วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2555

หมอนวดไทยหนีเสือปะจระเข้

เมื่อวันที่ 18 ก.ย. 55 ท่านกงสุลไทยที่สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโคลัมโบ ประเทศศรีลังกากำลังทำงานอยู่ดีๆ ก็มีอันต้องวางมือเมื่อจู่ๆ ตำรวจแขกบุกมาพบถึงสถานทูตโดยมิได้มีการนัดหมาย พร้อมกับนำตัวหญิงไทย 2 คน มาด้วย สอบถามได้ความว่า ตำรวจไปจับหญิงไทยทั้งสองมาจากร้านนวดแห่งหนึ่งและต้องการสอบปากคำแต่สื่อสารกันไม่รู้เรื่องจึงมาขอให้สถานทูตช่วยเป็นล่ามให้

ท่านกงสุลก็จัดหาล่ามมาให้ตามที่คุณตำรวจแขกร้องขอ และถือโอกาสนั่งฟังการสอบปากคำด้วยซะเลยจากการสอบปากคำดังกล่าวของตำรวจได้ความว่า หญิงไทยทั้งสองคนมีอาชีพเป็นหมอนวดแผนไทย แต่เดิมนั้นได้เดินทางไปทำงานอยู่เกาะมัลดีฟส์ แต่ทำอยู่ได้ไม่นานเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองขึ้นที่นั่น นายจ้างเกรงว่าหญิงไทยทั้งสองจะไม่ปลอดภัยจึงส่งตัวกลับประเทศไทยผ่านทางกรุงโคลัมโบ ประเทศศรีลังกา นายจ้างชาวมัลดีฟส์ก็ยังหวังดีแนะนำให้หมดนวดไทยทั้งสองว่าถ้ายังไม่อยากกลับเมืองไทยก็อาจจะลองไปทำงานที่ร้านนวดในกรุงโคลัมโบซึ่งรู็จักกัน นายจ้างชาวศรีลังกาจะจัดการทุกอย่างให้ทั้งเรื่องวีซ่า ที่พัก อาหารการกิน หญิงไทยทั้งสองจึงตกลงทำงานที่ต่อที่ศรีลังกา แทนที่จะกลับเมืองไทย

พอมาถึงกรุงโคลัมโบ ประเทศศรีลังกา นายจ้างคนใหม่ก็มารับที่สนามบินและพาไปที่ร้านเพื่อเริ่มทำงาน
ที่ร้านแห่งใหม่นี้ หญิงไทยทั้งสองบอกว่าไม่ค่อยมีลูกค้ามากนัก บางวันก็ไม่มีผู้มาใช้บริการเลย สภาพของร้านก็คือเมื่อมีลูกค้ามาใช้บริการจะต้องติดต่อกับพนักงานต้อนรับที่ชั้นล่างก่อน จากนั้นจึงจะขึ้นมาใช้บริการที่ห้องชั้นบนโดยจะมีห้องแยกไว้เป็นสัดส่วน จนวันหนึ่งมีชายสองคนมาใช้บริการในเวลาไล่เลี่ยกัน คนหนึ่งเข้าไปในห้องแล้วก็ดึงเสื้อผ้าของหมอนวดไทยคนหนึ่งจนล่อนจ้อน หมอนวดไทยตกใจทำอะไรไม่ถูก แขกหื่นคนนั้นยังได้ใช้เท้าเขี่ยเสื้อผ้าของเธอไปที่มุมห้อง ระหว่างกำลังตะลึงอยู่นั่นเอง ลูกค้าก็เดินไปเปิดประตูห้องและมีคนเข้ามาถ่ายรูปของเธอตอนกำลังเปลือยไว้ด้วย พอถ่ายจนหนำใจแล้วจึงได้มีตำรวจหญิงคนหนึ่งนำเสื้อผ้าเข้ามาให้

ในเวลาเดียวกันนั้นเองอีกห้องหนึ่ง หมอนวดไทยอีกรายหนึ่งกำลังบริการลูกค้าอยู่ประมาณ 15 นาที ลูกค้าก็เสนอเงินเพื่อขอใช้บริการทางเพศแต่หมอนวดไทยปฏิเสธ หลังจากนั้นมีตำรวจประมาณ 10 นายบุกเข้าไปในห้องพร้อมอาวุธปืนและทำการจับกุม

ท่านกงสุลนั่งฟังการสอบปากคำอยู่นานสองนานเริ่มพบว่าเรื่องนี้มีสิ่งผิดสังเกตไม่น่าจะเป็นการจับกุมตามปกติ พอตำรวจตั้งคำถามกับหญิงไทยทั้งสองว่าต้องการจะเรียกร้องอะไรจากนายจ้างบ้างหรือไม่ ท่านกงสุลก็เริ่มพอจะเข้าใจอะไรบางอย่างจึงได้เลียบๆ เคียงๆ ถามทางเจ้าของร้านซึ่งตำรวจพามาด้วย เจ้าของร้านบอกว่า ร้านของตนตั้งอยู่ตรงข้ามกับบ้านพักของนายตำรวจใหญ่คนหนึ่ง ซึ่งอาจจะมีเรื่องอะไรที่ไม่พอใจจึงหาทางกลั่นแกล้ง ทั้งๆ ที่ทางร้านก็เปิดดำเนินการโดยถูกกฎหมายมีใบอนุญาตถูกต้อง ขณะนี้ ร้านของตนก็ถูกสั่งปิดและศาลได้ยึดหนังสือเดินทางของหญิงไทยทั้งสองไว้

ได้ฟังแบบนี้ ท่านกงสุลจึงถึงบางอ้อ ที่แท้เป็นเรื่องของแขกกลั่นแกล้งกันเองโดยใช้หมอนวดไทยเป็นเครื่องมือ ก็เลยต้องหาทางช่วยคนไทยไว้ก่อน โดยขั้นแรกได้ขอให้ทนายความช่วยนำหนังสือเดินทางของทั้งสองไปขอต่อวีซ่าเพื่อให้อยู่ในศรีลังกาได้อย่างถูกต้องและจะได้ไม่มีปัญหาเมื่อเวลาเดินทางกลับประเทศไทย ส่วนเรื่องคดีความนั้นทั้งสองต้องขึ้นศาลอีกหลายครั้ง ระหว่างนี้ นายจ้างก็ใจดี ให้ที่พักและอาหาร แต่ก็ไม่ได้ทำงาน

นี่ก็เป็นอีกหนึ่งชะตากรรมของหมอนวดไทยในต่างแดน สองคนนี่นึกว่าจะโชคดีที่เจอนายจ้างดีทั้งสองครั้ง แต่แล้วก็ต้องแพ้ภัยที่ตัวเองไม่ได้ก่อขึ้น ตอนแรกทำงานอยู่ดีๆ ก็เกิดเหตุความไม่สงบทางการเมือง ต้องหนีเอาตัวรอด พอได้ที่ปลอดภัยได้ทำงานใหม่แล้วก็ต้องมาเจอกับภัยจากความขัดแย้งทางผลประโยชน์ของผู้มีอิทธิพลอีก หนีเสือปะจระเข้แท้ๆ นี่ก็ยังไม่รู้ชะตากรรมว่าศาลท่านจะเอายังไง ต้องถูกปรับติดคุกติดตะรางหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ แต่อย่างไรก็ตาม ทางสถานทูตกำลังติดตามดูแลอยู่แล้วไม่ต้องห่วง ยังไงก็ไม่ให้คนไทยต้องเดือดร้อนโชคร้ายไปมากกว่านี้

ที่มา : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโคลัมโบ




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น