วันศุกร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2556

ช่วย 2 สาวไทย ถูกใช้งานเยี่ยงทาสในเคนยา


สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงไนโรบี ประเทศเคนยา รายงานความช่วยเหลือแม่บ้านหญิงไทย 2 ราย ที่ไปทำงานให้กับเศรษฐีชาวเคนยาเชื้อสายอินเดียให้เดินทางกลับประเทศไทย เหตุที่ต้องเข้าไปช่วยเหลือก็เพราะว่า 2 สาว ทนไม่ไหวกับสภาพการทำงานที่ถูกนายจ้างใช้งานเยี่ยงทาส

2 สาวไทยจากเมืองกาญจน์ เกิดอยากจะไปทำงานเป็น Nanny ( พี่เลี้ยงเด็ก ผู้ดูแลคนป่วย คนชรา) ในต่างประเทศ จึงได้ไปติดต่อแจ้งความประสงค์ไว้กับบริษัทจัดหางานแห่งหนึ่งที่มีสำนักงานสาขาตั้งอยู่แถวถนนวิทยุ เขตลุมพินี กรุงเทพฯ และมีสำนักงานใหญ่อยู่ในอาคารแมนชั่นแห่งหนึ่งในเขตจังหวัดนนทบุรี หลังจากนั้นไม่นานทั้งคู่ก็ได้รับการติดต่อจากบริษัทนายหน้าว่ามีตำแหน่งงานที่เคนยาว่างอยู่ 2 ตำแหน่งพอดี ทั้ง 2 สาวจึงตกลงใจรับข้อเสนอและเดินทางไปเคนยาด้วยความดีใจที่ได้งานทำ

พอไปถึงบ้านของนายจ้าง สาวเมืองกาญจน์ทั้งสองถึงกับตะลึงในความใหญ่โตโอ่อ่า บ้านนี้มีรั้วรอบขอบชิด มีคนสวน มียามรักษาความปลอดภัย ต่างก็ยินดีปรีดาที่จะได้ทำงานในคฤหาสน์หลังโต ทั้งสองคนได้รับมอบหมายแบ่งหน้าที่ให้ดูแลรับใช้ตัวนายจ้างอายุ 50 ปี  และมารดาของนายจ้างอายุ 88 ปี

แต่อยู่ได้ไม่นาน ฝันก็สลาย เมื่อทั้ง 2 สาว พบว่า นายจ้างเป็นคนใจร้ายมาก ใช้งานพวกตนเยี่ยงทาสสมัยโบราณ ทำงานตั้งแต่ 6 โมงเช้าจนถึงเที่ยงคืน ทุกวันไม่มีวันหยุด ไม่มีเวลาพักผ่อน และนอกจากจะดูแลคนชราตามที่ตกลงกันแล้ว ยังมีงานอื่นๆ ที่ถูกนายจ้างจิกหัวใช้ให้ทำอีกมากมายหลายอย่าง จะออกไปข้างนอกแต่ละครั้งก็จะต้องมีคนของนายจ้างประกบไปด้วยทุกครั้ง  รวมทั้งยังถูกดุด่าอย่างหยาบคายเกือบทุกวัน เจอเข้าไปแบบนี้ 2 สาว ไม่รู้จะทำอย่างไรดี เกิดอาการเครียดจัด มีอาการมึนงง พูดจาไม่รู้เรื่อง กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ทำให้ร่างกายยิ่งอ่อนแอและทำงานไม่ค่อยไหว นายจ้างก็ยิ่งดุด่าหนักเข้าไปอีก อับจนหนทางจนแทบจะฆ่าตัวตายหลายครั้ง 1 ใน 2 สาว เครียดจนสลบ เพื่อนขอให้นายจ้างพาไปหาหมอ นายจ้างโหดก็ไม่พาไป ขอให้พาไปสถานทูตไทย ก็บอกว่าสถานทูตย้ายไปประเทศอื่นแล้ว

ถึงตอนนี้ 2 สาวก็ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใครได้ คนทำสวนก็ส่งสายตาหื่นกามคอยจ้องจะเคลมสวาทพวกเธอตลอดเวลา สุดท้ายเธอต้องให้สินบนยามเฝ้าบ้าน จ่ายเงินไปคิดเป็นเงินไทยประมาณ 7,000 บาท ยามจึงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นปล่อยให้ 2 สาว หนีออกมาหาสถานทูตได้

ท่านกงสุลเห็นสภาพของทั้งคู่แล้ว ก็รีบสอบปากคำและดำเนินการให้ 2 สาว ได้กลับเมืองไทยให้ได้เร็วที่สุด จากนั้นก็ได้นำตัวทั้งคู่ไปส่งที่สนามบินด้วย ทั้งสองคนยังมีอาการเครียดจัด ขณะเดินผ่านเครื่องตรวจโลหะที่สนามบิน 1 ใน 2 คน ถึงกับเกิดอาการเกร็ง มือเท้าเย็นเฉียบ ยืนไม่ไหว เพื่อนกับท่านกงสุลต้องช่วยกันประคองไปหาที่นั่งและปฐมพยาบาลหายาหม่องยาดมมาให้เธอและคอยปลอบใจไม่ให้เครียด จนเธอมีอาการดีขึ้นจึงได้พาขึ้นไปส่งถึงบนเครื่อง ทั้งสองสาวก็ได้กลับ้านถึงเมืองกาญจน์เป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2556

ขณะนี้ ทางสถานทูตและกระทรวงการต่างประเทศกำลังตรวจสอบพฤติกรรมของบริษัทนายหน้าที่ส่งทั้ง 2 สาวไปทำงานที่เคนยา เพราะทั้งคู่ให้การว่าไปทำงานที่เคนยาโดยไม่มีสัญญาจ้าง และใช้วีซ่าท่องเที่ยว ไม่มีใบอนุญาตทำงานใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งตามกฎหมาย การส่งคนไปทำงานต่างประเทศจะต้องดำเนินการให้ถูกต้อง และต้องผ่านการเห็นชอบรับรองจากกระทรวงแรงงานหรือกระทรวงการต่างประเทศก่อน
แต่เชื่อได้ว่า บริษัทนายหน้ารายนี้ไม่ได้มีการดำเนินการให้ถูกต้องจึงทำให้เกิดปัญหาขึ้น

ก็ขอบอกขอเตือนกันอีกครั้งสำหรับคนไทยที่ต้องการไปทำงานในต่างประเทศ ถ้าจะติดต่อโดยตรงกับนายจ้างก็ทำได้แต่ก็ต้องแน่ใจว่ามีความสามารถในการดูแลตัวเองได้เวลาเกิดปัญหา อย่างน้อยภาษาอังกฤษต้องพูดได้สื่อสารได้ จะได้รู้ทันนายจ้าง สามารถที่จะถกเถียงโวยวายได้เองหากเกิดปัญหากับนายจ้าง แต่หากรู้ตัวว่าไม่มีความสามารถเช่นนั้น ก็ขอให้ทำตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด เพราะกฎหมายไทยมุ่งคุ้มครองคนไทยที่ไปทำงานต่างประเทศ โดยสถานทูตไทยและกระทรวงแรงงานจะเป็นผู้ประสานงานเพื่อตรวจสอบนายจ้าง สัญญาจ้าง สภาพการทำงาน ฯลฯ ถ้าเห็นท่าไม่ดีก็จะไม่อนุญาตให้เดินทางออกไป แต่ปัญหาที่ผ่านมาคือพวกนายหน้าที่เห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัว จัดการให้คนไทยออกไปทำงานต่างประเทศโดยไม่ผ่านขั้นตอนดังกล่าว คนหางานที่ไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ทันก็จะตกเป็นเหยื่อ ถูกหลอกให้ไปทำงานโดยบอกว่าไม่ต้องมีสัญญาก็ได้ ไม่เป็นไร วีซ่าทำงานเดี๋ยวค่อยไปทำทีหลัง นายจ้างเป็นคนดี จ่ายเงินตรงเวลา มีโอที สารพัดข้ออ้างที่จะยกมาอ้างให้คนหางานหลงเชื่อ และมีคนไทยหลงเชื่อตกเป็นเหยื่อมานักต่อนักแล้ว

เรื่องแบบนี้จะไม่มีวันหมดไปได้ถ้าคนไทยยังหน้ามืดตามัว หลงเชื่อพวกนายหน้าที่ีไม่มีความรับผิดชอบ เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัว นายหน้าที่ดีที่สุจริตจะรับผิดชอบปฏิบัติตามกฎหมาย จะต้องตรวจสอบนายจ้างว่าน่าเชื่อถือหรือไม่ เคยมีประวัติไม่ดีบ้างหรือปล่าว งานที่ทำเป็นงานประเภทใด เป็นงานที่อันตรายเกินไปหรือไม่ หรือเป็นงานที่สกปรกเสี่ยงภัยหรือไม่ สภาพของที่ทำงานเป็นอย่างไร ไม่ใช่ให้คนงานไปพักอยู่อย่างแออัดหรือที่ทุรกันดารเกินกว่ามนุษย์จะอยู่ได้ และยังต้องตรวจสอบตัวคนหางานด้วยว่ามีความรู้ความสามารถเหมาะสมกับตำแหน่งงานหรือไม่ ไม่ใช่จะไปเป็นช่างไฟฟ้าแต่ไม่มีความรู้เรื่องไฟฟ้าเลย เคยขับแต่รถแทร็กเตอร์แต่สมัครไปขับรถเครน เป็นต้น ส่วนนายหน้ารายใดบอกแต่ว่าไม่เป็นไร ไปได้ วีซ่าทำงานไม่ต้อง ใช้วีซ่าท่องเที่ยวก็ได้ ไม่มีประสบการณ์ทำงานไม่เป็นไร นายจ้างใจดีจะสอนงานให้ แบบนี้ให้รู้ไว้เลยว่า ไม่สุจริต ขี้โกง เห็นแก่ได้ พวกนี้จะเรียกค่านายหน้าในอัตราสูงและไม่ทำอะไรให้ถูกตามกฎหมาย พอไปถึงก็จะเกิดปัญหาสารพัด ยกตัวอย่างเช่น นายจ้างต้องการตำแหน่งคนขับรถบดถนน แต่ที่ส่งไปขับเป็นแต่รถแทร็คเตอร์ ไปถึงแล้วนายจ้างพบว่าไม่มีความสามารถตามที่บอกไว้ก็ขอให้ส่งตัวกลับและส่งคนใหม่มาแทน บางครั้งก็ปรับลดตำแหน่งให้ไปทำงานในตำแหน่งกรรมกรแทน เงินค่าจ้างก็ต้องลดลงไปด้วย บางรายนายจ้างจะให้ไปขับรถเครน ที่ส่งไปก็เคยขับรถเครนอยู่แล้ว นึกว่าจะไม่มีปัญหา กลับกลายเป็นว่า รถเครนที่จะต้องไปขับเป็นรุ่นใหม่ที่ควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ทันสมัย เจอไปแบบนี้ พี่ไทยก็ต้องถอย ทำไม่เป็นแน่นอนเพราะที่เคยขับที่เมืองไทยเป็นรุ่นเก่าใช้คันโยก

สำหรับกรณีงานเกี่ยวกับแม่บ้าน หรือผู้ดูแลคนชรา พี่เลี้ยงเด็กก็จะมีประเด็นให้ต้องคิดพิจารณากันให้ดีๆ  ก่อน กล่าวคือ งานประเภทนี้ไม่ใช่ตลาดของคนไทย คือถ้านายจ้างต่างชาติต้องการคนไปดูแลคนแก่หรือเป็นพี่เลี้ยงเด็ก เขาจะพิจารณาคนชาติอื่นๆ ก่อน เช่น ฟิลิปปินส์ หรืออินโดนีเซีย คนไทยจะเป็นตัวเลือกสุดท้ายเสมอ นั่นหมายถึงว่า ถ้ามีตำแหน่งงานประเภทนี้หลุดมาถึงคนไทย นั่นแสดงว่า นายจ้างรายนั้นถูกปฏิเสธจากลูกจ้างชาวฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียมาแล้ว คงมีพฤติกรรมที่แย่มากๆ ถึงได้ไม่มีใครอยากไปทำงานด้วย อย่างเช่น นายจ้างชาวเคนยารายนี้ ที่ร่ำรวยแต่มีจิตใจโหดร้าย ไร้มนุษยธรรม

ด้วยความปรารถดีจาก : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงไนโรบี
                      : กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
                        กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ





 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น