วันศุกร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2555

นักโทษไทยในมาเลเซียต้องโทษประหารชีวิตมากที่สุด

ท่านสมพงษ์ กางทอง อัครราชทูตที่ปรึกษา สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย รายงานเข้ามา "อีกแล้ว" ว่า ท่านได้ไปเยี่ยมนักโทษชาวไทยที่ถูกคุมขังดำเนินคดีอยู่ในรัฐสลังงอร์ ประเทศมาเลเซียเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2555 และได้ถือโอกาสนี้สรุปสถิติและข้อมูลเกี่ยวกับนักโทษชาวไทยในมาเลเซีย ดังนี้
1. ขณะนี้มีนักโทษไทยที่ถูกศาลชั้นต้นของมาเลเซียตัดสินประหารชีวิตทั้งสิ้น 25 คน เป็นคดียาเสพติด 22 คน คดีความมั่นคง 3 คน เป็นหญิง 13 คน ชาย 12 คน ซึ่งถือว่าเป็นชาวต่างชาติที่ต้องโทษประหารชีวิตเป็นจำนวนมากที่สุดในมาเลเซีย
2. จากการพูดคุยสัมภาษณ์ผู้ต้องขังชาวไทยพบว่า ผู้ที่ชักนำหญิงไทยเข้าสู่วังวนมหันตภัยคือชาวไนจีเรียเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาคือชาวอิหร่าน และมาเลเซีย โดยคนเหล่านี้จะใช้วิธีสร้างความไว้วางใจก่อนพาไปหลอกให้ขนยาเสพติดจากประเทศแถบลาตินอเมริกาเข้ามายังประเทศมาเลเซีย
3. หญิงไทยที่ตกเป็นเหยื่อจะเป็นหญิงที่ประกอบอาชีพเ้สี่ยงอยู่แล้ว เช่น พนักงานนวด และสตรีจากภาคอิสานที่นิยมหาสามีต่างชาติ สังเกตได้ว่ามีหญิงไทยไปรับรองวีซ่าเข้าประเทศไทยให้กับชาวไนจีเรียบ่อยครั้งแต่ถูกปฎิเสธ
4. การให้ความช่วยเหลือทางคดีทำได้ยาก ค่าจ้างทนายความค่อนข้างสูงและมักถูกทนายความหลอกกินเงินแต่คดีความไม่คืบหน้า ทนายอาสาก็มักไม่รับว่าความคดียาเสพติดให้คนต่างด้าว ผู้ต้องโทษหลายคนถูกนายหน้าหรือเพื่อนส่งนายหน้าไปซ้ำเติมญาติที่ประเทศไทยว่าจะช่วยเหลือขอให้จ่ายเงิน พอได้เงินแล้วก็หายตัวไปเลย บางรายถูกหลอกสูญเงินไปนับแสนบาท
5. การหลอกลวงเข้าไปทำงานประเภทนวดและอื่นๆ ยังมีอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะทุกวันนี้จะอ้างว่ามาเลเซียเปิดเสรีเป็นประชาคมอาเซียน (AEC) แล้ว คนไทยสามารถไปทำงานได้ทุกประเภทอย่างเสรีไม่ต้องใช้ใบอนุญาตทำงาน

ท่านสมพงษ์ฯ ยืนยันว่า ทางการมาเลเซียได้ยุติการออกใบอนุญาตทำงานประเภทนวดตั้งแต่โครงการอภัยโทษ (6P Program) สิ้นสุดลง เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2555 แต่ยังมีการนำหญิงไทยไปทำงานนวดโดยไม่มีใบอนุญาตและถูกจับกุมตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันกว่า 300 คน โดยเฉพาะกลุ่มหญิงวัยรุ่นที่ไปท่องเที่ยวแต่หลบทำงานเต้นโคโยตี้
จำนวนคนไทยที่ถูกจับกุมมากขนาดนี้ ท่านสมพงษ์ฯ เองก็ต้องทำงานหนักและไม่สามารถจะดูแลได้อย่างทั่วถึง บางครั้งหากเห็นว่าำคนไทยถูกตั้งข้อหาที่ไม่ร้ายแรงและไม่ได้ร้องขอให้สถานทูตช่วยเหลือก็จำเป็นต้องปล่อยให้ทางการมาเลเซียดำเนินดคีไปตามกระบวนการจนกระทั่งส่งตัวกลับประเทศไทย

ท่านอัครราชทูตฯ สมพงษ์ฯ  ยังฝากให้ช่วยกันประชาสัมพันธ์เพื่ีอเป็นการช่วยกันเตือนคนไทยที่อาจจะไม่รู้ข้อมูลเหล่านี้ คนไทยจะได้ไม่ถูกดึงเข้าวังวนนรกเหมือนที่คนไทยหลายคนที่กำลังตกนรกอยู่ขณะนี้

ครับ ช่วยกันกระจายข่าว มีลูกบอกลูก มีหลานบอกหลาน มีเพื่อนบอกเพื่อน อย่าเก็บเอาไว้รู้คนเดียว ถือว่าบอกกล่าวกัน คนไทยจะได้หูตาสว่างไม่เป็นเหยื่อ ไม่หลงผิดอีกต่อไป

ด้วยความปรารถนาดีจาก : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น