์ กีรติยุตวงศ์ อัครราชทูต เดินทางไปเมือง Hurghada เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมและหาทางช่วยบุคคลทั้งสอง ทราบว่ามีคนไทยในเมือง Hurghada อีกหลายรายที่ใช้วีซ่าผู้ติดตามเช่นเดียวกัน โดยได้ให้นายหน้ารายเดียวกันเป็นผู้ดำเนินการให้ สถานเอกอัครราชทูตฯ จึงได้แนะนำให้ผู้ที่มีวีซ่าไม่ถูกต้องใช้โอกาสในการเดินทางกลับประเทศไทยช่วงพักร้อนประจำปีดำเนินการขอวีซ่าทำงานจากสถานทูตอียิปต์ในประเทศไทยให้ถูกต้อง แต่ได้รับแจ้งว่ามีอุปสรรคสำคัญ 2 ประการคือนายจ้างอียิปต์ไม่ให้ความร่วมมือในการดำเนินการขอวีซ่าทำงาน และขั้นตอนการขอวีซ่าทำงานที่สถานทูตอียิปต์ในประเทศไทยมีขั้นตอนที่ยุ่งยาก ทางสถานเอกอัครราชทูตฯ จึงจะประสานกับฝ่ายอียิปต์เพื่อแก้ไขปัญหานี้ต่อไปเพื่อไม่ให้คนไทยรายอื่นๆ ต้องถูกจับกุมดังเช่นกรณีคนไทย 2 ราย ดังกล่าว รวมทั้งจะดำเนินการกับนายหน้าคนไทยที่สร้างปัญหาให้กับคนไทยด้วยกันด้วย

เรื่องนี้นับเป็นอุทธาหรณ์อีกกรณีหนึ่งที่กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศได้เพียรพยายามตักเตือนคนไทยที่จะไปทำงานในต่างประเทศให้ดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางไปทำงานด้วยตัวเองหรือมีบริษัทจัดหางานเป็นผู้ดำเนินการให้ จะต้องมีสัญญาจ้างงานที่ผ่านการรับรองจากกระทรวงแรงงานและสถานทูต/สถานกงสุล ของไทยในต่างประเทศก่อน จากนั้นจึงจะไปขอวีซ่าให้ถูกต้องถูกประเภท ถึงแม้ว่าการดำเนินการให้ถูกต้องนั้นจะใช้เวลาและมีขั้นตอนมาก ก็ต้องทำ มิฉะนั้นท่านจะต้องไปประสบกับปัญหาในต่างประเทศอย่างแน่นอน ควรคิดให้ดีว่า ท่านต้องการไปทำงานหาเงิน ไม่ได้ต้องการไปประสบปัญหาจนถึงขั้นถูกจับกุมและอาจถูกส่งตัวกลับประเทศไทย ดังนั้น จึงต้องดำเนินการให้ถูกต้องจะได้ไม่ไปมีปัญหา ไม่ได้ทำงาน ไม่ได้เงิน แถมบางทีอาจถูกจับเข้าคุกอีกด้วย

ที่มา : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงไคโร
: กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ

การประชุมชี้แจงการต่อต้านการค้ามนุษย์ของมาเลเซีย



การประชุมชี้แจงการต่อต้านการค้ามนุษย์ของมาเลเซีย

เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2554 กระทรวงมหาดไทยของประเทศมาเลเซีย ได้จัดการบรรยายสรุปเพื่อร่วมมือหารือมาตรการการต่อต้านการค้ามนุษย์กับประเทศออสเตรเลีย อังกฤษ ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา กัมพูชา และไทย เพื่อเพิ่มเติมบทบัญญัติกฎหมายต่อต้านการค้ามนุษย์ให้คลอบคลุมและมีโทษหนักขึ้น เช่น การลักลอบนำคนต่างด้าวเข้าเมือง ซึ่งคนต่างด้าวที่ตกเป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์นั้น มีอัตราการเพิ่มขึ้นอย่างมากในปัจจุบัน

โดยมาเลเซียได้เน้นมาตรการสำคัญ 3 ประการ คือ 1. Prosecution การนำผู้กระทำผิดเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์มาลงโทษตามกฎหมาย 2. Protection ให้ความคุ้มครองเหยื่อการค้ามนุษย์และปัญหาลักลอบนำคนต่างด้าวเข้าเมือง 3. Prevention and Awareness ร่วมมือกับหน่วยงานรัฐของบาลและเอกชนในการหาแนวทางเพื่อแก้ปัญหาการค้ามนุษย์ในเชิงป้องกัน โดยใช้สื่อต่างๆในการเผยแพร่ความรู้

สำหรับการจัดกลุ่มประเทศเกี่ยวกับการจัดการปัญหาการค้ามนุษย์ของสหรัฐอเมริกานั้นมาเลเซียอยู่อยู่ในกลุ่มเดียวกับไทย (Tier 2) แต่อยู่ในอันดับที่ต่ำกว่า เพราะมาเลเซียเป็นประเทศทางผ่าน และปลายทางของขบวนการค้ามนุษย์

ปัจจุบันในประเทศมาเลเซียมีแรงงานต่างด้าวทั้งชายและหญิงได้ตกเป็นเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์จาก 20 ประเทศ เป็นจำนวน 2,151 คน โดยผู้ชายจะถูกเอาเปรียบในเรื่องของแรงงาน และผู้หญิงถูกเอาเปรียบเรื่องของแรงงานและเพศ

แรงงานไทยที่สนใจจะเดินทางไปทำงานในต่างประเทศ ควรต้องมีการศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับประเทศปลายทางและข้อมูลของนายจ้าง เพื่อปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ของตนเอง

ที่มา : กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ กรมการกงสุล

นักออกแบบไทยสร้างชื่อเสียงให้ประเทศในงานแสดงออกแบบหัตถกรรมนานาชาติที่ไต้หวัน







ความสามารถของคนไทยในด้านต่างๆ ได้ปรากฏสู่สายตาชาวต่างชาติมาเป็นระยะๆ ล่าสุดนักออกแบบไทยสองคน นายเอกรัตน์ วงษ์จริต และนายวินัย ฉัยรักษ์พงศ์ นักออกแบบนิทรรศการ ได้สร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทยอีกครั้ง โดยคูหาไทยที่ทั้งสองได้จัดเข้าร่วมแสดง ภายใต้หัวข้อ “Slow Hand Design and the Heart Value of Thai Crafts Design” ได้รับรางวัลชนะเลิศภาพลักษณ์ยอดเยี่ยม (Image Award) ซึ่งเป็นรางวัลสูงสุด ในงานเอ๊กซโปการออกแบบโลก ปี 2554 – การแสดงออกแบบหัตถกรรมนานาชาติ (2011 Taipei World Design Expo - International Craft Design Exhibition) ที่ไทเป ไต้หวัน


ในงานประกาศผลการตัดสิน เมื่อค่ำวันที่ 30 กันยายน 2554 นายวิบูลย์ คูสกุล ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานการค้าและเศรษฐกิจไทย ไทเป ได้กล่าวภายหลังที่ นางกิตติมา วีระชาติกุล ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ เป็นผู้แทนนักออกแบบขึ้นรับรางวัลดังกล่าว โดยผู้อำนวยการใหญ่ได้ขอบคุณผู้จัดงาน ที่ยอมรับผลงานการออกแบบของไทยและเปิดโอกาสให้ประเทศไทยได้แสดงความรู้และความเข้มแข็งในด้านนี้ออกมา รางวัลภาพลักษณ์ที่ไทยได้รับ แสดงให้ทั่วโลกได้เห็นถึงคุณค่าและความเป็นไทยที่มีขนบธรรมเนียบประเพณี และศิลปะอันงดงาม นักออกแบบไทยได้ใช้ศิลปะ วัฒนธรรม และหัตถกรรมดั้งเดิมที่สืบทอดกันมาหลายยุคหลายสมัย มาประยุกต์ร่วมกับการออกแบบและเทคนิคการผลิตที่ทันสมัย กลายมาเป็นสินค้าที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น เป็นที่ชื่นชอบของคนสมัยใหม่


กรมส่งเสริมการส่งออก ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ไทเป เป็นผู้เข้าร่วมงานนี้ ซึ่งจัดโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาหัตถกรรมแห่งชาติไต้หวัน ระหว่างวันที่ 30 กันยายน - 30 ตุลาคม 2554 ได้เชิญประเทศต่างๆ กว่า 30 ประเทศเข้าร่วมแสดงผลงานการออกแบบ ทั้งนี้ ในส่วนของ International Craft Design Exhibition มีผลงานจาก 7 ประเทศมาร่วมแสดง คือ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เดนมาร์ก ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา ไต้หวัน และไทย สำหรับรางวัลอื่นๆ และผู้ได้รับรางวัล ได้แก่ Theme Award (จากผลงาน Tangled Chair) ของฝรั่งเศส Creativity Award (จากผลงาน Surface Tension) ของญี่ปุ่น และ Shape Design Award (จากผลงาน Blue Bowl) ของญี่ปุ่น


ที่มา : สำนักงานการค้าและเศรษฐกิจไทย ไทเป