วันพุธที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

แรงงานไทย 21 คน ถูกลอยแพในมาเลเซีย


ไม่น่าเชื่อว่า พ.ศ. นี้ ยังจะมีคนไทยถูกหลอกไปทำงานในต่างประเทศอยู่อีก

ท่านอัครราชทูตที่ปรึกษา สมพงษ์ กางทอง ปฎิบัติหน้าที่กงสุลไทยในประเทศมาเลเซีย รายงานเข้ามาว่า เมื่อวันที่ 14 พ.ค. 55 ได้รับโทรศัพท์จากแรงงานไทยคนหนึ่ง ขอให้ช่วยเหลือตนและเพื่อนคนงานอีก 20 คน ที่ถูกหลอกให้ไปทำงานในมาเลเซีย แต่พอไปถึงไม่มีงานทำ ต้องไปเก็บผักและจับสัตว์ตามป่ามาประกอบอาหารกินประทังชีวิต

จากการสอบถามรายละเอียดได้ความว่า คนงานทั้ง 21 คน (ส่วนใหญ่เป็นพี่น้องแรงงานจากภาคอีสาน) ได้รับการติดต่อจากบริษัทกันตาเทรดดิ้ง ตั้งอยู่ที่จังหวัดระยอง อ้างว่ามีตำแหน่งงานก่อสร้างในมาเลเซีย รายได้ดี (120 บาท/ชั่วโมง) และมีค่าล่วงเวลา (โอ.ที) ทั้ง 21 คน ซึ่งมีประสบการณ์เคยไปทำงานในต่างประเทศกันมาแล้วทุกคน ฟังแล้วก็เคลิ้มตามหลงเชื่อโดยง่าย ทางบริษัทจึงพาไปทดสอบฝีมือและจัดการเดินทางให้โดยไม่ได้มีการทำวีซ่าหรือขอใบอนุญาตทำงานให้แต่อย่างใด เพียงแต่นัดหมายให้ไปพบกันที่สถานีขนส่งสายใต้ และยังถูกนายหน้าเรียกเก็บเงินเพิ่มอีกคนละ 12,000 บาท อ้างว่าเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางข้ามแดน นายหน้าบอกกับแรงงานว่า พอไปถึงมาเลเซียจะมีผู้แทนจากบริษัทนายจ้างมารับที่ด้านสุไหงโกลกและพาไปที่ไซต์งาน

คนงานทั้ง 21 คน  เดินทางถึงมาเลเซียเมื่อวันที่ 7 พ.ค. 55 มีคนไปรับที่ด่านฝั่งมาเลเซียและเรียกเก็บเงินอีกคนละ 14,000 บาท หลังจากจายเงินไปจนหมดตัวหน้าซีดหน้าเซียวแล้ว นายหน้าฝั่งมาเลเซียที่เพิ่งรับทรัพย์จนหน้าใสก็พาคนงานหน้าซีดทั้ง 21 คน ไปทิ้งไว้ที่บ้านร้างริมทะเลแห่งหนึ่งในเมืองกวนตัง รัฐปาหัง และปล่อยให้คนงานพักผ่อนตากอากาศริมทะเลอยู่อย่างนั้น ไม่มีใครดูแลต่อ คนงานจึงต้องเก็บผักและล่าสัตว์มาประกอบอาหารกินประทังชีวิต เพราะถูกรีดเงินจนไม่เหลือไว้ใช้

หลายวันต่อมา นายหน้าก็กลับมาหาพร้อมกับบอกว่าบริษัทที่ว่าจะให้ไปทำงานด้วยไม่มีงานให้ทำแล้ว แต่จะพาไปทำงานอีกที่หนึ่งซึ่งเป็นบริษ้ทรับเหมาก่อสร้างขนาดใหญ่ใกล้ๆ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ว่าแล้วก็พาคนงานทั้งหมดนั่งรถยนต์ต่อมาถึงเขตราวัง ย่านชานเมือง แต่ก็ยังต้องพักอาศัยกันอยู่ในบ้านร้างเหมือนเดิม มาจนถึงตอนนี้ พวกคนงานเริ่มเชื่อแล้วว่ากำลังถูกหลอกแน่นอน จึงได้ติดต่อขอให้สถานทูตให้ความช่วยเหลือ

ท่านกงสุลสมพงษ์ฯ พร้อมด้วยท่านอัครราชทูตที่ปรึกษาฝ่ายแรงงาน ได้เดินทางไปยังเขตราวังเพื่อให้ความช่วยเหลือ และเมื่อไปถึงก็ได้พบกับนายหน้าที่กำลังนำรถมารับคนงานไปพักที่อื่น คนงานทั้งหมดไม่เชื่อนายหน้าอีกต่อไป และขอให้นายหน้าคืนเงินให้เพื่อจะเดินทางกลับประเทศไทย ท่านสมพงษ์ และผู้ช่วยทูตฝ่ายแรงงานก็ได้ช่วยเจรจาให้นายหน้าคืนเงินให้คนงาน ในที่สุด นายหน้ายอมคืนให้คนละ 7,000 บาท แต่ยังมีคนงาน 6 คน ยังจะขอตามนายหน้าไปทำงานอ้างว่าได้กู้หนี้ยืมสินมาเป็นจำนวนมากเป็นค่าใช้จ่าย หากกลับไปตอนนี้จะไม่มีเงินไปใช้หนี้ จึงต้องยอมเสี่ยงไปกับนายหน้ารายนี้ต่อไป ส่วนคนอื่นๆ สถานทูตก็ได้ช่วยเหลือให้เดินทางกลับประเทศไทยหมดทุกคนแล้ว

ในเรื่องนี้ ท่านกงสุลสมพงษ์ฯ ยังได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า จากการตรวจสอบกับบริษัทที่นายหน้าอ้างว่าจะพรคนไทยมาทำงานด้วย พบว่า บริษัทนี้มีตัวตนอยู่จริง และได้รับสัมปทานก่อสร้างเหมืองแร่จริง และต้องการแรงงานจริง แต่เชื่อว่ามีขบวนการนายหน้าสวมรอยจัดหาแรงงานส่งไปโดยไม่ถูกต้องและส่งต่อให้บริษัทอื่นๆ โดยได้ค่านายหน้าตามที่คนงานจ่ายไปและอ้างว่าเมื่อเดินทางถึงจะขอวีซ่าทำงานให้ ซึ่งตามกฎหมายมาเลเซีย แรงงานที่ถูกต้องจะต้องได้รับหนังสือขอวีซ่า (Calling Visa) จากนายจ้างก่อน จากนั้นจึงไปยื่นขอวีซ่าจากสถานทูตมาเลเซียในไทยแล้วจึงจะเดินทางไปทำงานในมาเลเซียได้ ท่านสมพงษ์ฯ ยังฝากเตือนมาด้วยว่า ขบวนการนายหน้าเถื่อนยังใช้วิธีนี้ในการหาคนไปทำงานในเรือประมงโดยนายหน้าจะได้ค่าหัว 3-4 หมื่นบาทต่อคน ซึ่งถ้าใครโชคร้ายไปหลงเชื่อถูกส่งลงเรือประมงแล้วละก็ จะถูกใช้งานเยี่ยงทาสและไม่ได้ขึ้นฝั่งเลย บางทีอาจจะถูกขายไปให้เรือลำอื่นๆ อีก ปัจจุบัน มีการขอให้สถานทูตติดตามหาญาติที่ไปทำงานในมาเลเซียและไม่ติดต่อกลับมาเลย ซึ่งก็น่าจะเป็นผู้เคราะห์ร้ายที่ถูกส่งตัวไปทำงานในเรือประมงนั่นเอง

ทั้งที่มีการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการไปทำงานต่างประเทศอย่างสม่ำเสมอ ก็ยังมีคนที่คอยหลอกคน และคนที่พร้อมจะถูกคนหลอก คนที่ยอมเสี่ยงไปทำงานต่างประเทศทั้งที่รู้ว่าไม่ถูกต้อง
เรื่องแบบนี้ คงได้แต่ทำใจ

ที่มา : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์
        : กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
         กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น