วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

2 หมอนวดไทยถูกส่งไปปล่อยเกาะที่มาเลเซีย

ส่งข่าวมาอีกครั้ง สำหรับท่านสมพงษ์ กางทอง อัครราชทูตที่ปรึกษา สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย คราวนี้ท่านสมพงษ์ฯ แจ้งมาว่าเมื่อวันที่ 19 พ.ย. 55 ได้รับโทรศัพท์จากหญิงไทยรายหนึ่งบอกว่า ตนและเพื่อนอีกคนหนึ่งถูกหลอกไปทำงานนวดอยู่ที่รีสอร์ทที่ตั้งอยู่บนเกาะแห่งหนึ่งในมาเลเซีย ไม่สามารถออกมาจากเกาะนี้ได้ และไม่รู้ว่าเกาะนี้ชื่ออะไร อยู่ที่ส่วนไหนของมาเลเซีย ( นี่แหละคนไทย ใครพาไปไหนก็ไป ไม่มีความรู้อะไรเลยเกี่ยวกับประเทศหรือที่ๆ ตัวจะไป )

เจอเข้าไปแบบนี้ ท่านสมพงษ์ฯ ถึงกับอึ้งไปหลายนาที ประเทศมาเลเซียก็กว้างใหญ่ไพศาล มีเกาะมากมายเป็นพันๆ เกาะ แล้วจะไปตามหาได้ที่ไหน ก็เลยต้องเล่นบทนักสืบ 007 ใช้วิธีให้เธอค่อยๆ นึกว่าเธอเดินทางจากเมืองไทยไปถึงเกาะนั่นได้อย่างไร จำชื่ออะไรได้บ้าง และรีสอร์ทที่ทำงานอยู่ชื่ออะไร จนในที่สุดก็ได้ความว่า เธอและเพื่อนอยู่ที่รีสอร์ทบนเ้กาะ Pom Pom ในเขตทะเล Celebes รัฐซาบาห์ ติดกับเขตแดนประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเกาะนี้นักธุรกิจชาวมาเลย์ได้รับสัมปทานสร้างรีสอร์ทหรูขึ้นเพียงแห่งเดียว บนเกาะไม่มีบ้านเรือนผู้คน ไม่มีอาคารร้านรวงอื่นๆ ทั้งสิ้น ผู้ที่จะเข้าไปที่เกาะนี้คือนักท่องเที่ยวที่ซื้อทัวร์โดยจะมีรถไปรับถึงสนามบินเมืองดาเวาเพื่อมาลงเรือของรีสอร์ท ไม่มีเรืออื่นและไม่มีใครอื่นจะเดินทางเข้า-ออกเกาะแห่งนี้ได้ ถ้าไม่ได้รับอนุญาต


พอทราบพิกัดที่ตั้งของรีสอร์ทที่มีคนไทยอ้างว่าถูกหลอกไปปล่อยไว้แล้ว ท่านสมพงษ์ฯ ก็ไม่รอช้าโทรศัพท์หาผู้จัดการรีสอร์ทแห่งนั้นทันทีเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าเรื่องราวเป็นยังไงกันแน่  ซึ่งทางผู้จัดการก็ยืนยันว่าไม่ได้หลอกลวงหมดนวดไทยทั้ง 2 รายแต่อย่างใดเลย ทางรีสอร์ทได้รับการแนะนำจากร้านนวดแห่งหนึ่งในจังหวัดภูเก็ตว่ามีหมดนวดไทย 2 คน มีประสบการณ์เคยนวดที่ประเทศเกาหลีใต้มาก่อนสนใจจะทำงานนวดในประเทศมาเลเซีย ทางรีสอร์ทจึงเสนอเงินเดือนให้ขั้นต้น 1,000 ริงกิต (ประมาณ 10,000 บาท ) และค่าส่วนแบ่งจากการนวดอีก 10 % และยังได้บอกให้ทราบก่อนแล้วว่ารีสอร์ทตั้งอยู่ห่างไกลจากกัวลาลัมเปอร์และอยู่บนเกาะ หมอนวดไทยทั้ง 2 คน ก็ยังสนใจและตกลงจะเดินทางไปทำงาน ทางรีสอร์ทจึงออกค่าใช้จ่ายในการเดินทางให้ก่อนคนละประมาณ 3,000 ริงกิต (ประมาณ 30,000 บาท ) ทางรีสอร์ทก็มีที่พัก อาหารให้ตามปกติ ไม่ได้กักขังให้ต้องทนทุกข์ทรมานแต่อย่างใด

ผู้จัดการรีสอร์ทชี้แจงแถลงไขด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยพอใจที่มีสถานทูตเข้ามายุ่มย่ามและบอกด้วยว่าหากหมอนวดไทยทั้งคู่นี้กล่าวอ้างว่าถูกหลอกก็ทำให้ทางรีสอร์ทต้องเสื่อมเสียและคงจะทำงานด้วยกันต่อไปลำบาก ก็ยินดีที่จะส่งกลับประเทศไทยแต่ขอให้ทั้งคู่ชำระหนี้ค่าเดินทางคืนให้ครบก่อน และโดยที่วีซ่าของหมอนวดทั้งสองคนมีอายุถึงวันที่ 5 ธันวาคม 2555 ก็อาจจะยังคงทำงานต่อไปเพื่อจะมีรายได้มาชำระหนี้และเป็นค่าเดินทางกลับเมืองไทย
เมื่อเรื่องกลับกลายเป็นแบบนี้ คนไทยไม่ได้ถูกหลอก ท่านสมพงษ์ฯ ก็ต้องหน้าแหกไปตามระเบียบ เลยต้องตีหน้าเศร้า สวมบทนักแสดงออดอ้อนผู้จัดการรีสอร์ทขอให้เมตตาหมอนวดไทยทั้งสองคนที่เป็นคนบ้านนอกไม่มีความรู้ ฐานะทางบ้านก็ยากจนต้องรับภาระดูแลครอบครัวอีกหลายปากหลายท้อง เป่าคาถามหาระรวยอยู่พักใหญ่ผู้จัดการก็เริ่มเสียงอ่อนรับจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยตามที่ขอ และจะจัดให้ทั้งคู่เดินทางออกจากมาเลเซียก่อนที่วีซ่าจะหมดอายุด้วย และโดยที่วีซ่าของหมอนวดทั้งสองคนมีอายุถึงวันที่ 5 ธันวาคม 2555 ก็จะให้ทั้งคู่ทำงานต่อไปเพื่อจะมีรายได้มาชำระหนี้และเป็นค่าเดินทางกลับเมืองไทย ท่านสมพงษ์ฯ เห็นว่าน่าจะเป็นข้อเสนอและเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเรื่องนี้ซึ่งหมอนวดทั้งคู่เองก็บอกว่ารับได้จึงจะว่าไปตามนั้น คือทำงานต่อไปจนถึงวันที่ 5 ธันวาคม 2555 เพื่อหารายได้เป็นค่าใช้จ่ายและใช้หนี้กับทางรีสอร์ท

ฟังแล้วก็ให้เหนื่อยแทนท่านสมพงษ์ฯ  ( รวมทั้งบรรดากงสุลทั้งหลายที่ประจำการอยู่ตามประเทศต่างๆ ด้วย ) ปัญหาหญิงไทยตกทุกข์ในมาเลเซียเป็นปัญหาซ้ำซากไม่มีแนวโน้มจะลดลงแต่อย่างใด ในเดือนตุลาคม 2555 มีคนไทยถูกจับกุม 129 คน เป็นหมอนวด 30 คน ทั้งหมดคิดอยู่อย่างเดียวว่า " จะได้เงินมากกว่าทำงานนวดในประเทศ ไทย " โดยไม่ได้ศึกษาทำความเข้าใจ ไม่คิดถึงความเสี่ยง ไม่มีข้อมูลของสถานที่ๆ จะไป บางคนแย่มากๆ ตรงที่ " รู้ทั้งรู้ " ก็ยังยอมเสี่ยง บางคน " เคยรับทราบถึงการเตือนภัย " ที่มีการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์กันมาตลอด แต่ก็ยังคิดแต่เพียงว่าตัวเองจะไม่โดนจับกุมหรือไม่ประสบกับตนเอง
ปัจจุบันมีหลายหน่วยงานโดยเฉพาะอย่างยิ่งตามต่างจังหวัดช่วยกันส่งเสริมอาชีพนวดแผนไทยเพื่อให้เป็นอาชีพเสริมในการหาเลี้ยงครอบครัว มักชอบยกตัวอย่างคนที่ไปทำงานนวดในต่างประเทศแล้วมีรายได้มาก ซึ่งเป็นการสร้างค่านิยมและให้ข้อมูลที่ผิดๆ กับประชาชน เพราะไม่เคยให้ข้อเท็จจริงว่าไปนวดอย่างไร สภาพชีวิตในต่างประเทศลำบากอย่างไร บางรายตัวเองเป็นหมอนวดอยู่แล้วและชักนำให้คนอื่นไปทำงานด้วยก็เพียงเพราะหวังจะได้ค่านายหน้าเท่านั้น เมื่อไปถึงแล้วพบว่ารายได้จากการนวดไม่ได้มากอย่างที่คิดไว้ บางคนทนไม่ได้ก็ต้องดิ้นรนกลับบ้านซึ่งก็เป็นการผิดสัญญาเพราะยังทำงานไม่ครบตามเวลาก็ต้องลำบากแก่สถานทูตออกหน้าไปเจรจาให้โดยที่ทำอะไรไม่ได้มากเพราะเราเป็นฝ่ายผิดสัญญาเอง มีหลายรายต้องจำใจยอมนวดแบบมีบริการเสริมพิเศษด้วย


เรื่องราวทำนองนี้มักจะเกิดขึ้นเสมอๆ สำหรับคนไทยที่ไปทำงานในต่างประเทศที่ไม่ได้ศึกษาหาข้อมูลให้ดีเสียก่อนที่จะเดินทางไป คิดเอาแต่จะได้ถ่ายเดียว ไม่เฉลียวใจฉุกคิดสักนิดว่าไปแล้วจะต้องเจออะไรบ้าง และไม่ยอมที่จะทำความเข้าใจว่า ขึ้นชื่อว่านายจ้าง ไม่ว่าจะเป็นชาติใดในโลกล้วนแต่เป็นคนที่คิดแต่เรื่องผลประโยชน์ทั้งสิ้น หวังแต่จะหาผลประโยชน์ทางธุรกิจกันทั้งนั้น อะไรที่เอาเปรียบได้ก็จะไม่รีรอที่จะทำ ถ้าไม่ได้ก็จะไม่ยอมเสีย อย่างเช่นกรณีนายจ้างรายนี้ที่ถือได้ว่าใจดีมากแล้วที่ยอมให้หมอนวดทั้งคู่อยู่ทำงานต่อไปได้แต่ก็เพื่อจะหารายได้มาชำระหนี้คืนให้เขาเท่านั้น เห็นมั๊ยว่านักธุรกิจเมื่อไม่ได้ก็ต้องไม่เสียด้วย

เรื่องนี้ก็ให้เห็นใจท่านสมพงษ์ฯ ที่ต้องทำทุกอย่าง เล่นทุกบทเพื่อจะช่วยเหลือคนไทยทุกคนเท่าที่จะทำได้ ไม่ว่าคนไทยนั้นจะอยู่ในสถานะใด ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายถูกหรือผิด ไม่ว่าจะไปกระทำหรือเป็นฝ่ายถูกกระทำ กงสุลก็ต้องพลิกบทบาทไปตามสถานการณ์เพื่อหาทางช่วยให้คนไทยพ้นจากการตกทุกข์ได้ยากในต่างประเทศให้ได้

ที่มา : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์
        : กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
          กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ
 




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น