วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ขบวนการปลอมวีซ่ามาเลเซีย


"งานเข้า" อย่างต่อเนื่องสำหรับท่านสมพงษ์ กางทอง อัครราชทูตที่ปรึกษา สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ คราวนี้มีหญิงไทย 3 คน หนีนายจ้างมาขอความช่วยเหลือให้ส่งตัวกลับประเทศไทย

จากการสอบปากคำหญิงไทยทั้ง 3 คน ทราบว่า ทั้ง 3 คน ได้รับการติดต่อให้ไปทำงาานนวดที่ร้าน Thai Traditional Massage เมือง Segamat ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ประมาณ 250 กิโลเมตร โดยมีนายหน้าจัดทำวีซ่าเข้ามาเลเซียให้โดยได้จ่ายเงินให้นายหน้าไปคนละ 5,000 บาท และพวกตนรอรับหนังสือเดินทางพร้่อมวีซ่าอยู่ที่อ.สะเดา จ. สงขลา เวลาผ่านไป 3 วัน นายหน้านำหนังสือเดินทางกลับคืนมาให้พร้อมวีซ่าเข้ามาเลเซีย พวกเธอทั้ง 3 คนจึงได้เดินทางเข้าประเทศมาเลเซียเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2555 และทำงานที่ร้านดังกล่าวโดยได้เงินเดือนประมาณ 12,000 บาท

แต่ทำงานไปได้เพียง 4 วัน ก็โดนคุณโปลิสเข้าตรวจจับ รวบตัวหญิงไทยทั้ง 3 คน ข้อหาไม่มีใบอนุญาตทำงานและถูกนำตัวไปเข้าคุกที่สถานีตำรวจอยู่ 14 วัน ถูกปรับคนละ 7,000 บาท งานนี้ นายจ้างก็โดนจับด้วย ซึ่งตำรวจก็จัดเต็ม คือปรับนายจ้างไป 600,000 บาท หลังจากถูกคุมขังและปรับเงินจนหน้าซีดหน้าเซียวกันไปทั้งนายจ้างลูกจ้างแล้ว ตำรวจก็ปล่อยตัวออกมา หญิงไทยทั้ง 3 คน เจอเข้าไปแบบนี้ก็ต๊กกะใจบอกนายจ้างว่าจะขออำลาจาก ขอกลับเมืองไทยดีกว่า ไม่เอาแล้วมาเลเซีย แต่นายจ้างที่โดนปรับไปเป็นเงินหลายแสนจนหน้าเริ่มจะมืด ไม่ยอมให้ทั้ง 3 คนกลับบ้าน ยึดหนังสือเดินทางไว้และให้ทั้ง 3 คนทำงานชดใช้คืนคนละ 50,000 บาท เจอแบบนี้ สาวไทยใจถึงก็ไม่ยอมเหมือนกัน ไม่คืนพาสปอร์ตให้ก็ไม่เป็นไร หนีซะเลย ว่าแล้ว 3 สาวก็พากันหนีมาขอความช่วยเหลือจากสถานทูตขอให้ส่งตัวกลับบ้านโดยด่วน

ท่านสมพงษ์ฯ สดับรับฟังเรื่องราวของ 3 สาวแล้ว ตอนแรกก็จะ "จัดให้" ตามที่ 3 สาว ร้องขอ คือส่งกลับบ้าน แต่พอได้พินิจพิเคราะห์ดูสำเนาพาสปอร์ตของหญิงไทย1 ใน 3 ราย  (ซึ่งบังเอิญ ถ่ายเอกสารและพกติดตัวไว้ด้วย) พบว่าเป็นวีซ่าปลอม  ท่านสมพงษ์ฯ ถึงกับเข่าทรุด "งานเข้า" อีกแล้ว

หลังจากได้สูดยาดมและดื่มน้ำขิงร้อนๆ ไป 1 ถ้วย ท่านสมพงษ์ฯ ต้องคิดหาทางว่าจะส่งตัว หญิงไทยทั้ง 3 คน กลับบ้านได้ยังไง เพราะถ้าส่งตัวกลับตามวิธีปกติหากถูกตรวจสอบพบ ทั้ง 3 คน จะต้องถูกเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองมาเลเซียจับกุมและจะต้องถูกตั้งข้อหาปลอมแปลงวีซ่า ซึ่งจะต้องถูกปรับไม่เกิน 50,000 บาท และจำคุก ไม่เกิน 1 ปี  หญิงไทยทั้ง 3 ซึ่งเพิ่งออกมาจากคุกและเพิ่งจ่ายค่าปรับไปจนเกือบหมดเนื้อหมดตัวคงไม่อยากโดนจับกลับไปเข้าคุกและโดนปรับอีกเป็นแน่    แต่สมพงษ์ฯ ซะอย่าง ในที่สุดก็หาวิธีส่งตัว 3 สาวกลับบ้านจนได้ในที่สุดเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา

ท่านสมพงษ์ฯ บอกด้วยว่า ระยะ 3-4 เดือนที่ผ่านมาปรากฎว่ามีหมอนวดไทยถูกจับกุมดำเนินคดีข้อหาใช้วีซ่าปลอมกันมาก เฉพาะในเดือนกันยายน มีนักดนตรีและนักร้องถูกจับกุมถึง 5 คน และถูกปรับไปเป็นเงินคนละ 160,000 บาท นอกจากนี้ สถานทูตยังได้รับแจ้งจากทางญาติในเมืองไทยวันละหลายรายให้ช่วยติดตามหาญาติของตนที่เข้าไปทำงานในมาเลเซียและถูกจับกุมหรือขาดการติดต่อ

ทางฝ่ายสถานทูต/สถานกงสุลของประเทศมาเลเซียประจำประเทศไทยก็ให้ข้อมูลว่า ได้ใช้มาตรการเข้มงวดในการออกวีซ่าเพื่อไปทำงานหรือจุดประสงค์อื่นที่ไม่ใช่เพื่อการท่องเที่ยวอยู่แล้ว หลายเดือนที่ผ่านมามีคนไทยที่ได้รับวีซ่าประเภทนี้เพียงไม่กี่รายซึ่งการจะได้วีซ่าประเทภนี้ยากมากและต้องมีหนังสือรับรองจากหน่วยงานราชการหรือสถาบันการศึกษาของมาเลเซียที่เชื่อถือได้เท่านั้น การที่มีนายหน้าไปขอวีซ่าให้เช่นนี้จึงเป็นเรื่องที่น่าเชื่อได้ว่าเป็นการปลอมแปลงวีซ่าเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

การปลอมแปลงวีซ่าหรือเอกสารถือเป็นอาชญากรรมชนิดหนึ่ง เป็นความผิดค่อนข้างร้ายแรงและทุกประเทศจะมีกฎหมายที่เข้มงวดในการควบคุมและลงโทษทั้งผู้ที่ปลอมแปลงเอกสารและผู้ที่ใช้เอกสารปลอม ดังนั้น ใครที่ชอบให้นายหน้าไปดำเนินการเรื่องเอกสารต่างๆ ให้ เช่นกรณีนี้ ให้นายหน้าไปขอวีซ่าให้ ขอให้ระวังให้ดี เพราะหากเกิดเป็นของปลอมขึ้นมา ท่านก็ต้องถูกตั้งข้อหาคดีอาญาอย่างแน่นอน และอาจไม่โชคดีเหมือนหมอนวดไทยทั้ง 3 รายนี้ที่โชคดีที่ท่านสมพงษ์ฯ ตรวจพบก่อนจึงหาทางแก้ไขให้ได้ไม่ต้องไปเสี่ยงถูกจับซ้ำซ้อน

ด้วยความปรารถนาดีจาก : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์
                  : กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
                            กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น